การยิงธนูอย่างต่อเนื่องหกสิบครั้งก่อให้เกิดเสียงธนูที่ทรงพลัง
เพียงแค่เสียงยังน่ากลัวถึงเพียงนี้ แล้วตัวศรธนูจะน่ากลัวเพียงใดกัน?
จิตใจของซือหยูสดใสและเป็นประกายผ่านสายธนู
ฟึ่บ–
ฟึ่บ–
เสียงทำลายล้างก้องนภาดังในระยะเวลาสั้นๆ
คลื่นที่เหลือทั้งหกสิบคลื่นถูกทำลายสิ้น
แค่อึดใจเดียว คลื่นทั้งหมดก็ถูกทำลาย!
หอชมจันทร์เงียบกริบ
ทุกคนจ้องซือหยูด้วยความหวาดกลัว
การโจมตีจากอำมฤตระดับสี่ถูกต่อต้านเอาไว้ได้!
เจ้าตำหนักหยินหยูแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?
หลิวลี่สีหน้าหม่นหมอง เขาจ้องธนูสีเงินของซือหยูและมิอาจละสายตาไปได้
ซือหยูรับมือกับพลังของโจวเนี่ยนเฉินได้!
โจวเนี่ยนเฉินเบิกตากว้าง เขามิอาจเชื่อว่าการโจมตีที่เขาใช้ทุกอย่างที่มีจะเอาชนะเด็กในขอบเขตอำมฤตระดับสามไม่ได้!
ซือหยูยืนอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้ขยับไปไหนเลย
สายลมพัดผ่านเสื้อผ้าและเส้นผมจนยุ่งเหยิง แต่ก็มิอาจทำให้ความใจเย็นของเขาลดลงไป
“ข้าต่อให้เจ้าสองกระบวนท่าแล้ว คราวนี้คงถึงทีของข้า ใช่หรือไม่?”
เสียงของซือหยูเบื่อหน่าย บอกไม่ได้ว่าเขาสุขหรือเศร้า และก็ไม่รู้ว่าเขาสบายใจหรือโกรธแค้น
ทุกคนต่างนึกขึ้นได้ว่าซือหยูไม่เคยเป็นคนเริ่มโจมตีก่อนเลย เขาเป็นฝ่ายป้องกันมาโดยตลอด
เป็นเช่นนั้นจนผ่านมาสองกระบวนท่า
แต่มันคือการต่อให้อีกฝ่ายสองกระบวนท่าโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว!
โจวเนี่ยนเฉินหยุดประมาทซือหยู เขาจ้องธนูของซือหยูและหวาดกลัวอย่างมาก
ธนูนั่นน่ากลัวเกินไป!
“ถึงเจ้าจะป้องกันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมีพลังสู้กับข้าได้!”
โจวเนี่ยนเฉินตะคอกอย่างเย็นชา พลังวิญญาณได้ก่อตัวรวมกับในร่างกลายเป็นคลื่นพลังป้องกันตัว
คลื่นกลืนกินกลับมาเป็นภาวะป้องกัน
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูไม่สนใจ เขาดึงสายธนูและเล็งไปที่อกของโจวเนี่ยนเฉิน
ฟึ่บ–
เขายิงธนู!
ฟึ่บ–
เขายิงอีกครั้ง!
ฟึ่บ–
…
ซือหยูแสดงทักษะธนูอันน่าตกตะลึง
เขายิงสิบดอกในคราเดียว ปลายศรวิญญาณทุกดอกล้วนต่อกันท้ายศรก่อนหน้า ศรวิญญาณสิบดอกราวกับสายโซ่ไข่มุก! มันน่าประทับใจอย่างมาก!
ศรวิญญาณทั้งสิบเชื่อมต่อกันและตรงไปยังอกของโจวเนี่ยนเฉินอย่างสมบูรณ์แบบ
ฟึ่บ–
ศรวิญญาณดอกแรงถูกกลืนกินไปด้วยคลื่นกลืนกิน
แต่ชั้นพลังที่ป้องกันถูกก่อก่วน
แต่ก่อนที่คลื่นพลังจะสร้างขึ้นใหม่ ศรวิญญาณดอกที่สองก็พุ่งเข้ามาแทนที่
ฟึ่บ–
ศรวิญญาณทะลวงผ่านคลื่นกลืนกินไปหนึ่งนิ้ว
แต่ก่อนที่คลื่นจะเข้ามาปิดบังกาย ศรวิญญาณดอกที่สามก็พุ่งเข้ามา
ฟึ่บ–
ในครั้งนี้ คลื่นกลืนกินถูกทะลวงไปสามนิ้ว!
