ตอนที่ 297 นางไม่คู่ควร
ตอนที่ 297 นางไม่คู่ควร

ผู้หญิงของข้า?

เหล่าฮูหยินหันไปมองเจ้าของเสียงที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ก็พบว่าเขาไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือฉีเฉิงเฟิง!

บรรดาฮูหยินอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ และพวกนางทั้งหมดก็กล่าวว่า “องค์ชายสาม พวกเราไม่มีเจตนาที่จะให้คุณหนูจ้าวแต่งงานกับลูกชายของพวกเราเลย! นี่มันเป็นเพราะพระประสงค์ของพระสนมลี่ขอให้พวกเราทำแบบนี้!”

“แต่อย่าโทษว่าเป็นความผิดของพระสนมเลย! พระสนมลี่บอกว่าหากคุณหนูจ้าวแต่งงานกับองค์ชายไป คุณหนูจ้าวจะโดนท่านทอดทิ้งอย่างแน่นอน ข้ารู้สึกสงสารคุณหนูจ้าวมาก พวกเราจึงทำแบบนี้”

“…”

พวกนางกำลังโง่อยู่ใช่หรือไม่! หากพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดเสียเลยจะดีกว่า! คำพูดของพวกนางทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมอีก! หน้าของพระสนมลี่พลันถอดสี นางไอออกมาและเอามือปิดหน้าตัวเอง “องค์ชายสาม เรื่องการแต่งงานของท่าน ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นอย่างงั้นหรือ ท่านและน้องสาวของข้าได้มีสัญญาแต่งงานต่อกัน แล้วท่านจะไปยุ่งกับคุณหนูจ้าวทำไมอีก? ท้ายที่สุดแล้วคุณหนูจ้าวจะเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด หากข้าเป็นท่านแล้วรักนางด้วยใจจริง ข้าจะปล่อยให้นางแต่งงานกับตระกูลที่ดีและทำให้นางมีความสุข”

แปะ! แปะ! แปะ!

ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะปรบมือชมเชยและกล่าวว่า “นี่เป็นคำพูดที่วิเศษมาก! เป็นการเน้นย้ำถึงพระราชโองการ อีกทั้งยังแนะนำองค์ชายสามให้ปล่อยข้าไปแต่งงานกับคนอื่นอีก! วิเศษมาก! ข้านับถือความมีน้ำใจของพระสนมจริง ๆ!”

เหล่าบรรดาฮูหยินพอจะเดาได้ว่าพระสนมลี่ต้องการอะไร หากแต่พวกนางก็ไม่กล้าพูดออกไป แต่ซูหวานหว่านช่างกล้าหาญมาก ทำให้ทุกคนต่างตกใจเมื่อมองดูรอยยิ้มที่นิ่งงันไปของพระสนมลี่ รอยยิ้มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น

“เหตุใดคุณหนูจ้าวถึงคิดอย่างนั้นล่ะ? คุณหนูจ้าวเข้าใจเจตนาของข้าผิดไปแล้ว” ลี่เฟยยิ้มเจื่อนและเอ่ยออกมาว่า “ข้าทำเพราะว่าหวังดีแก่พวกท่านทั้งสองจริง ๆ ดังนั้นพวกท่านทั้งไม่ต้องขอบคุณข้า”

“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของพวกเราสองคน ใครสั่งให้เจ้ามากังวลแทนพวกเรา เจ้าควรที่จะหุบปากเสียดีกว่า” ฉีเฉิงเฟิงพร้อมกับจับมือของซูหวานหว่าน และพูดด้วยน้ำเสียงที่บึ้งตึงว่า “ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่เร็วจัง เจ้าทำให้ข้าตามมาไม่ทัน! เจ้าอย่าอยู่คนเดียวดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นในวังจะมารังแกเจ้าได้!”

หลังจากได้ยินคำพูดแบบนี้ เหล่าฮูหยินก็มองหน้ากันและแอบพูดในใจว่า ‘ถ้าองค์ชายสามไม่มา ซูหวานหว่านก็ไม่ถูกคนอื่นรังแกหรอก!”

“ในที่นี่จะมีใครกล้าแกล้งคุณหนูจ้าวกัน” เมื่อพูดแบบนี้ออกพระสนมลี่ก็ก้มหน้าลงทันที และสั่งให้สาวใช้มารินน้ำชาให้กับทุกคน เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงยังไม่ไปไหน พระสนมลี่ก็ยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นไร้ความรู้สึก นางนั่งลงอย่างสงบและขยิบตาให้สาวใช้อย่างเงียบ ๆ

ในเวลาต่อมา ก็มีบุคคลหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาสวมใส่เสื้อคลุมสีสันสดใส เสื้อคลุมสีเหลืองห่าน และดูเหมือนผมของนางจะถูกมัดเกล้าขึ้นไปแบบไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสบายตาเป็นอย่างมาก

สตรีนางนี้ แก้มของนางถูกแต่งเติมด้วยสีชมพูเล็กน้อย นางก้าวเท้าเข้ามาและทุกคนก็พูดออกมาว่า “นี่ใครกัน?”

ฮูหยินเหล่านี้ไม่รู้ หากแต่ซูหวานหว่านรู้สึกคุ้นเป็นอย่างมาก

นางคือสวีซู!

สวีซูเดินเข้ามาช้า ๆ ทำความเคารพฉีเฉิงเฟิงและคนอื่น ๆ แต่เมื่อนางเห็นซูหวานหว่านรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็แข็งค้างขึ้นเล็กน้อย นางเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มเบา ๆ ว่า “นี่เป็นสาวใช้ขององค์ชายสามอย่างงั้นหรือ? หน้าตาไม่เลวเลย”

สวีซูพูดราวกับว่าไม่รู้จักนาง ซูหวานหว่านก็กลอกตาไปมา และพูดออกมาอย่างเย็นชาโดยไม่เอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ “ไม่ทราบว่าตาของคุณหนูสวีนั้นเป็นอะไร? ข้าไม่ใช่สาวใช้ขององค์ชายสาม”

รอยยิ้มบนใบหน้าของสวีซูแข็งค้างอีกครั้ง นางค่อย ๆ กำปลายแขนเสื้อช้า หากแต่ยังคงยิ้มแล้วพูดว่า “เอ๊ะ เป็นไปได้ไหมว่าเจ้า…เป็นผู้หญิงที่ใคร ๆ ต่างก็ลือกันว่ารักกับองค์ชายสาม”

“ไม่ใช่” ฉีเฉิงเฟิงส่ายหัวไปมาและพูดออกมา! ทุกคนต่างตกใจคิดว่าหลังจากเห็นสวีซู ฉีเฉิงเฟิงคงไม่ได้ชอบซูหวานหว่านจริง ๆ จึงรีบพูดตัดความสัมพันธ์ทันที หากแต่ก็ได้ยินชายหนุ่มพูดออกมาอีกทีว่า “ไม่ใช่นั่นไม่ใช่ข่าวลือ แต่มันคือเรื่องจริงต่างหาก”

แม่จ้าวที่ยืนที่อยู่ข้าง ๆ ซูหวานหว่านมองไปที่ฉีเฉิงเฟิงด้วยความพึงพอใจอย่างมาก ดวงตาของนางเผยให้เห็นว่านางยกย่องฉีเฉิงเฟิงว่าเป็นลูกเขยที่ดี! แม่จ้าวก็รู้สึกว่าต่อให้สวีซูจะทำยังไงก็ไม่สามารถแยกซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงออกจากกันได้

สวีซูจุกจนพูดไม่ออก หญิงสาวมองไปทางซูหวานหว่านด้วยรอยยิ้มฝืน “องค์ชายสาม สัญญาการแต่งงานของเราไม่สามารถยกเลิกได้ ท่านและข้าเองถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแยกพวกเจ้าทั้งสองออกจากกัน ข้าจะช่วยท่านพูดกับฮ่องเต้ให้หลังจากที่ท่านและข้าแต่งงานกันแล้วว่าให้รับคุณหนูจ้าวมาเป็นสนม และเรื่องนี้ก็เป็นความกังวลหนึ่งของข้าเช่นกัน ถึงข้าจะไม่ต้องการแต่ข้านั้นยอมรับเรื่องนี้ได้”

สตรีคนไหนที่อยากให้สามีของตัวเองมีนางสนมกัน และเมื่อเหล่าฮูหยินได้ยินคำพูดของเหล่านี้ของสวีซูก็เข้าใจทันที แล้วพากันพูดยกย่องออกมา “องค์ชายสามช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ใจกว้างเช่นนี้ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ!”

“ใช่แล้ว! ไม่ต้องพูดถึงกิริยามารยาทที่อ่อนโยน น่ารัก นางยังเป็นถึงลูกสาวของท่านแม่ทัพอีก! แน่นอนในอนาคตต่อไปนางอาจจะมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ก็ได้!”

“…”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของฉีเฉิงเฟิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นชา และเขาก็กล่าวออกมาว่า “ทุกคน ถ้าทุกคนคิดว่าคุณหนูสวีเป็นคนดีมาก พวกเจ้าสามารถเอานางไปเป็นลูกสะใภ้ได้เลย แต่สำหรับข้า ข้าไม่ต้องการ เรื่องพระราชทานการแต่งงานจากฮ่องเต้นั้นมันไม่ใช่สิ่งแรกที่ข้าให้ความสำคัญ เพราะว่าเรื่องจับคู่การแต่งงานครั้งก่อนหน้านี้มันจบอย่างไร ข้าคิดว่าคุณหนูนั้นรู้ดี”

ฉีเฉิงเฟิงนั้นเคยมีสัญญาการแต่งงานมาก่อนหน้านี้? สวีซูตกตะลึงไปครู่หนึ่งและสาวใช้ในวังที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็กระซิบว่า “คุณหนูรองตระกูลจ้าวเคยมีสัญญาการแต่งงานกับองค์ชายสาม และพวกเขาทั้งสองเปรียบดั่งคู่สวรรค์สร้าง แล้วภายหลังก็พบว่าคุณหนูรองได้มีความสัมพันธ์พัวพันกับองค์ชายรอง และตั้งครรภ์ขึ้นมา แล้วฮ่องเต้จึงยอมให้คุณหนูรองตระกูลจ้าวแต่งงานกับองค์ชายรอง จากนั้นองค์ชายสามก็หลุดพ้นจากสัญญา แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คืออยู่มาวันหนึ่ง ก็พบคุณหนูรองนอนเปลือยกายอยู่บนถนนและเกือบจะแข็งตาย ไม่มีข่าวใด ๆ เกี่ยวกับนางอีกเลยหลังจากที่นางถูกส่งกลับไปยังตำหนักขององค์ชายรอง”

เมื่อได้ยินสิ่งที่สาวใช้บอก พร้อมกับคำพูดของที่ฉีเฉิงเฟิงบอกนางเห็นได้ชัดว่ากำลังจะเอาเรื่องของเฉียวหน่วนอวี้มาข่มขู่นางอยู่! หากจะให้พูดก็คือเรื่องการแต่งงานเป็นเพียงการแต่งงานในนาม เขาไม่สนใจนามจอมปลอมอะไรแบบนี้!

ใบหน้าของ สวีซูเปลี่ยนสีไปทันทีและนางก็ยิ้มออกมาอย่างเขินอาย นางก็ไม่รู้ว่าทำไมซูหวานหว่านถึงทำให้ฉีเฉิงเฟิงหลงใหลในตัวมากขนาดนี้! สวีซูมองไปที่ซูหวานหว่านเผยให้เห็นร่องรอยของความขุ่นเคืองที่ปรากฏขึ้นในแววตาของนาง เมื่อพระสนมลี่เห็นว่าเป็นแบบนี้ นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปกอดสวีซูและกล่าวว่า “องค์ชายสาม หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วพวกเราบรรดาฮูหยินมีเรื่องที่จะเริ่มคุยกัน ท่าน…ท่านกลับไปก่อนจะได้หรือไม่”

พวกนางกำลังไล่เขาออกไป! ฉีเฉิงเฟิงจึงกล่าวออกมาว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปก่อนก็ได้ แต่ข้าจะไม่ยอมกลับไปเพียงคนเดียวแน่”

หลังจากนั้นฉีเฉิงเฟิงก็จับมือของซูหวานหว่านออกไป แต่มีเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาก่อนว่า “พระสนมลี่ก็อยู่ที่นี่งั้นหรือ วันนี้เหล่าฮูหยินมากันเยอะแยะเหลือเกิน ดูสนุกจัง”

พระสนมลี่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อหันศีรษะไปก็เห็นว่าเป็นฉีเฉิงก็เดินเข้าไปหาเขาทันที นางส่งยิ้มและกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาท อย่าพูดถึงเรื่องของวันนี้เลย มาดูเถอะว่าองค์ชายสามกับสวีซูก็อยู่ที่นี่ด้วย ดูสิพวกเขาทั้งสองคนเหมาะสมกันมาก ฝ่าบาทมีสายตาที่เฉียบแหลมมากในการเลือกลูกสะใภ้”

ฉีเฉิงมองไปเห็นฉีเฉิงเฟิงและซูหวานหว่านยืนเคียงข้างกัน โดยที่ร่างกายของพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันมาก เขามองอย่างพินิจพิจารณาและเขาก็ละสายตามองไปที่ฉีเฉิงเฟิงและสวีซู ภายในใจของเขาก็รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย

ถึงแม้จะคิดแบบนั้นในใจ แต่ฉีเฉิงกลับพูดออกมาว่า “ข้ามีวิสัยทัศน์ที่ดีอยู่แล้ว”

ในความคาดหวังของนางสนมลี่ฉีเฉิงกล่าวออกมาเบา ๆ กับฉีเฉิงเฟิงว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูสวีเข้ามาในวังหลวง เจ้าพานางไปเดินเยี่ยมชมดอกไม้บริเวณสวนสิ”

ฉีเฉิงเฟิงยังคงไม่ขยับร่างกาย ฉีเฉิงก็เหลือบมองไปที่ซูหวานหว่าน และพูดออกมาอย่างไม่สนใจว่า “คุณหนูจ้าว เจ้ารู้ไหมว่าข้าหมายถึงอะไร? เจ้าไม่คู่ควรกับราชวงศ์ ไม่คู่ควรกับฉีเฉิงเฟิง อย่ามายุ่งกับเขาอีก”

“ฝ่าบาท ท่านจริงจังงั้นหรือ?” ฉีเฉิงเฟิงเลิกคิ้วและมองไปที่ฉีเฉิง ฉีเฉิงเองก็มองไปฉีเฉิงเฟิงเองเช่นกัน ทั้งสองคนใช้สายตาจ้องมองกันเหมือนไม่ใช่คนเป็นพ่อลูกแต่มันเหมือนศัตรูกัน