หัวไหล่นางขยับ
กลิ่นหอมสดชื่นที่ลอยผ่านหน้านางผสมกับกลิ่นสุราดอกเหมยเล็กน้อย ทำเอาพระองค์แสดงความประทับใจออกมาจากสีหน้า ใช้จังหวะปลอดคนและอาศัยตอนที่นางกำลังจิตใจเลื่อนลอย สองแขนยกขึ้นฉับพลัน โอบเอวของนางไว้อย่างอดไม่อยู่ ดึงนางเข้าสู่อ้อมอกแล้วกระชับไว้แน่น “หลังจากที่เจ้าสามกลับจากฉังชวนมารับความดีความชอบที่ราชสำนัก สีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่ง เหล่าขุนนางต่างรายล้อมกันมาผูกไมตรี ท่าทางคล่องแคล่วว่องไวไม่น้อย หรือมิได้มีใจคิดแย่งบัลลังก์เลยแม้แต่น้อย เรื่องฮองเฮาครานี้ ก็เชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่เขาถูกวางยาพิษเมื่อหลายปีก่อน ก่อนหน้านี้ข้าเคยแอบขอให้เขาช่วยฟ้องร้องกราบทูลต่อหน้าธารกำนัล อย่างน้อยก็ยังได้ช่วยเป็นแรงให้ข้าได้ แต่เขากลับอ้อมค้อมปฏิเสธ! เขายอมไม่กราบทูลเรื่องราวความแค้นที่โดนวางยา ซ้ำยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่กล่าวอะไรสักคำ ก็เพราะว่าเขารักหน้าตา ห่วงชื่อเสียง อยากจะนั่งบนภูดูเสือกัดกัน![1] ข้าถูกเจี่ยงฮองเฮาเล่นงานหรือพินาศกันทั้งคู่ อย่างไรก็มีประโยชน์กว่าการทูลความแค้นของตนเป็นไหนๆ จะเลือกอย่างไร เขาย่อมรู้ดี” เห็นนางเริ่มดิ้นขัดขืน ก็ยิ่งกระชับกอดให้แน่นขึ้น กระซิบเสียงแหบพร่าว่า “เช่นนี้…เขามีสักกี่ครั้งที่คิดถึงพี่น้องอย่างข้า เขาจะอ่อนโยนไปกว่าข้าได้สักเท่าใดกันเชียว”
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังมาถึงตรงนี้ ในใจก็เต้นแรงขึ้น ที่ก่อนหน้านี้ฉินอ๋องให้นางวางมือจากฮองเฮา ไม่ให้เป็นศัตรูต่อกัน หรือกระทั่งเรื่องที่นางตรวจสอบฮองเฮา เขาก็ดูไม่ชอบใจนัก
เดิมทีนางคิดว่าเขากลัวจะเกิดเรื่องอะไรกับนางขึ้น จึงได้คัดค้านอย่างนั้น
ที่แท้ยังมีเหตุผลอื่นอีก เขาอยากยืมมือฮองเฮามากำจัดไท่จื่อ
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดพลันลืมว่าต้องดิ้นขัดขืนไปชั่วครู่
ขณะนั้นเอง ขันทีตงกงก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ลมหายใจหอบแฮ่กๆ “ทูลไท่จื่อ ตำหนักซือฝามีเรื่อง…” พอเงยหน้าก็เห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจนเต็มสองตา ขันทีคนนั้นตะลึงตะลาน
ไท่จื่อกอดพระชายาฉินอ๋องเอาไว้จากด้านหลังไม่ยอมปล่อย
เป็นจริงดังที่ข่าวลือในวังว่าไว้!
อวิ๋นหว่านชิ่นถองศอก ทุบพระองค์อย่างแรงทีหนึ่ง ถลึงตามองอย่างดุดัน
ไท่จื่อจัดๆ เสื้อคลุม มองขันทีคนนั้นคราหนึ่ง ตรัสอย่างไม่ใส่ว่า “คนของตงกงไม่แพร่งพรายความลับ หากเจ้าไม่วางใจ ข้าจะดึงลิ้นเขาทิ้งเสีย ให้เขาพูดไม่ได้”
ขันทีพลันคุกเข่าลงกับพื้น “ฝ่าบาทโปรดทรงไว้ชีวิตด้วย! พระชายาฉินอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย! บ่าวไม่เห็นอันใดทั้งนั้น! บ่าวสาบาน หากกล้าเอ่ยอันใดไปแม้แต่ครึ่งคำ ขอให้ถูกดาบนับพันสังหารตายอย่างอเนจอนาถ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองไท่จื่อคราหนึ่ง ยังคงสับสนว่าประโยคใดจริงประโยคใดลวง นางกล่าวกับขันทีว่า “เจ้าลุกขึ้นเถิด มิมีผู้ใดตัดลิ้นเจ้าหรอก”
ขันทีเมื่อเห็นว่าเป็นไรแล้วก็ซับเหงื่อลุกขึ้น
ไท่จื่อยิ้ม “ยังไม่ขอบพระทัยพระชายาฉินอ๋องอีก”
ขันทีร้องไห้เต็มหน้า “พระชายาฉินอ๋อง! ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่จื่อพระพักตร์มืดครึ้ม เปลี่ยนมาเข้าเรื่อง “ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ก็จะถูกส่งตัวให้สำนักพระราชวังแล้วหรือ เกิดอันใดขึ้น” แม้จะทราบสถานการณ์โดยรวมของเจี่ยงฮองเฮาแล้ว แต่สำนักพระราชวังยังไม่รับตัวไป อีกทั้งยังมิได้ตัดสินโทษที่แน่ชัดและถอนตำแหน่งฮองเฮาไป ไท่จื่อก็ยังไม่วางใจลงได้สักวัน พระองค์ให้คนไปจับตาดูตำหนักซือฝา ไม่ว่าเจี่ยงฮองเฮาจะมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพียงใดก็ต้องมารายงานให้หมด
ขันทีได้สติขึ้น ทูลรายงานว่า “ฮองเฮาให้คนไปทูลฮ่องเต้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปสำนักพระราชวังแล้ว วันนี้จึงอยากพบฮ่องเต้อีกเป็นครั้งสุดท้าย”
ไท่จื่อหัวเราะเสียงเย็นชา “ยังมีอันใดให้น่าพบกัน หรือจะร้องขอความเมตตา นางยังทำเสด็จพ่อกริ้วโกรธไม่พอหรือไร”
ขันทีส่ายหน้า “ที่ขอพบหน้าฝ่าบาทยามนี้ เกรงว่าจะเป็นแผนการหนึ่งของนาง ตั้งนานไม่ร้องขอความเมตตา รอมาจนจะถึงวันไปสำนักพระราชวังแล้วจึงได้ร้องขอหรือ บ่าวคิดว่าฝ่าบาทน่าจะเสด็จไปดูสักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ กันไว้ดีกว่าแก้ ฮ่องเต้และฮองเฮาครองคู่กันมาตั้งกี่ปี หากฮองเฮาเสียใจร้องห่มร้องไห้แล้วฮ่องเต้ทรงพระทัยอ่อนขึ้นมา…”
ไท่จื่อรอยยิ้มแข็งทื่อ เจี่ยงฮองเฮาโทษทัณฑ์ใหญ่หลวง ก่อเรื่องเสียจนรู้ไปทั้งราชวงศ์ เพียงแต่ยังไม่ป่าวประกาศให้ขุนนางและไพร่ฟ้าได้รู้กันเท่านั้น ต่อให้ฮ่องเต้พระทัยอ่อนอย่างไรก็ไม่มีทางยื่นข้อเสนออื่นใดให้นางแน่ หากแต่…เพื่อความสบายใจ ไปดูเสียหน่อยก็ดี
แววตาพระองค์พลันเข้มขึ้น “เจ้าไปตำหนักซือฝากับข้า” พึ่งจะตรัสจบก็ได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวว่า “ข้าจะไปกับไท่จื่อด้วย”
ขันทีสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง นี่ช่างตัวติดกันเสียเหลือเกิน ไท่จื่อไปที่ใด นางก็ติดตามไปด้วย ขันทีก้มหน้าไม่กล้าแสดงท่าที ทำเป็นหูหนวกตาบอด
ไท่จื่อพลันฉงน “เจ้าจะไปทำอันใด”
พิษของตุ๊กตาหุ่นเชิดที่ทำใส่ฉินอ๋องตัวนั้น จนถึงตอนนี้ยังมิได้จัดการให้ถูกวิธี แต่โชคดีที่คนที่วางยาพิษยังอยู่ รอเจี่ยงฮองเฮาถูกส่งตัวไปสำนักพระราชวังแล้ว ไม่ว่าเจี่ยงฮองเฮาจะถูกส่งเข้าตำหนักเย็นหรือต้องเข้าคุกไป ก็จะไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นอยากใช้โอกาสสุดท้ายที่มีอยู่นี้ไปตรวจดูเสียหน่อย
นางมิได้ตอบไปอย่างกระจ่างแจ้ง “ฮองเฮาไม่ยอมรับผิดเรื่องที่วางยาพิษฉินอ๋อง ข้าไม่ชอบใจเท่าใดนัก จึงอยากจะอาศัยช่วงก่อนที่นางจะออกจากวังไถ่ถามให้ชัดเจน”
แม้ไท่จื่อจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็มิได้ห้ามอันใด “ไปกันเถิด” ตรัสพลางหันหลังเดินไปยังประตูตงกง
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบตามไป
ณ ตำหนักซือฝา
หลังจากงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ หนิงซีฮ่องเต้ก็เริ่มขึ้นว่าราชการ วันนี้พึ่งจะเลิกก็มีรายงานว่าเจี่ยงฮองเฮาอยากจะเข้าเฝ้า จนถึงยามนี้ความโกรธกริ้วของพระองค์ยังไม่ลดเลือนไป เดิมทีทรงมิอยากจะพบ แต่ถ้าไม่เสด็จไปก็ไม่สบายใจอีก
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นพระองค์ลังเลไม่หาย รู้ว่าแม้พระองค์จะโกรธกริ้วเจี่ยงฮองเฮา แต่ก็ยังตัดเยื่อใยความรู้สึกหลายสิบปีก่อนไปมิได้ จึงเกลี้ยกล่อมไม่กี่ประโยคว่าเดี๋ยวต้องส่งตัวไปสำนักพระราชวังแล้ว ไปพบสักคราก็ได้ จะได้ไม่มาเป็นปมในพระทัยภายหลัง
หนิงซีฮ่องเต้จึงเรียกเมี่ยวเอ๋อร์ตามเสด็จไปด้วย แต่งองค์ธรรมดาสบายๆ เสด็จออกไป ยามนี้ทรงประทับอยู่บนตำแหน่งประธาน เห็นเจี่ยงฮองเฮาถูกคุมตัวเข้ามาขนงก็ขมวดมุ่น
ไม่กี่วันเท่านั้น เจี่ยงฮองเฮาผอมลงไปไม่น้อย หน้าตาไม่แต่ง ปลดเครื่องประดับผมและอาภรณ์หรูหราออกไป สวมใส่อาภรณ์สีเข้มสุภาพทั้งตัว
แต่ใบหน้านี้กลับยังคงสงบและเฉยเมย ขนาดน้ำตาแม้แต่หยดเดียวก็ไม่มี ยืนตัวตรงอยู่ในห้องด้วยสีหน้าซีดขาว มิได้คุกเข่าลง เชิดหน้าขึ้นสูง มองตรงไปข้างหน้าอย่างสงบเงียบ
เดิมทีคิดว่าพอพระองค์เสด็จมาถึง ต่อให้นางไม่ร้องห่มร้องไห้ ก็คงฟุบหมอบกับพื้นเสียใจ อย่างไรก็ต้องปรากฏความละอายใจที่ได้ทำผิดลงไปบ้าง คิดไม่ถึงว่า…จะสันดานเดิมไม่เปลี่ยน!
เยื่อใยอาลัยอาวรณ์ที่หนิงซีฮ่องเต้ทรงมีในพระทัยมลายหายไปสิ้น อดจะอารมณ์เสียขึ้นมามิได้ กระแอมขึ้นสองคำ “ที่ฮองเฮาให้เรามา คงมิใช่ให้เรามาดูท่าทางเช่นนี้ของเจ้าหรอกกระมัง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดอยู่หรือ คับแค้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ”
เมี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังรีบทุบหลังพระองค์เบาๆ แม้ระยะนี้จะขึ้นว่าราชการ แต่เนื่องจากมีเรื่องของเจี่ยงฮองเฮาจึงเป็นเหตุให้โรคเก่ากำเริบ จึงต้องฝืนเอาไว้
เจี่ยงฮองเฮาย้อนถามทื่อๆ “หม่อมฉันทำอันใดผิดหรือเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวยกใหญ่ “ลอบฆ่าโอรส ทำร้ายสนมหยวน ขนส่งยาพิษเข้าวัง จิตใจคับแคบชั่วร้าย ไม่เหมาะแก่ตำแหน่งพระมารดาของแผ่นดิน นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังจะกล้ามาถามเราว่าเจ้าทำอันใดผิด? ปกปิดเรามาหลายปีเพียงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ สูงส่งสง่างาม จิตใจงดงาม ไม่เคยเปรียบเทียบเจ้ากับเหล่าสตรีธรรมดานางใดมาก่อน ที่แท้เจ้าก็ไม่ต่างอันใดกับสตรีธรรมดา! ซ้ำยังจิตใจดำมืดชั่วร้าย! ฮองเฮา ลำบากเจ้าปิดบังเราแล้ว”
คำตำหนิดังออกมาจากตำหนักเป็นระลอก ไท่จื่อกับอวิ๋นหว่านชิ่นและคนอื่นๆ ล้วนได้ยินกันอย่างชัดเจน สบตากันคราหนึ่งจึงหยุดฝีเท้าลง
นางกำนัลที่ตำหนักซือฝากล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทเพคะ ให้บ่าวกราบทูลว่าพระองค์เสด็จมาหรือไม่เพคะ”
[1] นั่งบนภูดูเสือกัดกัน นั่งชมสองฝ่ายที่รบกันรอจนทั้งสองฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแล้วค่อยเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์