ตอนที่ 319: หมิงตงกลับมาแล้ว
เหล่าคนที่ขวางทางเจี้ยนเฉินต่างก็หลีกทางอย่างรวดเร็ว การต่อสู้เพื่อทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์นั้นใช้เวลาเพียงไม่นานและไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในถ้ำ ในตอนนี้พวกเขาเพียงแต่ได้มองอย่างสับสน ขณะที่เจี้ยนเฉินไล่ตามตู่กูเฟิงก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทำไมพวกเขาถึงได้มาต่อสู้กันล่ะ และคำถามที่ทุกคนอยากรู้ที่สุดก็คือ เหตุใดเจี้ยนเฉินจึงได้แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้ ?
เจี้ยนเฉินไล่ล่าตู่กูเฟิงผ่านทางเดินของถ้ำสักพัก หลังจากนั้นลูกน้องบางคนของเหล่าจอมยุทธต่างก็เข้ามาอย่างรวดเร็วพวกเขารู้สึกสังหรณ์ใจและพุ่งเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็ว
ภายในถ้ำ ชิเซียงกรานและเจียเต๋อหวูคังนอนนิ่งอยู่ที่พื้น เลือดของพวกเขายังคงไหลอยู่และรวมกันเป็นแอ่งเลือดเล็ก ๆ
นายน้อยหวูคัง !
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเศร้าโศกของชายวัยกลางคนที่พุ่งเข้ามาในถ้ำราวกับลูกศรเข้าหาเจียเต๋อหวูคัง เมื่อมองไปที่รูบนลำคอ ชายเหล่านี้ก็ใบหน้าขาวซีดทันที
นายน้อยหวูคัง นายน้อยหวูคัง ! หนึ่งในชายเหล่านั้นได้เขย่าร่างกายของเจียเต๋อหวูคังพร้อมกับตะโกนเสียงดังมากราวกับจะปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา
ท่านหวูคังตายไปแล้ว ชายอีกคนก็ถอนหายใจด้วยความเศร้าใจ
ตาย…มัน…มันเป็นไปได้อย่างไร? นายน้อยหวูคังมีม่านพลังพร้อมกับยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎอีกด้วย ใครจะฆ่าเขาได้ ! ชายคนนั้นพูดอย่างบ้าคลั่ง สถานะของเจียเต๋อหวูคังที่อยู่ในตระกูลนั้นสูงส่งยิ่งนัก นอกจากเขาจะเป็นลูกชายของผู้นำแล้ว เขายังเป็นผู้นำในอนาคตของตระกูลเจียเต๋ออีกด้วย ชายทั้งสองคนและเจ๋อกู่มาที่นี่เพื่อปกป้องเขาโดยเฉพาะ แต่เมื่อเจียเต๋อหวูคังตายไปแล้วมันก็ยากที่จะพูดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่
ไอ๊ !… ชายอีกคนถอนหายใจขณะที่มองอย่างว่างเปล่า เขาไม่ได้สนใจความตายของเจียเต๋อหวูคังมากนัก แต่สถานะของเจียเต๋อหวูคังในตระกูลนั้นสูงส่งอย่างมาก เนื่องจากเขาเป็นผู้คุ้มกันของหวูคัง เขาจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ โทษมันอาจจะหนักหนาจนบิดาของเจียเต๋อหวูคังตัดสินให้เขาตายตามเพื่อรับใช้เจียเต๋อหวูคังในปรโลก
มันเป็นใคร? ใครเป็นคนฆ่าท่านหวูคัง ? ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ตอนนี้เจียเต๋อหวูคังตายไปแล้ว เขาไม่ต้องการเป็นผู้เดียวที่ต้องมารับผิดชอบการตายของเจียเต๋อหวูคัง เป็นไปได้ว่าหลังจากการรวมกลุ่มจอมยุทธแล้วเขาจะถูกสังหาร
ตอนนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อเจี้ยนเฉินที่ผิดใจกับนายน้อยของเรา เขาวิ่งออกไปไล่ล่าตู่กูเฟิง แม้กระทั่งผู้คุ้มกันทั้ง 4 ที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงของตระกูลตู่กูก็ถูกฆ่าในเวลาสั้น ๆโดยเจี้ยนเฉิน คนที่ฆ่านายน้อยหวูคังจะต้องเป็นเจี้ยนเฉินซึ่งได้ซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ ชายอีกคนพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
แม่นางเทียนมู่หลิง นายน้อยฉินจี๋ ท่านบอกเราได้หรือไม่ว่า ผู้ที่สังหารนายน้อยหวูคังใช่เจี้ยนเฉินหรือไม่ ?
เทียนมู่หลิงและฉินจี๋ทั้งคู่พยักหน้าอย่างงงงวย การต่อสู้ของพวกเขาที่เพิ่งจะได้เห็นนั้นทำให้พวกเขาเกิดความตกใจอย่างมาก เจี้ยนเฉินได้ทำลายม่านพลังของชิเซียงกรานและเจียเต๋อหวูคังที่สร้างจากเซียนผู้คุมกฎ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามันยากที่จะทำลายอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากพบว่าใครเป็นคนสังหารนายท่านของตัวเอง ชายทั้งสองคนก็มีใบหน้ามืดครึ้ม เจี้ยนเฉินแข็งแกร่งและทั้งสองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ทั้งสองไม่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปและอุ้มร่างของเจียเต๋อหวูคังออกจากถ้ำ ทั้งคู่ไม่ได้ไง่ เมื่อเจี้ยนเฉินกลับมาจากการสังหารทุกคนแล้ว มันจะดีที่สุดที่พวกเขาจะหนีไปพร้อมกับร่างของเจียเต๋อหวูคัง พวกเขาจะรอให้การชุมนุมทหารรับจ้างสิ้นสุดลงและรายงานให้ผู้นำทราบ ด้วยความหวังที่ว่าผู้นำจะผ่อนปรนการลงโทษของเขา การหลบหนีตระกูลนั้นไม่ดี มันรังแต่จะทำให้เขาเสียชีวิตไวขึ้นเสียเปล่า ๆ
….
ถ้ำอยู่ตรงนั้น รับเข้าไป! ให้พวกเขาจัดการกับสิงโตอัสนีม่วง !
เร็วเข้า ถ้ำอยู่ด้านหน้าของเราแล้ว !
ด้านนอกถ้ำกลุ่มชายที่ดูน่าสังเวชก็วิ่งเข้าอย่างรวดเร็ว ข้างหลังของเขามีสิงโตอัสนีม่วงตัวขนาดภูเขาพ่นสายฟ้าออกจากปากอย่างต่อเนื่อง สายฟ้าฟาดแต่ละเส้นได้เผาคนจนดำไหม้ ในขณะที่ลิ่นจักรพรรดิยังคงโจมตีมนุษย์อย่างต่อเนื่องอยู่ไม่ไกลกันนัก
ภายในกลุ่มไม่เพียงแต่จะมีเซียนปฐพีเท่านั้น แต่ยังมีเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษอย่างน้อย ๆ หลายร้อยคน หลังจากที่กลุ่มทั้งสองกลุ่มที่มียุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎได้สังหารสัตว์อสูร 2 ตัวและเข้าไปในถ้ำแล้ว เซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษทุกคนจึงตัดสินใจเสี่ยงและพุ่งไปเบื้องหน้า ด้วยความหวังที่ว่าจะได้สมบัติที่อยู่ภายในและบางคนก็ทิ้งชีวิตของเขาเพื่อเข้ามาในถ้ำ
การหลั่งไหลเข้ามาของเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้กระตุ้นความสนใจของสัตว์อสูรทั้งสองที่เหลืออยู่ ดังนั้นกลุ่มที่ต้องทนทรมานได้ละทิ้งความพยายามที่จะสังหารสัตว์อสูรอย่างรวดเร็วและวิ่งเข้าไปในถ้ำอมตะด้วยความเต็มที่
ไม่มีใครที่แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมสัตว์อสูรได้ สถานการณ์จึงเลวร้ายอย่างมากสำหรับเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เซียนปฐพีไม่สนใจพวกเขาและออกห่างจากเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษเหล่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจของสัตว์อสูรทั้งสอง
ทันใดนั้น มีเงาหนึ่งเงาได้บินอยู่บนฟ้าพร้อมกับการระเบิดพลังในอากาศ แม้ว่าจะมีหลายคนเห็นเงาร่างนั้น แต่ก็ไม่มีใครสนใจภาพเหล่านี้
เช่นเดียวกับเงาที่บินไปก่อนหน้านี้ อีกเงาหนึ่งก็พุ่งอยู่บนอากาศไล่ตามเงาแรกอย่างรวดเร็ว นี่คือเจี้ยนเฉินที่กำลังไล่ล่าตู่กูเฟิง
เจี้ยนเฉินใช้ความเร็วส่วนใหญ่ของเขาโดยการพุ่งไปบนต้นไม้ ทุกครั้งที่เขาพุ่งไปด้านหน้าได้คราวละ 10 เมตรและค่อย ๆ ลดระยะห่างกับตู่กูเฟิงได้
