พอถึงท่อนโซโล่เปียโนเสี่ยวเชี่ยนก็หันไปมองนักเปียโนคนนั้น ดีหน่อยที่เป็นผู้หญิง
ถ้าไม่ใช่คนที่เล่นเปียโนแล้วเป็นใครกัน?
อีกอย่างถึงเพลงนี้จะเป็นเพลงรักหวานๆ แต่กลับถูกอวี๋หมิงซีร้องในอารมณ์เศร้าสุดๆ ความเศร้านั้นสะท้อนออกมาทางเสียงร้องของเธอ ด้วยอาชีพของเสี่ยวเชี่ยนทำให้เธอเข้าถึงอารมณ์ได้ไวกว่าคนปกติ ฟังแล้วก็เศร้าตามไปด้วย
เสียงเพลงของอวี๋หมิงซีปลุกความทรงจำที่ไม่ดีของเธอเมื่อชาติก่อน มีความหวาดกลัวเมื่อตอนที่ต้องแยกทางกับอวี๋หมิงหลาง นี่คือมนต์สะกดของเสียงเพลงของอวี๋หมิงซี
ตอนที่อวี๋หมิงซีร้องถึงท่อน ‘บ้านเกิดเมืองนอน สายตาทอดยาว น้ำตาหลั่งไหล น้องคิดถึงพี่จวบจนทุกวันนี้ ความรักลึกซึ้งที่ก่อเกิดยามลำบาก’ เสี่ยวเชี่ยนแน่ใจว่าเธอได้ยินเสียงอวี๋หมิงซีสั่นเล็กน้อย
เธอเงยหน้ามอง ใบหน้าของอวี๋หมิงซียังคงแต้มด้วยรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย แต่ตรงแก้มนั้นกลับมีหยดน้ำตา
ยิ้มทั้งน้ำตาเป็นความรู้สึกที่ทรมานที่สุด
ตกลงว่าเป็นคนแบบไหนกันแน่ ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร ถึงทำให้ผู้หญิงที่ชิลด์ๆอย่างอวี๋หมิงซีร้องเพลงทั้งน้ำตาแบบนี้ได้?
ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนปวดใจแทนอวี๋หมิงซี เธอก็ยังแอบดีใจที่ไห่เจาไม่มา
ก่อนมาเธอชวนไห่เจาแล้ว แต่เขาไม่มา โชคดีที่ไม่มา ไม่อย่างนั้นถ้าเขามาเห็นภาพนี้ไม่เสียใจอกแตกตายเลยเหรอ?
เขาที่เก็บคนที่รักที่สุดไว้ในหัวใจชนิดที่ไม่ให้ใครแตะต้อง รอยยิ้มของเธอทั้งหมดกลับมอบให้คนอื่น ทำตัวนิ่งเฉยกับเขา รักษาระยะห่าง
อวี๋หมิงซีได้มอบหยาดน้ำตาให้เขาคนนั้นที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเธอ ต่อให้นี่จะเป็นเพียงเพลงๆหนึ่ง แต่ท่วงทำนองอันคุ้นเคยก็ทำให้อวี๋หมิงซีอินหนัก
ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังแอบดีใจอยู่นั้นเธอไม่ได้เห็นที่มุมหนึ่งของที่นั่งด้านหลังสุด ผู้ชายสวมชุดทหารพร้อมหมวกคนหนึ่งได้ดึงปกเสื้อขึ้นมาปิดหน้า ร้องไห้ไปพร้อมกับผู้หญิงที่อยู่บนเวที นั่นก็คือไห่เจา
ผู้ชายที่รักอวี๋หมิงซีอย่างบ้าคลั่งมาตลอดหลายปี
เขามาแล้ว เขาเห็นแล้ว เห็นอวี๋หมิงซีที่เขาไม่ได้ครอบครองหัวใจเธอ เธอกำลังหลั่งน้ำตาให้กับผู้ชายคนอื่น
เสี่ยวเชี่ยนเคยบอกว่า โลกนี้เรื่องที่ไม่ยุติธรรมที่สุดก็คือเรื่องความรัก ทุ่มเทแล้วใช่ว่าจะได้สิ่งตอบแทน อาจได้สิ่งตรงกันข้ามด้วยซ้ำ อกหักคืออะไร?
ตอนนี้ไห่เจาเข้าใจทั้งหมดแล้ว
ร้องเถอะ ผู้หญิงที่ผมรัก คุณร้องไห้ ผมจะร้องเป็นเพื่อน ปล่อยให้น้ำตาแห่งความเสียใจนี้กลายเป็นสายฝนแห่งความเศร้าโศก แต่หัวใจคุณปิดแน่นขนาดนั้น ผมจะเข้าไปปลอบคุณได้อย่างไร…
นี่เป็นเพลงสุดท้าย พอร้องจบบรรยากาศก็เงียบไปสักพัก จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังสนั่น บทเพลงที่อวี๋หมิงซีร้องออกมาอย่างโศกเศร้าไพเราะกินใจผู้ชมทุกคน
เสี่ยวเชี่ยนไปรออวี๋หมิงซีที่ด้านหลังเวที อวี๋หมิงซีที่เปลี่ยนจากชุดแสดงที่หรูหรากลายเป็นเสื้อยืดธรรมดาพร้อมหมวกแก็ปและแว่นตาดำเหมือนพวกดาราพรางตัว ดูไม่เหมือนนักร้องที่เฉิดฉายบนเวทีเมื่อครู่ ประโยคแรกที่เธอพูดหลังเห็นเสี่ยวเชี่ยนก็คือ
“ไปเถอะ ฉันจะพาเธอไปหาคนที่อยู่ในใจฉันคนนั้น”
อวี๋หมิงซีขับรถพาเสี่ยวเชี่ยนออกจากเมืองหลวงขึ้นทางด่วน ระหว่างทางเสี่ยวเชี่ยนแอบปาดเหงื่อในใจแทนไห่เจาตลอด
เธอกลัวว่าอวี๋หมิงซีจะพาเธอไปสุสานสักที่ หรือไปเยี่ยมหลุมศพของเหล่าทหารกล้าสักแห่ง
ถ้าเป็นแบบนั้นก็จบกัน
คนเป็นไม่ทางแทนที่คนตายได้ เมื่อก่อนเธอเคยรักษาให้หูเหม่ยจิ้งอดีตลูกสะใภ้ของศาสตราจารย์หลิว ซึ่งเป็นเรื่องของความผูกพันระหว่างคนเป็นกับคนตาย สาเหตุที่เคสนั้นประสบความสำเร็จก็ต้องยกให้อาการบุคลิกสลับขั้วของหูเหม่ยจิ้ง เนื่องจากมีอาการทางจิตเวชนี้เข้ามาทำให้เธอลืมความทรงจำก่อนหน้านี้ได้ ด้วยเหตุนี้หูเหม่ยจิ้งจึงลืมความรักครั้งก่อนและยอมรับสามีคนปัจจุบันได้
ถ้าคนที่อยู่ในใจของอวี๋หมิงซีตายไปแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่ไห่เจาจะได้ครอบครองสาวงามก็แทบจะไม่เหลือเลย
อวี๋หมิงซีเป็นผู้หญิงที่จิตใจเข้มแข็งมาก ความสามารถในการแบกรับของหัวใจเธอหูเหม่ยจิ้งไม่มีทางเทียบได้ อวี๋หมิงซีไม่มีทางเป็นโรคบุคลิกสลับขั้ว เธอมีแต่จะจารึกคนๆนั้นไว้ในใจตลอดไป
เสี่ยวเชี่ยนคิดไปในแง่ร้ายที่สุด การที่อวี๋หมิงซีร้องเพลงได้เศร้าขนาดนั้น เกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่คนๆนั้นจะเสียชีวิตไปแล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่าอวี๋หมิงซีจะพาเธอมายังสถานที่ที่เธอคาดไม่ถึง
ขับรถมาสองชั่วโมงกว่า อวี๋หมิงซีพาเธอมายังคุกที่อยู่ชานเมืองในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง
เสี่ยวเชี่ยนมองป้ายเรือนจำแล้วใจลอยไปสักพัก
อวี๋หมิงซีจอดรถพาเสี่ยวเชี่ยนไปทำเรื่องขอเข้าไปข้างใน ดูเหมือนผู้คุมเรือนจำจะตกตะลึงกับการมาของอวี๋หมิงซี เขาชี้เธอพลางมองบัตรประจำตัวทหารที่อวี๋หมิงซียื่นให้ จากนั้นก็อ้าปากค้างอยู่สักพักกว่าคำพูดจะหลุดจากปาก
“คุณ คุณ — ผมเป็นแฟนเพลงของคุณ! แม่ผมชอบเพลงของคุณมากเลยครับ พ่อผมก็ชอบ ทั้งครอบครัวผมต่าง—”
การมาปรากฏตัวของดาราใหญ่ทำให้ผู้คุมรู้สึกเซอร์ไพร้ส์มาก เขาเป็นแฟนคลับเหนียวแน่นของอวี๋หมิงซี
อวี๋หมิงซียิ้มให้เขา “เดี๋ยวฉันเข้าไปเยี่ยมในคุกเสร็จจะแจกลายเซ็นพร้อมซีดีให้คุณนะคะนี่ไม่ถือเป็นการติดสินบนเจ้าพนักงานไม่ผิดกฎใช่ไหมคะ?”
“ฮ่าๆ คุณนี่มีอารมณ์ขันนะครับ ตามผมมาเลยครับ เดี๋ยวผมพาไปที่ห้องเยี่ยม”
เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงซีตามผู้คุมไปยังห้องเยี่ยม รอสักพักก็มีผู้คุมอีกคนหนึ่งมากระซิบคุยกับผู้คุมคนที่พาพวกเธอเข้ามา จากนั้นก็มองอวี๋หมิงซีด้วยสีหน้าลำบากใจ แล้วหันไปขอร้องอีกรอบ
เสี่ยวเชี่ยนได้ยินไม่ค่อยชัด ประมาณว่าอวี๋หมิงซีไม่ได้มาง่ายๆ ให้มาเจอแค่ครู่เดียวก็ยังดี
แฟนคลับเยอะก็มีข้อดีเหมือนกัน ในช่วงเวลาสำคัญก็ช่วยอวี๋หมิงซีได้
ที่แท้วันนี้ก็มีงานแสดงในเรือนจำ นักโทษที่อวี๋หมิงซีอยากเจอคนนั้นกำลังเล่นเปียโนอยู่ พอทำการแสดงเสร็จก็หมดเวลาเยี่ยมพอดี
กว่าผู้คุมคนนั้นจะช่วยให้อวี๋หมิงซีมีโอกาสได้เยี่ยมไม่ง่าย อนุญาตให้อวี๋หมิงซีเข้าไปหาคนๆนั้นที่ด้านหลังเวทีได้ แต่ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะดีอวี๋หมิงซีกลับพูดขึ้น
“ช่างเถอะ อย่าให้สิทธิพิเศษกับฉันเลยดีกว่า กฎก็ต้องเป็นกฎ ครั้งหน้ายังมีโอกาส”
“แต่ว่า—” ผู้คุมคนนั้นยังอยากพูดต่อ อวี๋หมิงซีหันไปยิ้มให้แทนคำขอบคุณ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณช่วยฉันอย่างเต็มที่แล้ว ขอบคุณที่สนับสนุนฉันนะคะ แล้วฉันจะส่งซีดีพร้อมลายเซ็นมาให้คุณค่ะ ขอบคุณนะคะ!”
พอออกจากเรือนจำเสี่ยวเชี่ยนก็เดินขึ้นรถไปนั่งตรงที่คนขับอย่างรู้หน้าที่ ไล่อวี๋หมิงซีไปนั่งอีกฝั่ง
เมื่อกลับไปถึงเมืองQก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เสี่ยวเชี่ยนขับไปจอดที่ผับของเจิ้งซวี่
บอดี้การ์ดหน้าผับจำเสี่ยวเชี่ยนได้ พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนมาจึงรีบพาไปหาที่นั่งที่สงบๆ พร้อมสั่งให้ลูกน้องสองคนยืนเฝ้าไม่ให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาได้
เสี่ยวเชี่ยนฝากไวน์แดงชั้นดีไว้ที่นี่สองขวด เธอให้หยิบออกมา
“ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนพี่เอง” เสี่ยวเชี่ยนแกว่งแก้ว “ได้ยินว่าพี่กินเหล้าไม่เก่งเท่าเสี่ยวเฉียง”
“ไม่มีคำถามจะถามแล้วเหรอ?”
อวี๋หมิงซีรู้สึกแย่มาตลอดทาง เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่ได้รบกวนเธอ ตอนนี้ดูอวี๋หมิงซีดีขึ้นบ้างแล้วถึงได้แกล้งถามดู
“ถามอะไร? ถามว่าคนที่ให้พี่รอเป็นใครน่ะเหรอ? ฉันเห็นแล้วตอนที่พี่กรอกเอกสาร” ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนรู้แล้วว่าคนที่อวี๋หมิงซีต้องการเยี่ยมคือใคร