ฟึ่บ–
ห้านิ้ว!
ฟึ่บ–
…
ศรวิญญาณต่อเนื่องสิบดอกที่ตามตำแหน่งเดียวกันได้ทำลายการป้องกันขั้นสูงสุดของคลื่นกลืนกิน!
จนถึงดอกสุดท้าย…
ครืน—
ปั้ง—
พลังวิญญาณทะลวงการป้่องกันและซัดเข้าใส่อกของโจวเนี่ยนเฉิน
พลังอันแข็งแกร่งฉีกกระชากร่างของเขา
โจวเนี่ยนเฉินถอยไปเก้าครั้งและกระแทกเข้ากับรั้ว
โลหิตไหลรินจากมุมปาก
ทุกคนที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่รู้จะเอาคำใดมาอธิบายในสิ่งที่พวกเขารู้สึก
ซือหยูได้รับชัยชนะ!
อำมฤตระดับสามต่อสู้กับอำมฤตระดับสี่และชนะได้จริงๆ!
ถ้าทุกคนไม่เห็นกับตาก็คงยากที่จะเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้
ศรวิญญาณไม่ได้ทะลวงผ่านร่างของโจวเนี่ยนเฉิน แต่ทำให้เขาบาดเจ็บเล็กน้อย แต่นี่คือการประลอง…นั่นหมายถึงชัยชนะของซือหยู
เอี๊ยด—
แต่ซือหยูก็ไม่คิดจะหยุด เขาดึงสายธนูอีกครั้ง
โจวเนี่ยนเฉินใบหน้าเคร่งเครียด เขาทั้งอับอายและโกรธแค้น
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้างั้นรึ?”
พรึ่บ–
ในตอนนั้น มู่เทียนฟางบินเข้ามาขวางทั้งสอง
“งานเลี้ยงจันทร์กระจ่างมิใช่ที่ที่พวกเจ้าจะฆ่าแกงกัน”
ใบหน้ามู่เทียนฟางแสดงความเคารพ
ซือหยูลังเลก่อนจะเก็บธนูกลับไป
เพราะอย่างไรที่นี่ก็คือดินแดนของปราการวิหคเพลิง เขาต้องแสดงความเคารพอยู่บ้าง
โจวเนี่ยนเฉินรู้สึกอับอายกว่าที่จะอยู่ต่อ
“ฮื่ม หยินหยู อีกสามวันเราจะต้องประลองกันอีกครั้ง!”
ฟึ่บ–
โจวเนี่ยนเฉินหายลับขอบนภา
“มีใครอยากจะประลองอีกหรือไม่?”
มู่เทียนฟางยกผ้าเช็ดหน้าของเฟิงเซี่ยนขึ้นสูง
ทุกคนเงียบกริบ
เมื่อได้เห็นพลังของซือหยู ใครกันกล้าจะสร้างภัยพิบัติให้กับตัวเอง?
ซือหยูยืนมือไพล่หลังและจับจ้องไปที่หลิวลี่
“ข้าทำเจ้าผิดหวัง ข้าสร้างโอกาสให้เจ้าแสดงพลังไม่ได้ ถ้าเจ้าคิดว่ามันยังไม่พอเจ้าก็ออกมาประลองกับข้า เจ้าอาจจะมีโอกาสได้แสดงพลังอยู่บ้าง”
ก่อนจะสู้ หลิวลี่นั้นได้ถากถางและเชื่อว่าซือหยูจะต้องพ่ายแพ้ ดังนั้นเขาจึงขอให้ซือหยูต่อสู้จนถึงที่สุดเขาจะได้เอาเกียรติยศของอาณาจักรทมิฬกลับมาในภายหลัง
แต่ก็น่าเสียดายทีซือหยูมิได้พ่ายแพ้ เขากลับชนะ
หลิวลี่ไม่แยแส
“ข้าไม่สนใจในผ้าเช็ดหน้า และพลังของเจ้าก็แค่อยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่คู่ควรที่เจ้าจะมาสู้กับข้า”
“ชนะโจวเนี่ยนเฉินไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาแพ้ข้าหลายต่อหลายครั้ง เจ้ายังไม่เหมาะที่จะสู้กับข้า”
หลิวลี่มั่นใจอย่างมาก แต่เขาก็พูดถูก โจวเนี่ยนเฉินนั้นพ่ายแพ้เขาหลายต่อหลายครั้ง!