เมื่อรู้สึกได้ว่าเจี้ยนเฉินยังคงไล่ล่าเขาอยู่ ใบหน้าของตู่กูเฟิงก็เริ่มตกใจมากและเริ่มคิดกับตัวเองว่า ลุงห้าและชายอีก 3 คนได้ถูกเจี้ยนเฉินสังหารไปแล้ว ? ไม่มีทาง ลุงห้าเป็นเซียนปฐพีวัฏจักรที่ 5 เจี้ยนเฉินไม่มีทางสังหารเขาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ มีความไม่อยากจะเชื่ออยู่บนใบหน้าของเขาเมื่อเขาได้คิดถึงความเป็นไปได้เหล่านั้น เขารู้ว่าพลังของเจี้ยนเฉินนั้นมีมากกว่าที่เขาคิด หากเขาสามารถทะลวงม่านพลังของชิเซียงกรานและเจียเต๋อหวูคัง เขาก็ไม่ควรแข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารลุงห้าของเขารวมถึงผู้คุ้มกันซึ่งเป็นเซียนปฐพีทั้งสามลงได้ในเวลารวดเร็ว แม้ว่าเขาจะใช้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ จากจุดนี้ตู่กูเฟิงก็ถือว่าเจี้ยนเฉินแข็งแกร่งมากจนเขาไม่อาจต่อกรได้ เขาเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีกและใส่ใจกับการป้องกันด้วยยุทธภันฑ์ผู้คุมกฎ
ตู่กูเฟิงไม่ใช่คนที่กลัวความตาย แต่เขาต้องป้องกันไม่ให้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎของเขาตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่หลบหนีเท่านั้น ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎเป็นสิ่งที่ทั้งตระกูลต้องทุ่มเทไปมากและยังส่งผลต่อความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูล ตู่กูเฟิงไม่อาจให้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้ ไม่อย่างนั้นตระกูลของเขาจะต้องตราหน้าเขาและเป็นตราบาปไปตลอดชีวิตของเขาจนไม่อาจกู้คืนได้
ความเร็วของชายสองคนเริ่มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนถึงขีดสูงสุด มันสามารถเดินทางผ่าน 10 กิโลเมตรได้ในเวลาสั้น ๆ เมื่อวิ่งผ่านป่าไปก็มาถึงจุดที่โล่งเตียน
ตอนนี้เจี้ยนเฉินได้ย่นระยะเข้ามาใกล้ตู่กูเฟิงแล้ว ตอนนี้ระยะห่างระหว่างทั้งสองเหลือเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น แม้ว่าตู่กูเฟิงจะไม่ใช่เซียนธาตุลม ความเร็วในการวิ่งของเขาก็ยังเร็วกว่าคนส่วนใหญ่ ดังนั้นเจี้ยนเฉินต้องทุ่มเทพลังอย่างมากในการไล่ล่าเขา
ในตอนนี้ 10 กิโลเมตรที่ห่างจากเจี้ยนเฉินได้มีเด็กหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมดำที่มีผมยาวถึงเอวได้วิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มคนนี้ดูอายุประมาณ 27-28 ปีและมีใบหน้าที่ดูอ่อนวัย
ข้าได้ยินว่ามาถ้ำของผู้ฝึกตนด้านหน้ามีทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์ ผู้คนยังพูดอีกว่ามีการรวมตัวของห้าจอมยุทธที่นั่น ว้าว ข้าควรจะไปดู หวังว่าข้าจะหาเขาเจอ เด็กหนุ่มในชุดสีดำพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มชุดคลุมดำก็เห็นร่างทั้งสองปรากฏห่างอกไปไม่กี่กิโลเมตรจากตัวของเขาและเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นทั้งสองคน คนหนุ่มก็มีท่าทีเหยียดหยามขณะที่เขาพึมพำ คนทั้งสองคนนั้นกำลังวิ่งเข้ามาหาความตาย ข้าหวังว่าเขาจะไม่อ่อนแอเกินไป ข้ายังต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของข้า ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงต้องการตรวจสอบทั้งสอง แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของทั้งคู่
ตาของข้าฝาดไปแล้วงั้นรึ หรือว่ามันบังเอิญเกินไป ! คนหนุ่มชุดคลุมดำพูดขณะที่เขายังคงขยี้ตาของเขาเบา ๆ เขามองไปที่ชายทั้งสองก็ที่ยิ้มกว้างและพุ่งเข้าไปใกล้พวกเขา
สหาย รั้งชายที่อยู่ด้านหลังให้ข้าและตระกูลตู่กูจะให้รางวัลเจ้าอย่างดี ! ตู่กูเฟิงทิ้งหน้าตาและโยนชื่อเสียงทิ้งไปเพื่อรักษายุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ ขณะที่เขารู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจี้ยนเฉิน เขาไม่ต้องการที่จะสู้กับเจี้ยนเฉินและต้องการหนีมากกว่า
เพื่อผลประโยชน์ของยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ เขาไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่อได้ยินตู่กูเฟิงพูด เด็กหนุ่มชุดคลุมดำก็ตกตะลึงสักครู่ก่อนที่จะยิ้มอย่างมีเลศนัย ด้วยการเคลื่อนไหวที่เรียบง่ายจากธาตุพลังเซียน เขาสามารถมองเห็นเด็กหนุ่มที่พุ่งเข้ามาหาตู่กูเฟิงและเจี้ยนเฉินด้วยความเร็วที่เร็วมากขึ้นกว่าเดิม
ความเร็วของเด็กนุ่มในชุดคลุมดำนั้นไม่อาจประมาณได้ เพียงชั่วระยะเวลาเดียวเขาก็เดินทางมาได้หลายกิโลเมตร ทำให้ทั้งเจี้ยนเฉินและตู่กูเฟิงตกใจ ช่วงเวลาที่เจี้ยนเฉินเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้น เขาเกิดความสับสนในตัวของเขา
ตู่กูเฟิงตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมีความสุข เขาไม่คิดว่าเขาจะโชคดีที่พบคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ จากความเร็วของเขาแม้ว่าจะไม่อาจเอาชนะเจี้ยนเฉินได้ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถรั้งตัวเขาไว้ได้อยู่
สหาย ช่วยข้าจัดการชายที่อยู่ข้างหลังและตระกูลตู่กูจะให้รางวัลกับเจ้าพูดอีกครั้ง” ตู่กูเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย
เด็กหนุ่มมีรอยยิ้มแปลก ๆ แต่เขาไม่ตอบสนองกับตู่กูเฟิง พริบตาเขาก็หยิบดาบยาวสีฟ้าฟันเข้าไปที่ตู่กูเฟิงด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
พริบตาตู่กูเฟิงได้ยกยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎขึ้นมาป้องกันตัวเองอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มได้ถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนก่อนที่จะเท้าจะครูดกับพื้นจนหยุดนิ่ง
สิ่งที่น่าตกใจมากคือการที่ตู่กูเฟิงใช้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎแล้วยังต้องถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยดาบธรรมดา ๆ ของเด็กหนุ่มผู้นั้น
สหาย นี่หมายความว่าอย่างไร ? ใบหน้าของตู่กูเฟิงนั้นมืดครึ้มก่อนที่จะมีความตกใจเต็มใบหน้า ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาแม้หลังจากที่จะป้องกันดาบของเขา อวัยวะภายในของเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มที่ดูธรรมดา ๆ ผู้นี้อาจจะเป็นเซียนสวรรค์งั้นรึ ? ตู่กูเฟิงได้แต่คิดด้วยความหวาดกลัว
เด็กหนุ่มมองไปที่ตัวเองก่อนที่จะมองไปที่ดาบที่อยู่ในมือของตู่กูเฟิงพร้อมกับตะโกนสบถด่าออกมา บัดซบ นั่นมันยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ
เมื่อเด็กหนุ่มรั้งตู่กูเฟิงเอาไว้ เจี้ยนเฉินก็รีบตามเข้ามาทัน ก่อนที่จะยืนห่างจากด้านหลังตู่กูเฟิงเพียง 20 เมตรและยิ้มให้คนชุดคลุมดำ
เด็กหนุ่มมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขก่อนที่จะโบกมือให้เขา นี่ เจี้ยนเฉิน ! ข้าไม่คิดว่าจะพบกับเจ้าด้วยสภาพนี้ เจ้าดูเหมือนจะทำได้ค่อนข้างดี เจ้าสามารถไล่ล่าคนที่มียุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎได้
เจี้ยนเฉินยิ้มอย่างมีความสุข หมิงตง เป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้วที่เราเจอกันครั้งสุดท้าย ข้าแทบจะจำเจ้าไม่ได้
เด็กหนุ่มคนนี้ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นหมิงตงผู้ที่อยู่บนเทวสถานลอยฟ้า เกือบ 1 ปีมาแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาที่เปลี่ยนแปลงมานี้ทำให้แผ่นดินต้องสั่นสะเทือน