ตอนที่ 298 เริ่มสงสัย
ตอนที่ 298 เริ่มสงสัย

จากการสังเกตของทุกคนแล้ว ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้เรียกอีกฝ่ายว่า ‘เสด็จพ่อ’ แต่กลับเรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ แทน เช่นนี้แล้วเหมือนกับว่าฉีเฉิงเฟิงไม่ต้องการเป็นองค์ชายอีกต่อไป!

บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดขึ้นมาในทันที ฉีเฉิงเฟิงเดินออกไป และขันทีที่อยู่ข้าง ๆ ฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “องค์ชายสาม เชิญทางนี้”

ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้าและเดินตามไป ซูหวานหว่านยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เหล่าฮูหยินทั้งหลายต่างมองไปที่นางด้วยสายตาแปลกประหลาด ท่าทางของพวกเขานางดูแตกต่างออกไปจากก่อนหน้านี้

เหล่าฮูหยินกำลังคิดว่าฉีเฉิงเฟิงและฮ่องเต้จะพูดอะไร หากแต่พวกนางก็ได้ยินสวีซูพูดสะอื้นออกมาว่า “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของฝ่าบาทที่พระราชทานการแต่งงานระหว่างข้ากับองค์ชายสามขึ้น ต่อไปในวันข้างหน้าไม่ว่าเรื่องไหนหม่อมฉันคนนี้จะกตัญญูต่อฝ่าบาทอย่างแน่นอน”

“เฮอะ” ซูหวานหว่านอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเจ้าเล่ห์เหล่านี้ของสวีซู และเหล่าฮูหยินจ้องมองไปที่ซูหวานหว่าน เพราะการกระทำแบบนี้เหมือนเป็นการไร้มารยาท แต่ซูหวานหว่านนั้นไม่สนใจอยู่แล้ว

ซูหวานหว่านนั่งอยู่บนม้านั่งหิน และก้มมองไปที่รองเท้าของตัวเอง แต่หูของนางนั้นกลับจดจ่อกับการใช้พลังวิเศษ แอบฟังอะไรบางอย่างอยู่ และนางก็ได้ยินเสียงสนทนาของฉีเฉิงและฉีเฉิงเฟิงได้อย่างชัดเจน

ทางอีกด้านหนึ่ง ฉีเฉิงพูดออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าให้เจ้าแต่งงานกับใคร เจ้าก็ต้องแต่ง! เพราะว่าข้าเป็นพ่อของเจ้า!”

“ชีวิตนี้เป็นของข้า ร่างกายนี้เป็นของข้า ข้าจะแต่งงานกับใครก็ได้ตามใจตัวเอง!” ฉีเฉิงเฟิงตอบกลับไปอย่างเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ และก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “หากเจ้ายอมรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ หากมันลำบากขนาดนั้นข้าขอไม่เป็นลูกท่านดีกว่า!”

“เช่นนั้นก็ดี ข้าก็ไม่อยากมีลูกแบบเจ้า!” ฉีเฉิงไอออกมาอย่างรุนแรงในขณะที่พูด

“ท่านคิดว่าข้าอยากมีพ่อแบบท่านงั้นเหรอ?” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาอย่างเย็นชา และเอ่ยประชดประชันออกมาว่า “ท่านหรือรู้ไหมว่าประวัติศาสตร์จะบันทึกเกี่ยวกับท่านอย่างไร? ท่านรู้หรือไม่ว่าคนรุ่นหลังจะพูดถึงท่านอย่างไร? ลุ่มหลงในตัณหา? และโดนพระสนมใช้มนต์คาถาทำให้หลงใหลในความสวยจนปกครองบ้านเมืองล้มเหลว?” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาแผ่วเบา ชายหนุ่มหลุบสาตาลงจ้องมองนิ้วมือของตัวเอง พลางหมุนแหวนบนมือของตัวเองไปมาแล้วพูดว่า “ท่านปกครองบัลลังก์มาเป็นเวลานาน และเมื่อก่อนคลังหลวงเคยเต็มไปด้วยสมบัติเงินทอง? แต่เมื่อถึงเวลาการบรรเทาภัยพิบัติประชาชนยังต้องไปขอความช่วยเหลือจากตระจ้าว! เหตุใดท่านยังดูถูกตระกูลจ้าวอีก?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉีเฉิงก็รู้สึกเจ็บปวดในใจราวถูกกระสุนปืนยิงเข้าใส่ เขามองไปที่ฉีเฉิงเฟิงโดยที่ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา

สิ่งที่ฉีเฉิงเฟิงพูดมันไม่เป็นความจริง!

“ในฐานะที่ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ ได้โปรดอย่ามัวแต่ใส่ใจความรักของคนอื่นอยู่เลย หากฝ่าบาทว่างมาก ทำไมถึงไม่ออกไปดูแลเมือง สอบถามว่าตอนนี้พวกเขาประสบอุทกภัยอะไรบ้าง!” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดชายเสื้อแล้ว

ฮ่องเต้ไม่คิดจะห้ามเขาแต่อย่างใด และทำเพียงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน โดยคิดถึงเรื่องหลังจากที่ซูหวานหว่านและคนอื่น ๆ ได้ออกไปจากห้องโถงเมื่อวานนี้ แม่ทัพสวีก็ได้เข้ามาหาเขาแล้วพูดขึ้นมาว่าที่ชายแดนไม่มีเสบียงสำหรับเหล่าทหาร ภายในคลังหลวงก็ไม่มีเงิน เขาผิดไปแล้วจริง ๆ!

