ตอนที่ 320: พันธสัญญาโลหิต
หลังจากผ่านไปเกือบ 1 ปีหมิงตงต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตอนนี้หมิงตงที่ยืนอยู่นิ่งได้เปล่งรัศมีของผู้ไร้พ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า รัศมีที่เขาแผ่ออกมามันเข้มข้นราวกับว่าเขาต้องต่อสู้เป็นตายมานับไม่ถ้วนจนกระทั่งเขากลายมาเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างที่เห็นในปัจจุบัน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจจิตสังหารที่เขาเผลอแผ่ออกมาทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ของเขาต้องใจหายและถูกกดดันจากเรื่องนี้
หมิงตงตอนนี้ราวกับว่าเขาแตกต่างไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยว่า ชายหนุ่มชุดคลุมดำด้านหน้านี้คือหมิงตงที่เขารู้จักจริง ๆ หรือไม่ ?
หมิงตงหัวเราะพร้อมกับสีหน้าที่ตื่นเต้นว่า เจี้ยนเฉิน ข้าได้แต่กังวลว่าจะหาเจ้าได้ที่ไหน ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าเร็วขนาดนี้ นี่ต้องเป็นฟ้าลิขิตที่ทำให้เราต้องมาพบเจอกันอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินการพูดคุยระหว่างเจี้ยนเฉินและชายหนุ่มชุดคลุมดำ ใบหน้าของตู่กูเฟิงก็กลายเป็นเหยเกทันที ก่อนหน้านี้เขามีความสุขอย่างมากเมื่อได้เห็นพลังมหาศาลของชายหนุ่มผู้นี้ แต่เขาไม่คิดว่าพวกเขาทั้งสองจะดันมารู้จักกันและจากการพูดคุยของพวกเขาแสดงว่าต้องสนิทสนมกันมาก
ทันใดนั้นตู่กูเฟิงก็ราวกับตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ด้านหน้าของเขาเป็นเสือและข้างหลังเป็นหมาป่า ทั้งสองคนรวดเร็วอย่างมาก โดยเฉพาะความเร็วของคนที่มาใหม่ ตู่กูเฟิงเลิกวิ่งหนีไปนานแล้วตั้งแต่ที่เขารู้ว่าเขาไม่อาจสลัดพ้นจากพลังเซียนธาตุลมของหมิงตงได้ ไม่มีทางที่เขาจะหนีทั้งสองคนพ้น
ใบหน้าตู่กูเฟิงนั้นขึงขังขึ้นมาก เขาไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย แต่ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากสูญเสีย หากต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่นหรือตระกูลอื่น มันจะเป็นความอัปยศสูงสุดของเขาภายในตระกูล หากไม่มียุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎตระกูลของเขาต้องตกต่ำลงมา นั่นก็เพราะเซียนสวรรค์วัฏจักรที่ 6 เคยใช้ในการะต่อกรเซียนผู้คุมกฏได้ ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นสามารถอธิบายได้ว่ามีความสามารถทำลายได้แม้กระทั่งสวรรค์และปฐพี
หมิงตง ค่อยมาพูดคุยกันทีหลัง ตอนนี้สนใจเรื่องตรงหน้าก่อน เจี้ยนเฉินยิ้ม
หมิงตงหันมามองตู่กูเฟิงอย่างขึงขังก่อนที่จะยิ้ม เจี้ยนเฉิน เจ้านี่มียุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ นั่นหมายความว่าเขามีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง เจ้าควรจะเตรียมใจด้วย
เจี้ยนเฉินยักไหล่และพูดอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีทางเลือกอื่น มันค่อนข้างเวียนหัว แต่มันก็ต้องทนกับความปวดหัวบ้าง ข้าได้ฆ่าผู้ที่ถือยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎไปแล้ว 2 คน ดังนั้นมันจึงเป็นปัญหาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และการเพิ่มมาอีกคนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
เมื่อได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน ดวงตาของหมิงตงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ไม่มีทาง เจ้าฆ่าผู้ถือยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎไป 2 คนแล้ว ? เจ้าแข็งแกร่งขนาดที่ว่าม่านพลังของผู้ถือยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎทั้งสองไม่อาจป้องกันพวกเขาได้ ?
