เสี่ยวเชี่ยนไม่บังคับเขา ไม่ไปก็ไม่ไป
รอดูพรุ่งนี้ว่าอวี๋หมิงซีรู้สึกยังไง เธอมีวิธีให้ไห่เจาปรากฏตัวอยู่แล้ว
ประธานเชี่ยนไม่เคยแพ้ในด้านวิชาชีพของตัวเอง—การสะกดจิตแบบแทรกซึมที่แพ้ให้แมวหลีฮวาอันนั้นไม่นับ
ตอนที่อวี๋หมิงซีเห็นเสี่ยวเชี่ยนที่ด้านหลังเวทีเป็นตอนที่อีกครึ่งชั่วโมงการแสดงจะเริ่มอย่างเป็นทางการ
เธอเห็นรอยสักรูปดอกโบตั๋นแสนสวยบนไหล่ของเสี่ยวเชี่ยนในแวบแรก จึงเอามือไปลูบด้วยความสงสัย
“นี่ของสักจริงหรือของปลอม? ผู้ชายใจแคบอย่างน้องเล็กไม่น่ายอมให้เธอสักของแบบนี้บนร่างกายหรอก”
“ของปลอมค่ะ ใช้หมึกแบบพิเศษ เรียกว่ารอยสักแบบเจ็ดวัน อยู่ได้ประมาณเจ็ดวัน”
เสี่ยวเชี่ยนแอบภูมิใจ
อวี๋หมิงหลางไอ้คนหน้าด้าน พอเสร็จกิจก็ทำตัวเหมือนโจร ใส่เสื้อฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเตรียมตัวไปทำงาน ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นพวกชุดออกงานที่เธอเลือกไว้
สีกับแบบต่างกัน แต่มีจุดที่เหมือนกันก็คือ เปิดไหล่!
เรื่องนี้เสี่ยวเฉียงทนไม่ได้
ไหล่เนียนสวยของเมียเขา ไหปลาร้าที่แสนงดงาม จะปล่อยให้คนอื่นมาเห็นได้ยังไง!
ครั้นแล้วตานี่ก็วกกลับเข้าไปหาเธอใหม่ จับเธอที่เตรียมจะลุกไปล้างหน้าล้างตากดลง จากนั้นก็จูบที่ไหลเธอจนเป็นรอย แล้วออกไปทำงานอย่างอารมณ์ดี
ตอนแรกเสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจการกระทำของเขา จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จเตรียมใส่ชุดก็เห็นรอยแดงที่หัวไหล่ เธอเข้าใจแผนชั่วร้ายของหมาทหารหนังเขียวขึ้นมาทันที
ดั่งคำพูดที่ว่าที่ไหนมีการกดขี่ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน เสี่ยวเชี่ยนไม่ยอมให้เขาได้ใจอยู่ฝ่ายเดียว เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมีรูปลอกกับหมึกแบบพิเศษที่อยู่ได้เจ็ดวันของเมืองนอก จึงเอามาสักเป็นรูปดอกโบตั๋นให้ตัวเอง”
เพื่อยั่วโมโหหมาทหารจอมขี้หึง เธอยังได้ถ่ายรูปแล้วส่งไปให้เขาดู คาดว่าอวี๋หมิงหลางเห็นแล้วต้องโกรธจนหน้าเขียวแน่นอน พอนึกถึงสีหน้าโกรธๆของเขาแล้ว เสี่ยวเชี่ยนก็อารมณ์ดีได้ทั้งวัน
“ดูท่าทางเธออารมณ์ดีนะ” อวี๋หมิงซีสังเกตเสี่ยวเชี่ยน ถึงเสี่ยวเชี่ยนจะทำหน้าเฉยๆ แต่สีหน้าที่สดใสเป็นตัวบ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังอยู่ในห้วงแห่งความสุข
“แล้วพี่ไม่อารมณ์ดีเหรอคะ? อายุยังไม่ถึงสามสิบ แต่กลับได้เปิดคอนเสิร์ตเดี่ยวในโรงละครระดับประเทศ ถือเป็นความสำเร็จในอาชีพนะคะ”
“อาชีพ…นั่นสินะ ก็ถือว่าฉันประสบความสำเร็จในอาชีพ ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้ยีนดีๆกับฉันมา พรสวรรค์ของฉันก็พอได้อยู่” อวี๋หมิงซีไม่ถ่อมตนเรื่องงาน แต่ใบหน้าของเธอกลับฉายแววโศกเศร้าอยู่บางๆ
“เสี่ยวเชี่ยน รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงจัดคอนเสิร์ตวันนี้?”
“ที่เลือกวันนี้เพราะมีความพิเศษเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนฟังออกว่าคำพูดของอวี๋หมิงซีแฝงความนัย
“เดี๋ยวเธอก็รู้” สายตาของอวี๋หมิงซีทอดยาวไปไกล
เสี่ยวเชี่ยนอยู่หลังเวทีจนคอนเสิร์ตใกล้เริ่มถึงออกไป ด้านหลังยุ่งวุ่นวายมากแตกต่างจากด้านหน้าที่แสงสีตระการตา อยู่ๆเธอก็รู้สึกว่าชีวิตคนเราเป็นดั่งเวทีขนาดใหญ่
คนเรามักจะเอาด้านที่สดใสสวยงามไว้ภายนอกให้คนอื่นเห็นเสมอ แต่เบื้องหลังมีแค่ตัวเองที่เห็น
เนื่องจากเป็นนักร้องทหาร คอนเสิร์ตเดี่ยวของอวี๋หมิงซีจึงเล่นใหญ่ไม่ได้มากเท่าคอนเสิร์ตของศิลปินทั่วไป ผู้ชมที่ด้านล่างเวทีก็ค่อนข้างเก็บอาการ ไม่มีเด็กวัยรุ่นส่งเสียงเมามันกับคอนเสิร์ต แต่ดูออกเลยว่าแฟนคลับแต่ละคนฐานะไม่ธรรมดา
ก่อนเสี่ยวเชี่ยนเข้ามาเธอเห็นรถหรูหลายคันที่ลานจอดรถ บางคันเป็นรถของทหาร ล้วนมาให้กำลังใจอวี๋หมิงซีกันทั้งนั้น
นักร้องอาชีพยังไงก็แตกต่างจากดารานักร้องมือสมัครเล่นอยู่ดี คุณภาพของผู้ชมสูงมาก ไม่มีการตะโกนโหวกเหวก เป็นระเบียบเรียบร้อย
เมื่อก่อนเสี่ยวเชี่ยนเคยฟังอวี๋หมิงซีร้องเพลง น้ำเสียงของเธอค่อนข้างมีเอกลักษณ์ มีพลัง เสียงโทนสูง ขับร้องเพลงทหารที่ออกแนวปลุกใจใช้พลังเยอะได้อย่างสบาย ฟังแล้วให้ความรู้สึกฮึกเหิมมีกำลังใจ
เพลงส่วนใหญ่ในวันนี้ล้วนเป็นเพลงแนวถนัดของอวี๋หมิงซี ตอนอยู่บนเวทีดูแตกต่างกับยามปกติ สง่างามมีเสน่ห์น่าหลงใหล เวลาอยู่บ้านเป็นคนประเภทที่ว่าน้ำไม่อาบผมไม่หวี วันๆสวมเสื้อยืดแทบไม่ทาครีมบำรุงอะไรเลย แต่พอยืนอยู่บนเวทีกลับกลายเป็นอีกคนที่เสน่ห์ล้นเหลือ
ฟังในคอนเสิร์ตแตกต่างจากฟังจากซีดี เสี่ยวเชี่ยนยอมรับเลยว่าอวี๋หมิงซีเกิดมาเพื่อเป็นศิลปินของแท้
เสี่ยวเชี่ยนนั่งตรงที่แขกวีไอพี ใกล้เวทีมาก คนรอบตัวเธอล้วนมีฐานะดีทั้งนั้น เสี่ยวเชี่ยนเหลือบไปเห็น ตรงที่นั่งริมๆมีผู้ชายหลายคนที่ดูร่ำรวยต่างมองอวี๋หมิงซีด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม ถ้าอวี๋หมิงซีอยากหาคู่ครองเลือกจากในนี้มาสักคนยังได้ รับรองอาจเกิดศึกชิงนาง
เมื่อเทียบเรื่องฐานะกับคนพวกนี้ ไห่เจาก็ไม่ได้แย่
ฐานะครอบครัวของไห่เจาไม่ได้ด้อยกว่าตระกูลอวี๋มากนัก แต่ถ้าดูเรื่องความก้าวหน้า ก็ไม่ถึงกับดีมาก
ถ้าเทียบกับพี่ใหญ่ที่อยู่ในระดับเศรษฐีก็ยังห่างชั้นกันเยอะ ถึงในอนาคตเขาจะก้าวหน้าในเรื่องการงานมาก แต่ ณ ปัจจุบันนี้ยังอยู่ในช่วงฝ่าฟัน
นึกถึงผลแบบทดสอบที่ไห่เจาทำเสี่ยวเชี่ยนก็ลอบถอนใจ ไห่เจาชอบอวี๋หมิงซีจริงๆ ส่วนอวี๋หมิงซีนั้น...
เสี่ยวเชี่ยนกำลังคาดคะเน บนเวทีมีแขกรับเชิญเพิ่มเข้ามา อวี๋หมิงซีลงไปเปลี่ยนชุด แขกรับเชิญกำลังร้องเพลงรื่นเริงของทหาร พอเธอร้องเสร็จแสงไฟก็ดับลง
ทันใดนั้นก็มีแสงไฟสว่างขึ้นตรงจุดหนึ่ง อวี๋หมิงซีค่อยๆโผล่ขึ้นมาบนเวที ผู้ชมจากเดิมที่นั่งกันเรียบร้อยก็อยู่ในอาการตื่นตาตื่นใจ
อวี๋หมิงซีโผล่มาจากกลางเวที ปกติเวลาเธอทำการแสดงจะอยู่ในชุดราตรีที่ค่อนข้างเป็นทางการหรือไม่ก็ชุดทหาร แต่เวลานี้เธออยู่ในชุดกี่เพ้า เปลี่ยนทรงผม ผู้ชมต่างไม่เคยเห็นเธอแต่งตัวแบบนี้มาก่อนจึงฮือฮา
ตัดแสงไฟที่สว่างเจิดจ้าทิ้ง ตัดท่วงทำนองของเพลงทิ้ง เหลือเพียงเธอคนเดียวยืนอยู่ตรงหน้าเสาไมโครโฟน น้ำเสียงของเธอเหมือนแม่เหล็กดึงดูดผู้ชมในที่แห่งนี้
รอบตัวมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจุดเดียวบนเวที ช่วยขับให้อวี๋หมิงซีดูอ่อนหวานดั่งสาววัยแรกแย้ม
ไม่สิ มันแปลกๆนะ
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เธอมีลางสังหรณ์ว่า อวี๋หมิงซีจงใจให้เธอมาเป็นไปได้ว่าก็เพื่อช่วงเวลาที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้!
“ในวันที่พิเศษนี้ ฉันอยากใช้เพลงที่แสนพิเศษมอบให้แด่คนที่สำคัญในชีวิตฉัน วันนี้เป็นวันเกิดของเขา เขาเป็นอาจารย์ที่ช่วยจุดประกายด้านดนตรีให้กับฉัน เพลงนี้ ฉันอยากมอบให้เขาค่ะ”
อวี๋หมิงซีพูดจบก็มีเสียงเปียโนดังขึ้นจากมุมหนึ่งของเวที
มีเพียงเสียงเปียโน ไม่มีอย่างอื่นอีก แต่พออวี๋หมิงซีเริ่มร้องบรรยากาศก็อยู่ในความเงียบ เสียงเปียโนอันไพเราะเข้ากันได้ดีกับเสียงร้องคุณภาพ บรรเลงเพลงที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากก่อนหน้านี้
“สุดหล้า~ฟ้าเขียว ตามหา~คนรู้ใจ น้องร้องเพลงพี่เล่นเปียโน เราสองคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียว”
เพลงรักสุดหล้า!
เพลงนี้นี่เอง!
เสี่ยวเชี่ยนนึกออกแล้ว แม่สามีเธอเคยบอกว่าเสี่ยวซีร้องเพลงนี้เพราะมาก ในสายตาของผู้ชายตระกูลอวี๋ที่เป็นทหารกันหมดคงคิดว่านี่เป็นเพลงที่ไพเราะเพลงหนึ่ง แต่เสี่ยวเชี่ยนฟังแล้วกลับปาดเหงื่อแทนไห่เจา
เพลงพิเศษเพลงนี้จะต้องเป็นเพลงที่อวี๋หมิงซีใช้ระลึกถึงใครแน่! ความรู้สึกที่อยู่ในเพลงนี้มันไม่เหมือนเพลงอื่น!