ขันทีที่อยู่ด้านข้างเห็นฮ่องเต้ขมวดคิ้ว จึงก้าวไปข้างหน้าทันทีแล้วกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาท ท่านต้องระวังองค์ชายสามเอาไว้ เขาเพิ่งพูดคำพูดไม่สุภาพต่อท่านออกมา! ข้าน้อยไม่รู้ว่าเขามีอะไรแอบแฝงหรือไม่ อาจจะมีเจตนาจะแย่งชิงบัลลังก์…”

“หุบปาก!” ฮ่องเต้ตวาดใส่ขันทีคนนั้น “เรื่องเหลวไหลบางเรื่องไม่สมควรลั่นวาจาออกไป”

ถึงแม้จะพูดอย่างนั้นออกมา แต่ฮ่องเต้ก็สงสัยฉีเฉิงเฟิงเกี่ยวกับเรื่อวราวนี้

เมื่อฉีเฉิงเฟิงเดินออกไป เหล่าบรรดาฮูหยินที่พูดถึงเรื่องนี้ก็เงียบเสียงลงในทันที สวีซูคิดว่าฉีเฉิงเฟิงจะอ่อนโยนลง ใบหน้าของนางค่อย ๆ เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมาอีกครั้ง ในตอนที่กำลังจะเอ่ยถามแต่กลับถูกฉีเฉิงเฟิงเมินใส่

ฉีเฉิงเฟิงเดินตรงไปหาซูหวานหว่านทันที และพูดว่า “เจ้านั่งรอมานานแล้ว คงเหนื่อยมากใช่ไหม?”

“อืม” ซูหวานหว่านพยักหน้า “หากแต่ไม่ได้เหนื่อยเพียงอย่างเดียว แต่ภายในวันนั้นน่าเบื่อมาก”

“อ่อ?” หลังจากพูดอย่างนั้นฉีเฉิงเฟิงก็โอบกอดซูหวานหว่านและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเหนื่อย ข้าจะโอบกอดพาเจ้ากลับบ้านเอง”

ภายใต้สายตาที่ไม่อยากจะเชื่อของตัวเอง ก็ทั้งสองคนก็เดินจากไปทันทีและแม่ซื่อก็พูดกับทุกคนว่า “ถึงแม้ว่าตระกูลจ้าวของเรานั้นจะทำการค้าขาย แต่พวกเราก็มีเงินมหาศาลที่ไม่สามารถนับได้หมด และเมื่อพวกเรามองไปยังกองเงินมากมายเหล่านั่นทำให้มันรู้สึกน่ารำคาญเลยจริง ๆ! ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้มาพบปะกับทุกท่านในวันนี้ และหากว่าทุกท่านไม่มีอะไรทำก็มาเที่ยวเล่นพูดคุยกับข้าที่บ้านตระจ้าวก็ได้”

หลังจากที่แม่จ้าวพูดจบ นางก็เดินจากไปและเหล่าฮูหยินก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “คำพูดของฮูหยินจ้าวช่างน่าโมโหจริง ๆ!”

“ใช่แล้ว! เหมือนกับลูกสาวของนางเลย!”

“นางเหมือนกับลูกสาวตัวเองไม่ผิดเพี้ยน!”

“…”

เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่าฮูหยิน สวีซูก็มองไปที่ทั้งสามคนกำลังเดินจากไปก็มีประโยคนึงผุดขึ้นมาในหัว ‘ไม่ใช่คนในครอบครัว อย่าคิดย่างกร่ายเข้ามา’ นางรู้สึกคับข้องใจและกวาดจานขนมลงบนพื้นทันที

สวีซูรู้สึกขุ่นเคืองมาเมื่อมองไปที่ทั้งสามคน แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และนางก็เข้าไปกระซิบกับพระสนมลี่ว่า “ท่านพี่ลี่เฟย ท่านจะต้องช่วยข้า!”

“แน่นอนอยู่แล้ว” พระสนมหลี่ตอบกลับไป หากแต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความเศร้า

อีกด้านหนึ่ง ฉีเฉิงเฟิงเดินพาทั้งสามคนออกจากประตูวัง ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงนั่งในรถม้าเดียวกัน แม่จ้าวเองก็ไม่ได้เอ่ยว่าอะไรและไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะทำให้ชื่อเสียงตระกูลของนางเสียหาย นางปล่อยวางและปล่อยให้ทั้งสองคนไปด้วยกัน และส่วนตัวเองนั่งรถม้าอีกคันหนึ่งเพื่อเดินทางกลับไปที่บ้านตระกูลจ้าว

ฉีเฉิงเฟิงและซูหวานหว่านเดินทางไปที่โรงเตี๊ยมที่ถนนตะวันออกเพื่อไปนั่งจิบชา “ข้านั้นได้พบเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับซู่ฉิงฉิงมา รู้สึกว่ามันจะเกี่ยวข้องกับตระกูลสวี แต่ว่าเป็นใครในตระกูลสวีนั้นข้าก็ยังไม่รู้”

เหตุการณ์ของซู่ฉิงฉิงเกิดขึ้นก่อนมีพระราชทานการแต่งงาน และยิ่งซูหวานหว่านคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งแปลกมากขึ้นเท่านั้น นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเขาต้องการทำลายชื่อเสียงโดยการใช้ซู่ฉิงฉิงเข้ามาเกี่ยวข้อง และดูเหมือนว่าพันธะสัญญาแต่งงานของเจ้า ข้าคิดว่าตระกูลสวีนั้นได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แล้วเจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร?”

ฉีเฉิงเฟิงส่ายหัวไปมาและกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าเรื่องนี้มันจะไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เจ้าคาดเดาเอาไว้นะ ตอนที่สืบเรื่องนี้ข้าพบว่ามีคนอยู่ในกลุ่มฝูงชนในวันนั้น สั่งให้ซู่ฉิงฉิงเข้าเขามาโวยวายในการแข่งขันของเขา แต่พวกเขาก็ไม่เข้ามาตอนที่เจ้าประมูลขายของ และตอนที่ซู่ฉิงฉิงปรากฏตัวขึ้นก็จะมีถามคำถามอื่น ๆ มากมายเข้ามา ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามจากพ่อค้า หากจะให้ข้าคิด ข้าคิดว่าจุดประสงค์ของพวกเขานั้นก็คือเงินของตระกูลจ้าว”

“หือ?” ซูหวานหว่านรู้สึกงุนงง ตระกูลสวีต้องการเงินทองจากตระกูลจ้าวของนางทำไมกัน หรือพวกเขาขาดแคลนเงิน แต่ดูจากการแต่งกายของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ดูตกอับขนาดนั้น

ซูหวานหว่านนึกวิธีแปลกๆ ขึ้นมา และพูดว่า “หากแม่ทัพสวีได้เลี้ยงทหารเอาไว้คอยรับใช้เขาทำเรื่องต่าง ๆ ฮ่องเต้นั้นจะรู้เรื่องนี้ไหม?”

“ในเวลานี้เขาช่างโง่เขลายิ่งนัก แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน” ฉีเฉิงเฟิงพูดขึ้นพร้อมกับส่ายหัวไปมา และเขาคิดถึงความตั้งใจเดิมที่จะหลบหนีออกจากวังอีกครั้ง และกล่าวออกมาว่า “เจ้ารอให้ข้าสั่งคนไปจัดการแก้ไขปัญหาที่ฉีเป่ยเสร็จก่อน แล้วเราค่อยไปจากที่นี่กัน”

“อืม” ซูหวานหว่านพยักหน้า นางก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับปัญหาในเมืองหลวงนี้แล้วเหมือนกัน นางก็หยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ ทั้งสองคนได้นั่งอยู่ในโรงน้ำชาเป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็มีคนรับใช้สนิทขององค์ชายสามเดินเข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท พวกเราได้ยินข่าวลือมาว่ามีคนภายในวังเห็นวิญญาณชั่วร้าย และมันคือ…คือพระนางสนมเอก! พระสนมเอกสือซีเอ๋อร์ต้องการมาที่จะมาเอาชีวิตพระองค์! เมื่อคุณหนูสวีได้ยินมาว่าแบบนี้ นางก็ได้ไปที่ไปที่ตำหนักของฝ่าบาทเพื่อตามหาดวงวิญญาณของพระสนม แต่นางก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจ และตอนนี้นางกำลังนอนจมอยู่ในกองเลือด พระองค์ควรที่จะกลับไปดูนางหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”

วิญญาณของพระสนมเอก! ซูหวานหว่านรู้สึกขบขัน คนอื่นนั้นไม่รู้หากแต่นางนั้นรู้ดี วิญญาณเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น!

และทำไมมันถึงได้เกิดเรื่องขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้? สวีซูกำลังจะเรียกร้องความสนใจจากฉีเฉิงเฟิง? เมื่อคิดได้แบบนี้ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลกขึ้นมา และพูดกับฉีเฉิงเฟิงด้วยรอยยิ้มกล่าวว่า “องค์ชายสาม พวกเราไปดูกันเถอะว่านางจะมาไม้ไหนกันอีก”

“อืม” ฉีเฉิงเฟิงตอบรับพร้อมกับจับมือของซูหวานหว่านเดินออกไป แต่ทว่ามีคนเข้ามาขวางซูหวานหว่านเสียก่อนว่า “คุณหนูจ้าว! ท่านไปไม่ได้! เกิดเรื่องที่บ้านตระกูลจ้าวแล้ว!”

ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงนั้นต่างมองหน้ากัน และอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมตระกูลจ้าวและตำหนักองค์ชายสามจึงเกิดเรื่องขึ้นมาพร้อมกัน?

ใครกันแน่ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!