“ซูจิ่นซี เจ้าไม่เห็นแคว้นจงหนิงอยู่ในสายตา เจ้ากำลังคิดการใด? ”
ซูจิ่นซีอ้อนวอนเยี่ยโยวเหยาอยู่ในใจ พูดในใจกับเยี่ยโยวเหยาหลายต่อหลายครั้งว่า ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว! ทว่านางไม่ใช่คนที่คิดขอร้องผู้ใด นางยังคงหลับตา แสดงท่าทางเหมือนกำลังรอความตาย
เยี่ยโยวเหยาบีบกรามของซูจิ่นซี พลางดึงนางเข้ามาใกล้ และพูดว่า “ตำแหน่งพระชายาโยวอ๋อง ในใจของข้าสำคัญเทียบเท่าชาติบ้านเมือง ซูจิ่นซี ในเมื่อเจ้าได้รับสถานะนี้แล้ว ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าต้องยอมรับมันให้ได้ แม้จะไม่เต็มใจ ทว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับมัน”
สำคัญเทียบเท่าชาติบ้านเมืองเลยหรือ?
เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของเยี่ยโยวเหยา นางเบิกตาทั้งสองด้วยความประหลาดใจ จ้องหน้าเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้มองมาที่ซูจิ่นซีแล้ว เขาดึงตัวนางไว้ด้านหลังเพื่อคอยคุ้มกัน มือชี้กระบี่ยาวอาบโลหิตไปเบื้องหน้ากูสือซาน
เมื่อครู่นี้ คำพูดประโยคนั้นของเยี่ยโยวเหยาที่ว่า ‘ตำแหน่งพระชายาโยวอ๋อง ในใจของข้าสำคัญเทียบเท่าชาติบ้านเมือง’ กูสือซานก็ได้ยินเช่นกัน แต่เขาอยากทดสอบดูว่า ทั้งสองสิ่งสำคัญเท่ากัน หรือสตรีสำคัญกว่าชาติบ้านเมือง
กูสือซานจ้องเยี่ยโยวเหยาด้วยความระมัดระวัง มือจับหน้าอกบริเวณที่ถูกแทง พลางก้าวถอยหลังทีละก้าวอย่างเชื่องช้า ทว่าถอยหลังได้เพียงสองก้าว ไม่รู้ว่ามือของเขาไปสัมผัสกับจุดใดบนผนังกำแพงหิน ทันใดนั้นก็เกิดเสียง ‘ซู่ว… ’ ราวกับเสียงแผ่นเหล็กบางๆ เสียดสีกัน
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงดัง ‘โครม’
ซูจิ่นซีสัมผัสได้ว่าห้องศิลากำลังจะทรุดตัว
ในเวลานี้ มู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าเข้ามาด้านในห้องศิลาแล้วเช่นกัน พวกเขาไม่รู้ว่ากูสือซานต้องการจะทำอันใด ทุกคนต่างยืนข้างกายเยี่ยโยวเหยา เตรียมพร้อมต่อสู้ร่วมกับเยี่ยโยวเหยา
ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกัน ไม่มีผู้ใดลงมือ ผ่านไปครู่ใหญ่พร้อมกับเสียงที่ดังสนั่นต่อเนื่อง การทรุดตัวของพื้นห้องศิลาก็หยุดลง จากนั้นผนังของห้องศิลาก็เริ่มถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อไม่มีผนังหินรองรับ แผ่นหินบนเพดานจึงร่วงลงมา เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือ ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงคุ้มกันซูจิ่นซีให้หลบออกไปได้อย่างรวดเร็ว ส่วนมู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็สามารถหลบออกมาได้ทันเวลาเช่นกัน ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
“บัดซบ นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน… ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังพูดไม่ทันจบประโยค ก็พูดไม่ออกเสียแล้ว เพราะสถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้กลายเป็นสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
ทั้งอากาศและพื้นดินล้วนเป็นสีเดียวกัน ทั้งยังเป็นวัสดุแบบเดียวกัน ดูไปแล้วเหมือนโลกน้ำแข็ง ทว่าไม่มีความหนาวเย็นแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้จอมวายร้ายไป๋เฉ่าตกใจ ทว่าเป็นองครักษ์พิษที่ยืนอยู่รอบๆ ตัวเขาต่างหาก องครักษ์พิษมีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน พวกเขายืนแถวเรียงรายไกลสุดสายตา มองไปไกลๆ เห็นเพียงศีรษะคนเป็นจุดสีดำ
ในชั่วพริบตา คนมากมายมาจากที่ใดกัน?
“เยี่ยโยวเหยา ข้าเคยบอกแล้วว่า ให้ท่านนำแคว้นจงหนิงมาแลกกับซูจิ่นซี ในเมื่อวันนี้ท่านมาแล้ว ได้นำชาติบ้านเมืองมาด้วยหรือไม่? ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพบว่ากูสือซานหายตัวไปแล้ว เสียงเมื่อครู่เป็นเหมือนเสียงสะท้อนที่ดังมาจากทุกทิศทุกทาง ยากจะทราบได้ว่า ในเวลานี้กูสือซานอยู่ตำแหน่งใดกันแน่
เขาทำได้เพียงยืนเคียงข้างเตรียมพร้อมต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยาและมู่หรงฉี
“เจ้าฉี หากคิดจะฝ่าออกไป เจ้ามีความมั่นใจเพียงใด? ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าถามมู่หรงฉีด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าก็ไม่รู้”
“บัดซบ! ตอบไม่รู้ได้อย่างไร? ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ
“ยังไม่รู้ว่าทางออกอยู่ที่ใด พวกเราจะฝ่าออกไปได้อย่างไร? ”
สิ่งที่มู่หรงฉีพูดนั้นถูกต้อง ภาพที่เห็นรอบด้านเป็นเหมือนกันทั้งหมด คนก็เหมือนกันทั้งหมด แม้แต่ทิศทั้งสี่ยังไม่รู้ว่าอยู่ตำแหน่งใดบ้าง ไม่ต้องพูดถึงทางออกเลย
ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหันหน้าไปมองเยี่ยโยวเหยา ทว่าน่าเสียดายที่เยี่ยโยวเหยาไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
เย็นชาอะไรถึงเพียงนี้?
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าอยากสบถด่าเสียจริง ทว่าท้ายที่สุดก็อดกลั้นไว้
“จิ่นซี เจ้ายังจำค่ายกลเขาวงกตห้าธาตุหยินหยางแปดทิศ เมื่อพวกเรามายังหุบผาราชันพิษครั้งก่อนได้หรือไม่” เยี่ยโยวเหยาถามซูจิ่นซี
จิ่นซี?
เรียกอย่างสนิทสนมเช่นนี้ หรือจะแสดงให้เห็นว่าคำพูดของนางเมื่อครู่นี้ แม้เยี่ยโยวเหยาจะได้ยินทุกคำ ทว่าไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจนางผิดไป
ภายในใจของซูจิ่นซีเกิดความรู้สึกปลาบปลื้มอย่างบอกไม่ถูก นางเม้มริมฝีปากแน่น มุมปากเผยรอยยิ้มที่ไม่สามารถควบคุมได้
เยี่ยโยวเหยารออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินคำตอบของซูจิ่นซี จึงก้มหน้าสบตานาง
เมื่อเห็นคำถามในแววตาของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีจึงรีบตั้งสติ และพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจำได้เพคะ”
“อยู่ตรงนี้เจ้าได้ยินเสียงกลไกอันใดหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีเสียงกลไก หูของบุรุษผู้นี้ไวต่อเสียงอย่างนั้นหรือ?
“ได้ยินเพคะ ทว่าท่านอ๋อง หม่อมฉันได้ลองวิเคราะห์ตามหลักห้าธาตุหยินหยางแปดทิศเหมือนครั้งก่อนแล้ว กลับไม่พบประตูเป็น ประตูตายอันใด ทั้งยังไม่พบดวงตาค่ายกล แม้ที่นี่จะจัดวางกลไกไว้ แต่ราวกับไม่ใช่ค่ายกลเพคะ”
นางได้ยินมาว่า ค่ายกลที่บันทึกไว้ในตำราพิชัยสงคราม มีการยกตัวอย่างค่ายกลในสมัยโบราณไว้มากมาย เช่นบันทึกที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลต่างๆ ในพิชัยสงครามซุนวู พิชัยสงครามของจูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีค่ายกลที่ใช้มนุษย์ผสมรวมเข้ากับกลไก
“หากสิ่งนี้ไม่ใช่ค่ายกล เจ้าจะอธิบายอย่างไรกับเสียงกลไกที่ได้ยิน? ”
ซูจิ่นซีก็ไม่รู้เช่นกัน
หูของนางไวกว่าคนธรรมดา สามารถได้ยินในสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถได้ยินก็เท่านั้น ทว่านางไม่เข้าใจเรื่องกลไกหรือค่ายกลจำพวกนั้น
นางไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
“ทั้งสองครั้งที่พวกเราพบค่ายกล จุดเด่นที่สุดของพวกมันคือ การนำเอาค่ายกลห้าธาตุหยินหยางกับวิชาด้านกลไกผสมรวมกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเราเห็นอยู่ตรงหน้า แม้จะเป็นองครักษ์พิษจำนวนมหาศาล ทว่าสิ่งที่สายตาของเรามองเห็น อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป”
สิ่งที่สายตาของเรามองเห็น อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป
ซูจิ่นซีนึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งตอนที่เรียนมหาลัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับจูกัดเหลียงในยุคสามก๊กตอนที่เขายังไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาได้เข้าศึกษาที่สำนักฮวงเซิ่งเยี่ยน ในหนังสือบันทึกไว้ว่า ฮวงเซิ่งเยี่ยนได้ทดสอบจูกัดเหลียงกับบังทอง บททดสอบหนึ่งในนั้นคือค่ายกล หลังจากคนเข้ามาในค่ายกลแล้วจะมองเห็นสิ่งที่ตนเองยึดติดในจิตใต้สำนึก ทว่าความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง
ทว่าซูจิ่นซียังเกิดความสงสัยเล็กน้อย
ในที่แห่งนี้พวกเขามีทั้งหมดห้าคน เป็นไปไม่ได้ที่จิตใต้สำนึกของพวกเขาจะเหมือนกัน ทว่าเวลานี้สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับเป็นเหมือนกัน เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไร?
ดูเหมือนเยี่ยโยวเหยาจะล่วงรู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดอันใด เขาพูดขึ้นว่า “สิ่งที่พวกเราเห็นในเวลานี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ภาพลวงตาของพวกเราห้าคน แต่มันคือภาพมายาของพวกเราคนใดคนหนึ่งในห้าคนนี้”
ภาพมายาของคนใดคนหนึ่งหรือ?
เป็นภาพมายาของใคร? เหตุใดถึงสร้างภาพลวงตาที่มีองครักษ์พิษจำนวนมากมายเช่นนี้ และองครักษ์พิษที่ปรากฏตัวในภาพลวงตานี้ต้องการสังหารผู้ใด?
ซูจิ่นซีอดหันไปมองใบหน้ามู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าไม่ได้
เยี่ยโยวเหยากับซูอวี้ล้วนเป็นฝ่ายของตน เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำเรื่องที่สร้างความเสียหายให้กับตนเอง เหลือเพียงมู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าสองคน ที่พวกเขาไม่คุ้นเคยและไม่เข้าใจนัก แทบจะพูดได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าเสียด้วยซ้ำ
สีหน้าของมู่หรงฉีเรียบเฉยเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำตอนที่สบตาซูจิ่นซี เขายังเผยแววตาอ่อนโยนและแย้มยิ้มให้ซูจิ่นซีเล็กน้อย
ทว่าจอมวายร้ายไป๋เฉ่ากลับยิ้มเจื่อน แม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของเขาภายใต้หน้ากากเย็นชา แต่ดวงตาเรียวยาวทั้งสองของเขากลับเผยให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์
“แม่นางพิษน้อย ที่แท้เจ้าก็มีความรู้ด้านค่ายกลด้วย! ข้าว่าแล้วเชียว เจ้าอยู่กับเยี่ยโยวเหยาจะเสียเปรียบเขา มาอยู่กับพี่จุนจะดีกว่า พวกเราทั้งสองต่างมีความชื่นชอบคล้ายกัน พูดได้ว่าเหมือนกันทั้งหมดเลยทีเดียว”