ตอนที่ 192.2 การสวรรคตของเจี่ยงฮองเฮา (2)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ฉับพลันความรู้สึกก็ท่วมท้น

รอยยิ้มเหมือนดอกอิงซู่[1]ที่เบ่งบานสดใส ไม่เหมือนเจี่ยงฮองเฮาในยามปกติที่ใจนิ่งและเคร่งขรึมเช่นเคย ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนที่มีเสน่ห์งามเพริศพริ้ง

ราวกับหงส์เริงไฟ ก่อนจะโดดเข้ากองไฟที่ล้างผลาญความรุ่งโรจน์ทั้งชีวิตไปจนสิ้น

หนิงซีฮ่องเต้ยืนตัวแข็งทื่ออยู่อีกด้าน

พระองค์ทราบมาตลอดว่านางเป็นคนงาม แต่กลับขาดเสน่ห์เย้ายวนของสตรีเพศ เจี่ยงซื่อยามปกตินั้นเคร่งขรึมเสียจนเหมือนเสาไม้ ยามอยู่กับพระองค์ในห้องบรรทมสองต่อสองก็ทำท่าทางสูงส่งอยู่ตลอดเวลา

สีหน้าและท่าทางตรงหน้านี้กลับห่างไกลกันมาก นี่เป็นมเหสีของพระองค์จริงๆ หรือ

อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปใกล้อย่างอดไม่ได้ นางยอมรับว่าคำพูดของฮองเฮามีแรงดึงดูดอย่างมาก แม้ว่านางจะรู้อีกฝ่ายมีท่าทีแปลกๆ แต่ก็ยังคงโน้มตัวไปหา และรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่อยู่ริมหูนาง “ข้าจะบอกเจ้าให้…”

เสียงพูดหยุดลง ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นเบิกโพลง รู้สึกเอวที่ถูกของแหลมแข็งบางอย่างทิ่มแทงเข้ามา

เจี่ยงฮองเฮาเห็นนางไม่กล้าขยับก็พลิกมือรัดคอนางไว้ ยกกริชขึ้นมาจ่อไว้ที่คอของอวิ๋นหว่านชิ่น สีหน้าพลันมืดครึ้มน่ากลัว “เจ้าเก่งกาจนักหรือ วันนี้ก็ตายไปพร้อมกับข้าก็แล้วกัน”

นางกำนัลในตำหนักตกใจกันให้วุ่น ไม่ทราบว่าเจี่ยงฮองเฮาเอาของมีคมนี้มาจากที่ใด ยิ่งนึกไม่ถึงว่านางจะทำเรื่องทำลายตัวเองเช่นนี้ หนิงซีฮ่องเต้ก็ตะลึงค้างไปเช่นกัน

เมี่ยวเอ๋อร์ผละจากฮ่องเต้วิ่งมาหา แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้ไปกระตุ้นเจี่ยงซื่อ “ฮองเฮาวางมีดลงเสีย!”

หนิงซีฮ่องเต้ได้สติขึ้น เดือดดาลเสียจนแทบจะพูดอันใดไม่ออก “ถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดเจ้ายังจะทำผิดซ้ำและไม่ยอมสำนึกเสียที! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอันใดอยู่ เหตุใดเจ้ากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เราสั่งให้เจ้าวางมีดลง!”

แต่กลับเห็นเจี่ยงฮองเฮาบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้นไปอีก กริชพลันขยับแผ่วเบา ผิวขาวดุจหิมะของอวิ๋นหว่านชิ่นก็พลันมีเลือดซึมออกมารอยหนึ่ง

ในตำหนักเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง

“นังงูพิษ! เราไม่ควรใจอ่อน คืนงานเลี้ยงวันนั้นน่าจะส่งตัวเจ้าเข้าคุกหลวงที่สำนักพระราชวังไปเสีย! เรากลับชักช้าลังเล เพราะเกรงว่าเจ้าอาจถูกใส่ร้าย จึงอยากจะตรวจสอบให้ชัดเจนเสียก่อน! เรามันดวงตามือบอด…!” หนิงซีฮ่องเต้เห็นนางไม่แม้แต่จะฟังพระองค์ตรัสสักนิด กล้าทำเรื่องโหดเหี้ยมต่อหน้าพระพักตร์ ลมปราณพลุ่งพลาน มือเท้าไร้เรี่ยวแรง พลันยกหัตถ์ขึ้นกุมเอาไว้

“ฮองเฮาได้โปรดอย่าทำร้ายพระชายาฉินอ๋องอีกเลย หากท่านคับแค้นในใจหาทางระบายมิได้ ท่านปล่อยพระชายาฉินอ๋องแล้วเอาตัวข้าไปแทน!” ในเมื่อเจี่ยงซื่อกระทำเช่นนี้ก็ไม่พ้นจุดจบที่เลวร้ายไปได้ มีโอกาสอย่างสูงที่จะเอาอวิ๋นหว่านชิ่นมาระบายความเคียดแค้นชิงชัง เมี่ยวเอ๋อร์ก็ตระหนกขึ้น

ไท่จื่อตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ดูไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ ในแววตาที่กำลังมองไปยังเจี่ยงซื่อ “ไม่ว่าเสด็จแม่จะมีความคิดอันใด ก็วางมีดลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เจี่ยงฮองเฮาจ้องมองฮ่องเต้ไม่วางตา ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น สนุกไปกับความเดือดดาลอันสูงเสียดฟ้าที่พระองค์มีต่อนางเอง

กริ้ว? เช่นนั้นก็ดี เพราะมันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพระองค์มีปฏิกิริยาต่อตัวนาง

ทั้งคู่เคารพและเกรงอกเกรงใจต่อกันดั่งการเกรงใจแขก ชาตินี้ของนางทั้งชาติได้รับมาจนพอแล้ว

ไม่ลังเลอีกต่อไป กริชคมกริบในมือนางขยับแทงลงบนผิวเนื้อ ผู้คนยังไม่ทันจะส่งเสียงตกใจออกมาก็ได้ยินสตรีที่ถูกตัวเองจับตัวไว้กล่าวขึ้นเบาๆ “…นี่คงเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการกระมัง”

เจี่ยงซื่อชะงัก ลังเลครู่หนึ่ง หยุดการกระทำลงชั่วคราว กล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้าพูดอันใด”

เห็นสตรีนางนั้นหันหน้ามาดวงตาแวววาวเหลือบมองไปยังหนิงซีฮ่องเต้คราหนึ่ง น้ำเสียงเงียบสงบดั่งจันทราเคล้าสายลมเย็น “เช่นนี้…ก็จะสามารถทำให้เสด็จพ่อจดจำไปตลอดชีวิต”

เจี่ยงฮองเฮาในใจพลันร้องดังขึ้น นึกไม่ถึงว่าความลับที่มิอาจเอื้อนเอ่ยที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจจะถูกสตรีวัยแรกรุ่นเดาถูก ชั่วขณะนั้นจึงลนลานขึ้นมาแล้วค่อยรวบรวมสติขึ้นมาใหม่ แววตามาดร้าย มือกำกริชแน่นขึ้น

ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ เงาร่างหนึ่งพลันจู่โจมเข้ามา

เจี่ยงฮองเฮาถูกดึงความสนใจไปชั่วครู่ อวิ๋นหว่านชิ่นที่ถูกจับไว้ใช้จังหวะนี้คว้าข้อมือที่เจี่ยงฮองเฮาถือกริชอยู่ดึงออกไปด้านนอก เบี่ยงทุบนางไปด้านหลังอย่างแรง

เจี่ยงฮองเฮาถอยเท้าไปหลายก้าว กัดฟันกรอดพลันยกกริชในมือขึ้นสูงย่างก้าวตามไปด้วยความบ้าคลั่ง จะแทงอวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น

เห็นคมกริชจะแทงถูกร่างของอวิ๋นหว่านชิ่น เงาร่างเมื่อครู่พลันก้าวยาวๆ มาปกป้องนางไว้

‘ฉึก’ เสียงแทงดังขึ้น เจี่ยงฮองเฮาตกตะลึง เงยหน้าขึ้นเห็นบนเอวของไท่จื่อถูกกริชแทงเข้าไปครึ่งด้าม พระองค์ยกมือขึ้นปิดปากแผลด้วยสีหน้าฝืนกลั้นความเจ็บปวด

เลือดไหลทะลักออกมาอาบอาภรณ์เป็นสีแดงฉานอย่างฉับพลัน

เจี่ยงฮองเฮาตัวสั่น เสียง ฟึ่บ ดังขึ้นอีกครา นางดึงกริชออกมาจากปากแผล!

ไท่จื่อเจ็บปวดเหลือแสน สบถออกมา!

เจี่ยงฮองเฮากำกริชที่อาบไปด้วยเลือดไว้ ถอยไปสองสามก้าว กลับเห็นไท่จื่อโน้มตัวลงหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าแค้นที่เสด็จแม่สังหารมารดาแท้ๆ ของข้า แต่หากมิใช่ท่าน ข้าก็คงมิอาจได้เป็นไท่จื่อ แผลนี้ ให้ถือว่าข้าชดใช้ให้ท่านก็แล้วกัน”

“ฝ่าบาท…!” นางกำนัลที่อยู่ใกล้กรีดร้องด้วยความตกใจแล้ววิ่งมาพยุงไท่จื่อที่ยืนไม่ไหวจนค่อยๆ ลื่นไหลลงมา

อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไม่ถึงว่าพระองค์จะรับมีดแทนนาง นั่งลงอย่างลนลานแล้วจับศีรษะพระองค์มาพิงไว้ ใช้มือกดปากแผลที่เลือดยังไหลออกมาไม่หยุด ไม่นานนักมือของนางก็อาบไปด้วยสีแดงฉาน

“ไปตามหมอหลวง!” เมี่ยวเอ๋อร์รีบตำหนิ นางกำนัลคนหนึ่งได้สติขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันที

ภายในตำหนักโกลาหลวุ่นวาย จึงไม่มีผู้ใดมากักตัวเจี่ยงฮองเฮาเอาไว้ทัน หนิงซีฮ่องเต้ดวงเนตรแดงกล่ำทั้งสองข้าง เห็นเจี่ยงฮองเฮายังคงกำกริชไว้แน่นก็ก้าวเข้าไปหาด้วยองค์เอง

เจี่ยงฮองเฮาเห็นพระองค์เดินมา สายตาก็สั่นไหว คิดไม่ถึงว่านางจะยกกริชขึ้นอีกครั้ง

นางกำนัลเห็นเขาก็ส่งเสียงตกใจ ไม่นึกเลยว่าเจี่ยงฮองเฮาจะใจกล้าเพียงนี้ แทงไท่จื่อแล้วยังจะแทงฮ่องเต้อีกหรือ

หนิงซีฮ่องเต้พระทัยว้าวุ่น แย่งกริชมาจากมือนางมาอย่างไม่ทันคาดคิด ด่าว่า “นังแพศยา!”

คิดไม่ถึงว่ามือที่เจี่ยงซื่อกำกริชไว้นั้นไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แม้แต่เล็กน้อย พระองค์จึงแย่งมาได้อย่างง่ายดาย ในใจพลันตะลึง ก่อเกิดความฉงนขึ้น ยังไม่ทันได้สติกลับมาก็เห็นสตรีตรงหน้าโถมมาหาพระองค์!

ในมือของหนิงซีฮ่องเต้กำลังชูกริชที่พึ่งจะแย่งมาได้เอาไว้ คมของมีดย่อมหันออกด้านนอกแน่นอน ได้ยินเสียงคมมีดแทงเข้าเนื้อดังขึ้น เจี่ยงซื่อโถมตัวเข้าใส่อ้อมอกของพระองค์ หลอมรวมเข้ากับกริชด้ามนั้น แย้มยิ้มคราหนึ่งแล้วล้มลง

หนิงซีฮ่องเต้ตกใจเหลือแสน คิดไม่ถึงว่านางจะตั้งใจวิ่งเข้าใส่มีดเช่นนี้ อาการประชวรที่ฝืนข่มไว้มาตลอดก็ข่มต่อไปไม่ไหวแล้ว พระองค์ถอยหลังไม่กี่ก้าว กระอักเลือดสีดำเมื่อมออกมาคำหนึ่ง

เมี่ยวเอ๋อร์ตกใจยกใหญ่ เดินเข้าไปพยุงฮ่องเต้ที่โงนเงนจะล้มไว้ ตะโกนขึ้น “ประคองฝ่าบาทกลับพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน!”

นางกำนัลสองสามคนได้สติขึ้น พยุงฝ่าบาทที่กำลังตื่นตะหนกและหวาดกลัวออกจากตำหนักซือฝา

กริชแทงเข้าหน้าอกของเจี่ยงฮองเฮาพอดี ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง เกี่ยวพันบนอาภรณ์สีเข้มของนางที่ถูกเลือดย้อมจนเปลี่ยนสี

เจี่ยงฮองเฮานอนลงบนพื้น สมดังที่ปรารถนา มุมปากอมยิ้มราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ

เหมือนกับถูกผีเข้าอย่างไรอย่างนั้น ครู่ต่อมา นางกำนัลที่จะเข้าไปลากตัวนางกลับห้องขังรู้สึกเย็นยะเยือก ลังเลกันอยู่นานสองนาน

ขณะนั้นเอง หมอหลวงก็มาถึงตำหนักซือฝาด้วยความเร็ว มุ่งตรงเข้าไปหาไท่จื่อ เปิดกระเป๋ายาออกมาพันแผลให้ แล้วสั่งนางกำนัลให้ยกพระองค์ขึ้นเกี้ยวจากไปอย่างว่องไว

[1] ดอกอิงซู่ ดอกฝิ่น