ซือหยูหัวเราะ
“ถึงเรื่องจะมาถึงขั้นนี้เจ้าก็ยังอิ่มเอมใจอยู่ได้รึ? สำหรับเจ้า การเอาชนะโจวเนี่ยนเฉินนั่นหมายถึงเจ้าอยู่เหนือทุกคน แต่ข้าที่เอาชนะเขาได้กลับไม่ใช่ปัญหา โจวเนี่ยนเฉินที่เจ้าชนะกับโจวเนี่ยนเฉินที่ข้าชนะมันต่างกันยังไงรึ?”
หลิวลี่ยืนขึ้นช้าๆ
“เจ้าไม่เข้าใจขอบเขตของข้า”
“ไม่ใช่ปัญหา ถ้าประลองที่นี่ นั่นจะไม่ทำให้ตัดสินได้หรอกรึ? หรือว่าเจ้ากลัวจนไม่กล้าจะประลองกับข้า?”
ซือหยูพูดตอบ
หลิวลี่กลับไม่สนใจซือหยูจนทุกคนต้องประหลาดใจ เขาเรียกวิหคครามและกระโดดขึ้นหลังของมันบินเหนือนภา
เขาบินขึ้นสูงและส่ายหน้าเหยียดหยาม
“เจ้าไม่คู่ควรพอที่ข้าจะต่อสู้ด้วย!
ฟึ่บ–
เขาพูดจบและออกจากหอวิหคเพลิงอย่างรวดเร็ว
แม้เหล่าคนรอบข้างจะไม่พอใจในความหยาบคายของหลิวลี่ แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเขากำลังหนี นั่นก็เพราะว่าหลิวลี่แข็งแกร่งจนเกินธรรมดา
ตามคำร่ำลือ โจวเนี่ยนเฉินนั้นยากที่จะทนได้แม้สามกระบวนท่าของหลิวลี่
ทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
ซือหยูเข้าใจหลิวลี่ดี
มันไม่ใช่เพราะหลิวลี่ไม่อยากประลองเพราะซือหยูไม่คู่ควร เขาแค่ไม่คิดจะประลอง
ถ้าซือหยูยังคงเป็นคนที่มีพลังต่ำต้อยในจิตใจ เขาก็คงจะตำหนิซือหยูไปนานแล้ว เพราะเขาจะได้แสดงพลังอันล้นเหลือและน่าภูมิใจยิ่งกว่า
แต่เขาก็พบว่าซือหยูมีความชำนาญในวิชาธนูอย่างยิ่งและเป็นปัญหา เขาจึงไม่คิดจะเสียแรงและเสี่ยงที่จะบาดเจ็บก่อนงานชุมนุมวิหคเพลิง
เขาจึงจากไปอย่างหยิ่งผยอง
“ถ้าไม่มีใครอยากจะประลอง ผ้าเช็ดหน้านี้จะถูกมอบให้กับเจ้าตำหนักหยินหยู”
มู่เทียนฟางยิ้มและมอบผ้าเช็ดหน้าให้กับซือหยู นางพูดอย่างลึกลับ
“เจ้าควรจะเก็บผ้าเช็ดหน้านี้ไว้อย่างดี มันมีความหมายอื่นอยู่อีก”
เมื่อผ้าเช็ดหน้าถูกวางลงบนมือ เขาก็รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ที่เกิดจากสตรีอันละเอียดอ่อน
ซือหยูราวกับได้เจอเซี่ยนเอ๋อที่โบกมือยิ้มให้เขาอีกครั้ง
พวกเขาแยกจากกันมาหนึ่งปี เซี่ยนเอ๋ออาจจะเติบโตขึ้น
ซือหยูเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้อย่างระวัง เขากลับไปนั่งและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับซงหลวนและคนอื่นๆ
“หยินหยู ระดับปัญญาของเจ้าสูงส่งจนน่าตกใจ!”
ซงหลวนกล่าวชมเชยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ในความทรงจำของข้า ในยุคนี้ มีแค่เฟิงเซี่ยนเท่านั้นที่บรรลุฎีกาสวรรค์ระดับเทพ!”
“แต่ก็ดูเหมือนว่าฎีกาสวรรค์ของเจ้ามันขาดอะไรไป”
ซงหลวนครุ่นคิด
ซอืหยูตกใจ ฎีกาสวรรค์ของเขากำลังพบเจอกับสิ่งกีดขวาง
และแม้ว่าเขาจะบรรลุระดับเทพ เขาก็ยังรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่าง