เจี้ยนเฉินหัวเราะ หมิงตง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะรู้เกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎหรือแม้กระทั่งม่านป้องกัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้อะไรมากมายในหนึ่งปีที่ผ่านมา
แน่นอน ! ลุงเทียนดูแลข้าอย่างดีและใช้พลังจำนวนมากเพื่อให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นจากเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษในเวลาครึ่งปี เขาสอนข้าหลาย ๆ อย่าง หมิงตงชี้ไปที่ตู่กูเฟิง เจี้ยนเฉิน พลังของเจ้านี่ค่อนข้างใช้ได้ ให้ข้าจัดการได้หรือไม่ ? ตั้งแต่ที่ข้าแยกกับลุงเทียนไม่กี่วันที่ผ่าน ข้ายังไม่ได้ทดสอบความแข็งแกร่งของข้าเลย
คำพูดของหมิงตงทำให้ตู่กูเฟิงพูดไม่ออก เขาอาจสาบานได้ว่าเขาได้ยินคนที่ชื่อว่าหมิงตงพูดว่าเขาใช้เวลาเพียงครึ่งปีจากเซียนผู้เชี่ยวชาญจนกระทั่งต่อกรกับผู้ที่ใช้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ตู่กูเฟิงพบว่ามันยากที่จะเชื่อ ทุกคนที่อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพียังไม่บอกได้ว่าจะแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานคนที่ครอบครองยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎได้ แต่ชายหนุ่มชุดคลุมดำนี้เป็นคนแรกที่พูดอย่างนั้น
นั่นก็เยี่ยมมาก หมิงตง ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการ ให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้าได้พัฒนาไปมากแค่ไหนในช่วงเวลา 1หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เจี้ยนเฉินถอยออกมาและเว้นพื้นที่ให้กับหมิงตง เขายอมรับความเร็วในการพัฒนาของหมิงตงและไม่กังวลว่าตู่กูเฟิงจะหนีหมิงตงไปได้
ช้าก่อน ! ตู่กูเฟิงร้องออกมาอย่างเร่งรีบ เขาหันมามองเจี้ยนเฉินและถามว่า เราเคยผิดใจกันมาก่อน แต่นั้นก็เป็นปัญหาเล็กน้อยและไม่คุ้มค่าที่จะฆ่าข้าโดยไร้เมตตา เจ้าต้องการหน้ากระดาษทักษะการต่อสู้ขั้นสวรรค์หรือยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎของข้างั้นรึ ?
เจ้าคิดว่าอะไร ? เจี้ยนเฉินพูดอย่างติดตลกพร้อมกับรอยยิ้ม
ถ้าเจ้าต้องการหน้ากระดาษเหล่านั้น ข้าจะมอบมันให้เจ้ารวมถึงทุกอย่างที่อยู่ในเข็มขัดมิติของข้า แต่ถ้าเจ้าต้องการยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎของข้า ข้าไม่อาจเอาให้เจ้าได้ตอนนี้ มันอาจจะทำให้เจ้ามีปัญหาอย่างไม่รู้จบ ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับตระกูลของข้าและไม่มีใครในตระกูลที่จะยอมให้คนนอกครอบครองมัน แม้ว่าเจ้าจะฆ่าข้าและเอายุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎไป ตระกูลของข้าก็ทำทุกอย่างตามล่าเจ้าไปยังสุดขอบทวีป แม้กระทั่งบรรพชนของตระกูลเราก็จะออกมาตามล่าด้วยตัวเอง ตู่กูเฟิงเตือน
ท่าทางของเจี้ยนเฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ ข้าฆ่าผู้ครอบครองยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎและม่านพลังไป 2 คนแล้ว เจ้าคิดว่าข้ากลัวเรื่องพวกนี้หรือ ?
ใบหน้าตู่กูเฟิงกลายเป็นซีดขาว ขณะที่เขาคิดถึงความจริงนั้น เขากลัวว่าเจี้ยนเฉินจะมีตระกูลที่แข็งแกร่งมากพอที่จะช่วยเหลือเขาและมันยังแข็งแกร่งกว่าตระกูลตู่กู หากตระกูลนั้นแข็งแกร่งมากเกินไปเขาก็กลัวว่าหากยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎที่ถูกชิงไปจากตระกูลของเขาไปแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจขโมยมันกลับมาในตระกูลได้อีกแม้ว่าพวกเขาจะพยายามขโมยมันกลับมาเขาก็ยังคงถูกคนอื่นเยาะเย้ยและคนในตระกูลทั้งหมดต้องขายหน้า
ทันใดนั้นตู่กูเฟิงก็เข้าใจ เขาทุบไปยังอกของเขาด้วยหมัดของตัวเอง ตู่กูเฟิงได้กระอักเลือดออกมาขณะที่ใช้นิ้วเขียนบางอย่างบนอากาศ นิ้วของเขาขยับเบา ๆ ขณะที่วาดรูปแปลก ๆ ในแต่ละครั้งที่ขยับจะยังคงเห็นรอยเลือดอยู่ตามที่เขาวาด
เจี้ยนเฉินมองตู่กูเฟิงด้วยใบหน้าที่สับสนในสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าสิ่งที่ประหลาดนี้คืออะไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหรือได้ยินมัน
หมิงตงเดินไปด้านหลังตู่กูเฟิงและมองด้วยความประหลาดใจกับรูปวาดรอยเลือดและมองไปอย่างไม่น่าเชื่อ
เจี้ยนเฉิน ข้าตู่กูเฟิงขอทำพันธสัญญาโลหิตกับเจ้าในวันนี้ หากเจ้าปล่อยให้ข้าคืนยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎให้กับตระกูลของข้า ข้าตู่กูเฟิงจะยอมรับเจ้าเป็นนายของข้า ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนข้าจะทำตามคำสั่งของเจ้าตราบจนสิ้นลมหายใจ แม้ว่าข้าจะตายข้าก็จะทำตามคำสั่งให้สำเร็จ ตู่กูเฟิงมองไปที่เจี้ยนเฉินโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงขณะที่เขาพูดด้วยความมั่นใจและยังมีการฝืนใจบางอย่าง เพื่อปกป้องยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ เขายินดีที่จะติดตามเจี้ยนเฉินตลอดชีวิตเพื่อตระกูลที่เขารัก เขาไม่ต้องการเห็นตระกูลของเขาถูกสาปแช่งจากทุกคน ดังนั้นเขาจึงยอมสละชีวิตของเขาเอง
เจี้ยนเฉินพูดไม่ออกเมื่อมองไปที่ตู่กูเฟิงอย่างประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าพันธสัญญาโลหิตคืออะไร ตามที่ตู่กูเฟิงพูดออกมาทำให้เขาประหลาดใจอย่างแท้จริง
ดวงตาของหมิงตงมองไปที่รูปวาดโลหิตแปลก ๆ เขามองไปที่ตู่กูเฟิงและพูดว่า พันธสัญญาโลหิต ข้าได้ยินมาว่าตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงตอนนี้ มันเป็นการทำสัญญาที่ผูกมัดและเขียนขึ้นมาโดยใช้เลือดจากหัวใจเพื่อให้จิตวิญญาณร่วมสาบานด้วย ว่ากันว่าคนที่ถือครองพันธสัญญาโลหิตนี้สามารถควบคุมคนที่ทำพันธสัญญาได้ เพียงความคิดเดียวคนที่ทำพันธสัญญาก็สามารถที่จะตายไปทั้งกายและวิญญาณ สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือถ้าคนที่ถือครองพันธสัญญาตายผู้ที่ทำพันธสัญญาก็จะตายตามไปด้วย ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรู้จักพันธสัญญาโลหิตของสมัยโบราณ
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหมิงตง ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เข้าใจว่าพันธสัญญาโลหิตนี้คืออะไร เขาไม่คิดว่าในโลกนี้จะมีสิ่งที่แปลกประหลาดเช่นนี้ โลกที่แปลกประหลาดนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์
แม้ว่าคำพูดของหมิงตงจะบอกเช่นนั้น ตู่กูเฟิงก็ไม่แม้แต่กระพริบตาและมองไปที่เจี้ยนเฉินพูดว่า ถ้าเจ้ายอมให้ข้านำยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎกลับไปที่ตระกูลของข้า ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายของข้าและข้าจะทำตามคำสั่งเจ้าไม่ว่าอะไรก็ตาม โดยไม่มีการเรียกร้องใด ๆ หากเจ้ายังต้องการยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎของข้า ข้าก็จะยอมตายโดยไม่มีการป้องกันใด ๆ เจ้าจะว่าอย่างไร ?
ดี ข้าจะให้เจ้านำยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎกลับตระกูล ขอให้เจ้าจำคำสัญญาเอาไว้ เจี้ยนเฉินพูดทันที สำหรับเขาแล้วยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎนั้นแข็งแกร่งจริง ๆ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงอาวุธ ตู่กูเฟิงเป็นคนที่มีชีวิตพร้อมกับยังเหลือช่องว่างให้เติบโต นอกจากนี้ไม่มีใครรู้ได้แน่ชัดว่าตู่กูเฟิงจะกลายเป็นเซียนผู้คุมกฎได้หรือไม่
ตู่กูเฟิงมองเจี้ยนเฉินอย่างจริงจังก่อนที่จะพูดว่า ในวันนี้ข้าตู่กูเฟิงขอแยกตัวออกจากตระกูลตู่กูอย่างเป็นทางการ จากนี้ไปสิ่งที่ข้าตู่กูเฟิงได้ทำจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลและข้าจะเชื่อฟังเจ้าในทุกคำสั่งยกเว้นเกี่ยวกับคนในตระกูลตู่กู ข้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอีกต่อไปแล้วและไม่อาจใช้อำนาจของตระกูลได้ไม่ว่าทางใดก็ตาม
เจี้ยนเฉินมีรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความชื่นชมในตัวตู่กูเฟิง ในขณะที่เขาพูดทันที ข้าสัญญากับเจ้า เจ้าจะเป็นเจ้า ตระกูลตู่กูจะเป็นตระกูลตู่กู ข้าจะไม่ใช้ประโยชน์จากอำนาจของตระกูลตู่กูและจะไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าคายความลับของตระกูลตู่กูออกมา ตราบใดที่เจ้าเต็มใจมันก็เพียงพอแล้วสำหรับข้า
ดี หลังจากที่ได้ยินอย่างนี้ ข้าตู่กูเฟิงขอยอมรับให้เจ้าในฐานะเจ้านายของข้า ตราบใดที่เจ้าไม่พยายามทำร้ายตระกูลของข้า ข้าขอยอมรับในพันธสัญญาโลหิตของข้า ตู่กูเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใส