“ยังไม่ต้อง” ไท่จื่อโบกมือ ฮ่องเต้กำลังทรงตำหนิอย่างได้ที่ เหตุใดต้องไปขัดอารมณ์พระองค์ตอนนี้ด้วย
ภายในตำหนัก เจี่ยงฮองเฮาได้ฟังที่ฮ่องเต้ทรงต่อว่ามาก็เย็นชาเจือความขมขื่น ก้มหน้าลง มีของเย็นๆ บางอย่างไหลลงมาตามแก้ม
พระองค์ให้เกียรติยศสูงส่งที่สุดแก่นาง แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่นางไม่ชอบที่สุด นางไม่อยากเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ สูงส่งสง่างามหรือนางฟ้าจิตใจสูงส่งอันใด…
นางยอมเป็นเหมือนสตรีธรรมดาพวกนั้นที่อยู่ในใจพระองค์!
แต่ทว่าชาตินี้ทั้งชาติ นางได้พ่ายแพ้ไปแล้ว พ่ายแพ้อย่างหมดท่า!
ในสายตาของพระองค์ นางกลับไม่ใช่สตรีที่มีเลือดมีเนื้อ เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาตัวหนึ่งที่สมบูรณ์เพียบพร้อมไปด้วยความดีงามและสูงส่ง หากความสมบูรณ์แบบนี้ถูกย้อมให้แปดเปื้อน ไม่สง่างาม ไม่ดีงามอีกต่อไป ในใจพระองค์ก็จะมองนางว่าไม่คู่ควร!
เจี่ยงฮองเฮากลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ สะกดกลั้นอารมณ์ในใจที่แท้จริงเอาไว้ วันนี้ที่เชิญพระองค์มา มิใช่เพื่อจะร้องขอความเมตตาสงสารใด
นางเงยหน้าขึ้น สีหน้าไม่เหมือนเมื่อครู่นี้ที่ก้มหน้าขมขื่นอยู่ มุมปากหยักขึ้น แววตาเย็นเยียบราวกับว่าบุรุษตรงหน้าต่างหากที่เป็นนักโทษ “ข้ามิเคยรู้สึกว่าเรื่องเหล่านั้นผิดเลยสักนิด เป็นเพียงการแย่งชิงความรักความโปรดปรานระหว่างจิ้งจอกผู้งดงามกับสตรีต่ำต้อยเท่านั้น ฮ่องเต้ฮองเฮาก็เหมือนคนคนเดียวกัน พระองค์เป็นฮ่องเต้ โปรดปรานพวกนางได้ ฮองเฮาอย่างข้าก็ลงโทษพวกนางได้เช่นกัน”
“เจ้า…” หนิงซีฮ่องเต้สั่นไปทั่งร่างพลางลุกยืนขึ้น
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นเจี่ยงฮองเฮาเชิญฮ่องเต้เสด็จมาในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อร้องขอความเมตตา เห็นฮ่องเต้ถูกยั่วโมโหจนกริ้วขนาดนี้ก็รู้สึกว่าหนังตากระตุกยิกๆ เกรงว่าจะเกิดเรื่องอันใดเข้า จึงพยุงพระองค์ทูลว่า “ฝ่าบาท กลับพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนดีหรือไม่เพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้ไม่อยากคุยกับนางอีกต่อไปแล้ว หมดแล้วซึ่งความรู้สึกดีๆ หากวันนี้นางร้องไห้โศกเศร้าสักสองสามประโยคก็ไม่แน่ว่าอาจจะใจอ่อน ทนรับความกดดันไตร่ตรองลดโทษให้นางลงบ้าง อย่างน้อยชีวิตที่เหลือของนางจะได้ผ่อนคลายลงสักหน่อย ทว่ายามนี้ดูๆ แล้วนางไม่ต้องการมันเลย!
นางไม่เพียงแต่ไม่สำนึก ยังเอาแต่ยั่วโมโหไม่เลิก!
พระองค์สูดหายใจหนัก “อืม กลับ…”
เจี่ยงฮองเฮาเห็นพระองค์จะกลับก็พลันแย้มยิ้มประหลาด “ส่วนเรื่องที่ปิดบังและหลอกลวงฝ่าบาท ข้าก็ไม่กลัวที่จะบอกเพิ่มมาอีกสักเรื่อง ปีนั้นฝ่าบาทกับสวี่ชิงเหยาต่างครองรักกันอย่างมีความสุข แต่นางกลับปฏิเสธฝ่าบาทไปเสียอย่างนั้น นั่นก็เพราะข้าจับกุมตัวพี่ใหญ่ของนางไว้ ให้คนรุมทุบตีปางตาย แล้วจึงให้นางปฏิเสธฝ่าบาทไป ใช้ความตายข่มขู่นางมิให้กลับมายังวังหลวงอีก เพื่อตัดความรักความอาลัยของฝ่าบาท นางแต่งให้กับสกุลอวิ๋นโดยไม่แม้แต่จะเลือก…”
กล่าวถึงตรงนี้ นางเพลิดเพลินไปกับสีพระพักตร์ซีดขาวของฝ่าบาทแล้วยิ้มกล่าว “…แต่ว่าฝ่าบาทอย่าบอกว่าข้าโหดเหี้ยม หากข้าโหดเหี้ยมจริงก็คงฆ่านังแพศยานั่นให้ตายไปแล้ว เฮ้อ คิดๆ ดูแล้วก็น่าเสียดายนัก หากฆ่าเสียตั้งแต่ตอนนั้นก็คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย ผู้ใดจะคิดว่าฝ่าบาทยังคงปักใจมิคลาย ผ่านไปนานหลายปีก็ยังคงไม่ลืม นางออกเรือนไปแล้ว ฝ่าบาทยัง…”
อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นอย่างแรง ยังอันใดอีก?
นางรู้ หลังจากท่านแม่แต่งงานก็เคยพบกับฮ่องเต้ แต่เป็นเพียงระยะเวลาแค่สั้นๆ แค่คืนหนึ่งในฤดูหนาวเท่านั้น
ยามนี้ได้ฟังสิ่งที่เจี่ยงฮองเฮาพูด ราวกับมีลับลมคมในแฝงอยู่ นางกลั้นหายใจกำลังจะฟังต่อ กลับได้ยินหนิงซีฮ่องเต้ส่งเสียงขัดขึ้น “หุบปาก! นังแพศยา! เจ้าตัดหนทางแห่งความสุขชั่วชีวิตของชิงเหยา!”
ภายในตำหนัก หนิงซีฮ่องเต้ทนไม่ไหวอีกต่อไป ก้าวเข้าไปตบหน้าเจี่ยงฮองเฮาฉาดหนึ่ง
เจี่ยงฮองเฮาครางเสียงอู้อี้แล้วล้มลง
นางกำนัลที่อยู่ในตำหนักต่างตกใจกันยกใหญ่ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปพยุง
เจี่ยงฮองเฮาคลานขึ้นมา เห็นหนิงซีฮ่องเต้มีโทสะ สีหน้าก็ยิ่งสุขสราญอย่างแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น พลิกมือลูบรอยเลือดบนริมฝีปากแล้วยิ้มออกมา
หนิงซีฮ่องเต้เห็นนางท่าทางเสียสติก็ไม่อยากจะเชื่อ ไออยางรุนแรงหลายครา เจ็บปวดราวกับโดนเข็มทิ่มปอด หงายหลังล้มลงบนเก้าอี้
เมี่ยวเอ๋อร์ตกใจยกใหญ่ รีบเข้าไปพยุงแล้วตรวจดูอาการ “ฝ่าบาทมิเป็นไรนะเพคะ”
นางกำนัลต่างลนลานรีบออกไปตามหมอหลวง แต่กลับถูกฮ่องเต้ห้ามไว้
ไท่จื่อเห็นฮ่องเต้ถูกยั่วโมโหจนเป็นเช่นนี้ก็ยืนอยู่ด้านนอกต่อไปไม่ได้ แหวกม่านเปิดออกเดินเข้าไปพร้อมอวิ๋นหว่านชิ่น เดินตรงไปหาฮ่องเต้เป็นอย่างแรก “เสด็จพ่อเป็นอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หนิงซีฮ่องเต้ทรงไอออกมาอีกหลายครั้ง โบกหัตถ์ตรัสว่า “ไม่เป็นไร” แต่ทรงรู้ดีว่าพละกำลังอ่อนแรง เกรงว่าโรคจะกำเริบขึ้นมา จึงจับมือของไท่จื่อและเมี่ยวเอ๋อร์เอาไว้ ตั้งใจจะเสด็จกลับ
พระองค์ฝืนทนต่อ มองฮองเฮาที่อยู่บนพื้นคราหนึ่ง สุรเสียงปราศจากซึ่งความสงสาร พระองค์ทรงตัดสินพระทัยได้แล้ว “เอาตัวเจี่ยงซื่อกลับไปขังไว้ พรุ่งนี้เช้าก็ส่งตัวไปไตร่สวนที่สำนักพระราชวัง! เราไม่อยากจะพบสตรีนางนี้อีก!”
เจี่ยงฮองเฮาทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงหมอบอยู่บนพื้น พอหันหน้าไป สายตาก็ไปตกอยู่บนร่างของอวิ๋นหว่านชิ่น สีหน้าแปลกประหลาดยิ่งมากขึ้น มุมปากยกสูงจนสุด
นางก็มาด้วย พอดีเลย
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเจี่ยงฮองเฮาสีหน้าแปลกประหลาด ในใจพลันกระตุก
เจี่ยงฮองเฮาหมอบอยู่บนพื้นโบกมือไปมา น้ำเสียงแปลกแปร่ง ยิ้มกล่าวว่า “พระชายาฉินอ๋อง เจ้ามานี่หน่อยสิ ข้าจะเล่าให้ฟังที่ฉินอ๋องถูกวางยาพิษนั้นผู้ใดเป็นคนทำ”
แม้เสียงจะไม่ได้ดังแต่คนในตำหนักกลับได้ยินกันอย่างชัดเจน
เสียงกล่าวจบลง ผู้คนภายในตำหนักต่างหยุดชะงัก สายตาล้วนไปตกอยู่บนร่างเจี่ยงฮองเฮา
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังจะปากแข็ง” หนิงซีฮ่องเต้จับไหล่พระสนมและไท่จื่อเอาไว้ กริ้วเสียจนโก่งคอไอไปหลายครั้ง
เจี่ยงฮองเฮากลับไม่ตอบคำ ดวงตาจ้องมองตรงไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น มุมปากยังคงวาดโค้งเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาดและมั่นอกมั่นใจ นางมั่นใจว่าสตรีตรงหน้านางจะต้องมา
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ลังเลนาน นางเดินเข้าไปหา โน้มตัวลง นั่งยองๆ ลงข้างกายฮองเฮา จ้องมองสตรีนางนี้ที่ไม่กี่เพลาก่อนยังคงสูงส่งสง่างาม
ใบหน้าของนางยังคงไม่สนใจแยแส ไม่สนโลกมนุษย์คาวโลกีย์ ไม่ใยดีต่อทุกสรรพสิ่ง
จิตใจที่กระหายชัยชนะในการอยากครอบครองและความยึดมั่นที่มีต่อฮ่องเต้นั้นแข็งแกร่ง และมีมากเสียยิ่งกว่าบรรดานางสนมตำหนักในที่ชอบหึงหวงตบตีกันเสียอีก
เป็นถึงชายาเอก จะเปิดใจกว้างต่อไปได้อย่างไร จะปล่อยให้เสด็จพ่อมีสนมมากมายได้อย่างไร จะไม่รู้สึกรู้สาที่สตรีคนอื่นๆ มีลูกมีหลานกันอย่างไม่ขาดได้หรือ
ชาติก่อนของตัวนางเอง ยังได้ถุยน้ำลายใส่มู่หรงไท่กับอวิ๋นหว่านเฟยที่แอบได้เสียกันคราหนึ่ง ก่อนจะตายยังทิ้งระเบิดไว้ให้ทั้งคู่มีชีวิตต่อไปอย่างไม่สงบสุข
แต่เจี่ยงฮองเฮากลับทำไม่ได้ หรือว่าจะร้องห่มร้องไห้ใส่ฮ่องเต้เพื่อทำลายตำหนักในให้ราบเรียบได้กัน?
ดังนั้น สตรีที่ฮ่องเต้เคยโปรดเคยปรานล้วนถูกนางจับตาดูอย่างใกล้ชิดและเล่นงานอย่างสนุกสนาน รวมถึงสตรีสกุลสวี่นอกวังนางนั้นด้วย
บางทีอาจเพราะฐานะของฮองเฮาเป็นดั่งโซ่ตรวนเหนี่ยวรั้งนางไว้ ต่อหน้าของผู้คนและฮ่องเต้ นางจึงต้องทำตัวเป็นพระมารดาของแผ่นดิน อ่อนโยนอย่างหาที่สุดมิได้ หลายปีเพียงนี้ จึงทำได้เพียงฝังความอิจฉาริษยาและความเคียดแค้นเอาไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ จึงจะยิ่งแสดงก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ
บัลลังก์หงส์ข้างๆ องค์ฮ่องเต้คือชื่อเสียงเกียรติยศอันสูงสุด แต่ก็เป็นเครื่องพันธนาการที่จองจำนางเอาไว้ด้วยเช่นกัน
เจี่ยงซื่อต้องมิใช่ฮองเฮาคนแรกที่เป็นเช่นนี้ ภายหลังต่อไปก็ต้องมีฮองเฮาเช่นนางอีกแน่นอน
อวิ๋นหว่านชิ่นอ่อนไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุเล็กน้อย นางจึงขมวดคิ้วเพื่อรวบรวมสติ “ถึงขั้นนี้แล้ว ฮองเฮายังไม่ทรงยอมรับโทษของปีนั้นอยู่อีกหรือ”
เจี่ยงฮองเฮาส่งเสียงเฮอะเบาๆ “เจ้าพูดถูก มาจนถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดข้ายังไม่ยอมรับผิดอีก เจ้ามานี่สิ ข้าจะบอกเจ้า…” พอยื่นมือออกไป เอวก็งอโค้งตาม ยกข้อมือขาวดุจหยกที่ผอมแห้งกวักเรียกให้อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปหา