เล่ม 10 เล่มที่ 10 ตอนที่ 297 ค่ายกลเทวะแปดลักขณา

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

กระบี่ในมือเยี่ยโยวเหยาจ่อไปที่ลำคอของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าอย่างรวดเร็ว ผิวหนังปรากฏบาดแผลเลือดไหลออกมาเล็กน้อย

“บัดซบ เยี่ยโยวเหยา ในเมื่อเจ้าไม่คิดสังหารข้า ก็อย่าทำท่าข่มขู่ได้หรือไม่? ”

“ข้าเตือนเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

เป็นเช่นนี้จริง ทว่าเหตุผลประการแรกคือ จอมวายร้ายไป๋เฉ่ามีความจำสั้น ประการที่สองคือ เขาชอบยั่วโมโหเยี่ยโยวเหยา ไม่เคยเห็นเยี่ยโยวเหยาอยู่ในสายตา

อย่างไรก็ตาม การลงมือในแต่ละครั้งของเยี่ยโยวเหยา ไม่ใช่เพื่อการข่มขู่ ทว่าทุกครั้งที่เขาลงมือกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าล้วนเอาจริงเอาจังทั้งสิ้น

‘ฉับฉับฉับ’

พวกเขาเห็นเพียงกระบี่ของเยี่ยโยวเหยากวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วตามร่างกายของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ทำให้เกิดบาดแผลบนร่างกายจำนวนมาก

“ข้าอดกลั้น จนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าโมโหสุดขีด เขาถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะเผชิญหน้าเตรียมต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยา

“เยี่ยโยวเหยา หากเก่งจริง วันนี้เจ้ากับข้ามาต่อสู้กันสักตั้ง” จอมวายร้ายไป๋เฉ่ารับไม่ได้ที่เยี่ยโยวเหยาลบหลู่เขาเช่นนี้

มู่หรงฉีกำลังจะเอ่ยเตือน กลับคิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะใช้เข็มเหมันต์เทวะจี้ไปตรงจุดตายบนลำคอของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า

จอมวายร้ายไป๋เฉ่ากับมู่หรงฉีหยุดชะงักทันที

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าสามารถปัดป้องการโจมตีจากทุกคนได้ ทว่าเขาไม่เคยนึกหวาดระแวงในตัวซูจิ่นซีเลย ทั้งยังคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะลงมือกับเขาในเวลาเช่นนี้

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าแสดงท่าทีเสียใจ แต่ยังคงยกยิ้มมุมปากพูดว่า “แหะๆ แม่นางพิษน้อย อย่าล้อเล่นกับพี่จุนเช่นนี้ รีบเอาเข็มเงินออกไปเถิด”

ทว่าซูจิ่นซีมีท่าทีจริงจังมาก แววตาของนางขึงขัง นางยกยิ้มมุมปากพูดว่า “จอมวายร้ายไป๋เฉ่า ทางที่ดีเจ้าทำตัวดีๆ หน่อยเถิด สถานการณ์ในวันนี้เป็นเช่นไร เจ้าล้วนทราบดี หากเจ้ายังกล้าพูดจายั่วโมโห ไม่รู้จักแยกแยะ ข้าจะสังหารเจ้าโดยไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิด เพื่อทำลายค่ายกลนี้”

ถูกต้องแล้ว เหล่าองครักษ์พิษที่อยู่ตรงหน้าคือภาพลวงตาในจิตใต้สำนึกของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ส่วนองครักษ์พิษจำนวนมากที่เกิดจากภาพมายาของเขานั้น มีไว้เพื่อรับมือกับผู้ใด ไม่ต้องพูดทุกคนก็คงทราบดี

นอกจากนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำลายค่ายกลนี้คือการสังหารจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ขอเพียงจอมวายร้ายไป๋เฉ่าตาย เรื่องยุ่งยากที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็จะได้รับการแก้ไขทันที

“แหะๆ แม่นางพิษน้อย เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม พี่จุนยอมรับว่า องครักษ์พิษเหล่านี้เป็นภาพมายาในจิตใต้สำนึกของตนเองจริง พี่จุนเพียงหวังให้เจ้ากูสือซานสังหารเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น ทว่าพี่จุนไม่ใช่คนเลว พี่จุนก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าตนเองจะคิดเช่นนี้ จนถูกเจ้ากูสือซานใช้เป็นเครื่องมือ! ”

แววตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยไอสังหารที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก หากระหว่างเขากับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าไม่มีข้อตกลงร่วมกัน เกรงว่าเขาคงใช้กระบี่บั่นคอจอมวายร้ายไป๋เฉ่าไปเสียนานแล้ว

เข็มเหมันต์เทวะในมือของซูจิ่นซี หยุดลงตรงจุดสำคัญบนลำคอของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า โดยไม่ได้ลงมือ

“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง พวกท่านฟังข้าพูดสักคำเถิด เวลานี้ศัตรูอยู่ตรงหน้า พวกเราควรร่วมใจกันต่อต้านศัตรูภายนอกถึงจะถูก บุญคุณความแค้นส่วนตัวนั้นขอให้ละไว้ก่อนชั่วคราว รอให้พวกเราทำลายค่ายกลนี้สำเร็จและออกไปจากหุบผาราชันพิษได้ เรื่องอื่นค่อยว่ากันดีหรือไม่? ”

แท้จริงแล้ว เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีหาใช่คนไม่มีเหตุผล ทว่าเป็นจอมวายร้ายไป๋เฉ่าที่ชอบพูดจายั่วยุหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาจึงคิดจะลงมือ

“ข้ามีข้อเสนอ” มู่หรงฉีเอ่ยขึ้น “ในเมื่อจอมวายร้ายกับพระชายาโยวอ๋องพอจะมีความรู้ด้านวิชากลไก มิสู้ให้ทั้งสองร่วมมือกันทำลายค่ายกลที่อยู่ตรงหน้านี้ บางทีพวกเราอาจมีทางรอด”

ซูจิ่นซีหันหน้าไปมองเยี่ยโยวเหยา เพื่อฟังความคิดเห็น

แววตาของเยี่ยโยวเหยาฉายแววถมึงทึง ไม่แสดงอาการใดๆ

มู่หรงฉีมีใบหน้าอึดอัดเล็กน้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีเก็บเข็มเหมันต์เทวะในมือ นางจับแขนเยี่ยโยวเหยาพูดว่า “ท่านอ๋อง มิสู้ให้หม่อมฉันลองดูสักครั้งเพคะ”

แท้จริงแล้ว เยี่ยโยวเหยาไม่ต้องการให้ซูจิ่นซีร่วมมือกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ทว่าค่ายกลที่อยู่ตรงหน้า นอกจากทางเลือกเดียวที่ต้องสังหารจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

“หากไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ ข้าจะสังหารเจ้าเพื่อทำลายค่ายกลนี้” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชากับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า

มู่หรงฉีใช้สายตาส่งสัญญาณเตือนจอมวายร้ายไป๋เฉ่า แม้ภายในใจของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าจะรู้สึกขุ่นเคือง แต่ก็ไม่ได้พูดอันใด

หากก่อนหน้านี้ จอมวายร้ายไป๋เฉ่าสามารถลงมือวางยาพิษเยี่ยโยวเหยาได้ และหากวิชาพิษของเขาใช้งานได้ดี ไม่แน่ว่าเขาอาจสามารถเอาชนะเยี่ยโยวเหยาได้นานแล้ว ทว่าเวลานี้ไม่เหมือนกัน ข้างกายเยี่ยโยวเหยามีแม่นางพิษน้อย อีกทั้งพลังลมปราณชิงหลงของเขาก็สำเร็จขึ้นอีกขั้น ทำให้วรยุทธ์ของของเยี่ยโยวเหยาแข็งแกร่งขึ้น ฉะนั้นเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยโยวเหยา แม้เขาจะไม่ยอมรับในตัวเยี่ยโยวเหยา ทว่าเขาไม่ควรวู่วามสู้แบบไม่คิดชีวิต!

เขาชื่นชอบแม่นางพิษน้อย การตามจีบแม่นางพิษน้อยสำคัญกว่า ทว่าต้องมีชีวิตรอดเพื่อตามจีบนางถึงจะถูก

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ จอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็เก็บความไม่พอใจทั้งหมดไว้ในใจ เขาเดินวนเวียนที่ตำแหน่งเดิมอยู่สามรอบ เมื่อหันหลังกลับมา ใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ เขาพูดกับซูจิ่นซีว่า “แม่นางพิษน้อย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่จุนร่วมมือกับเจ้า พี่จุนมีความสุขมากจริงๆ ! ”

ซูจิ่นซีไม่สนใจท่าทางหยอกเย้าของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า นางแสดงท่าทีจริงจัง พูดว่า “ข้าไม่เชี่ยวชาญวิชากลไกและค่ายกลเท่าไรนัก เพียงหูของข้าไวกว่าคนทั่วไปเท่านั้น ข้าสามารถได้ยินเสียงการทำงานของกลไกได้อย่างชัดเจน”

ภายใต้หน้ากากเย็นชาของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า สายตาเจ้าชู้ของเขาปรากฏรอยแย้มยิ้มเป็นพิเศษ พลางพูดว่า “ไม่เป็นไร แม่นางพิษน้อย เจ้าไม่ต้องร้อนใจและไม่ต้องกดดันตนเอง ความจริงแล้ววิชากลไกที่พี่จุนเรียนมานั้นก็ไม่ได้เก่งกาจเท่าไรนักเช่นกัน เพียงเรียนมาอย่างผิวเผิน ทว่าพวกเราสามารถช่วยเหลือกันได้! ”

“เริ่มกันเถิด! ”

ซูจิ่นซีไม่คิดจะพูดกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าให้มากความ นางเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว การแสดงออกบนใบหน้ายังคงจริงจัง

สีหน้าของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นกัน เขาเดินไปยืนข้างซูจิ่นซี

“เป็นไปได้ว่า เจ้ากูสือซานจะอยู่ในดวงตาค่ายกล พวกเจ้าเตรียมพร้อมให้ดี เมื่อดวงตาค่ายกลถูกทำลาย ขอเพียงทำให้เขาบาดเจ็บ ค่ายกลนี้ก็นับว่าถูกทำลายแล้ว”

เยี่ยโยวเหยากับมู่หรงฉีแยกกันยืนขนาบข้างซูจิ่นซีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ในท่าเตรียมพร้อมโจมตีศัตรู

“แม่นางพิษน้อย เสียงการเคลื่อนที่ของกลไกที่เจ้าได้ยิน หากเจ้ากับข้าเป็นจุดศูนย์กลาง ด้านหน้าคือทิศเหนือ ด้านหลังคือทิศใต้ ซ้ายคือทิศตะวันตก ขวาคือทิศตะวันออก จำแนกเช่นนี้เป็นอย่างไร? ”

ซูจิ่นซีเปิดความถี่ของอาคมกำไลปี่อั้นจนถึงจุดสูงสุด และรวบรวมสมาธิทั้งหมดเพื่อฟังเสียง

“หากว่ากันตามเสียงหนักเบา เรียงลำดับได้ดังนี้ ตะวันออก ตะวันตก ใต้ และเหนือ” ซูจิ่นซีเพิ่งพูดจบก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไม่ใช่สิ เป็นเหนือ ใต้ ตะวันตก และตะวันออก”

“เจ้าลองฟังให้แน่ใจอีกครั้งสิ”

ซูจิ่นซีตั้งใจฟังอีกครั้ง “ดูเหมือนบางครั้งลำดับของมันจะหมุนตามเข็มนาฬิกา ทว่าบางครั้งก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา ข้าแยกแยะไม่ออกว่าเสียงทางไหนดังกว่ากัน”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าคิ้วกระตุกภายใต้หน้ากากเย็นชา “แม่นางพิษน้อย พยายามกำจัดเสียงที่อยู่รอบข้างและฟังอีกครั้ง ตำแหน่งที่พวกเราอยู่ในตอนนี้ เสียงการเคลื่อนที่ของกลไก เป็นเช่นไร หนักเบาอย่างไร”

สิ้นเสียงคำพูดของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ซูจิ่นซีก็พูดขึ้นทันที “ใช่ บางครั้งเสียงรอบข้างทั้งสี่ด้านก็ดังกว่า บางครั้งเสียงรอบข้างทั้งสี่ด้านก็เบากว่า”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าขมวดคิ้วเป็นเกลียว มุมปากยกยิ้มแสดงอารมณ์ตึงเครียด “เจ้าฉี บัดซบ… พวกเราเดินทางมาโดยไม่ดูฤกษ์ดูยาม ดันมาพบกับค่ายกลเทวะแปดลักขณาเข้าแล้ว”

ค่ายกลเทวะแปดลักขณา?

สีหน้าของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี มู่หรงฉี ทั้งสามคนต่างเปลี่ยนไปในทันที

ที่เยี่ยโยวเหยากับมู่หรงฉีรู้สึกประหลาดใจก็เพราะว่า แม้พวกเขาจะไม่รู้จักค่ายกลและวิชากลไก แต่เคยได้ยินชื่อเสียงของค่ายกลนี้มาก่อน ค่ายกลเทวะแปดลักขณาเป็นวิชากลไกที่ร้ายกาจที่สุด ทั้งยังสลับซับซ้อนที่สุดค่ายกลหนึ่ง

ส่วนสาเหตุที่ซูจิ่นซีประหลาดใจนั้น เพราะนางคิดไม่ถึงว่า ในยุคสมัยนี้จะมีค่ายกลเทวะแปดลักขณาจริงๆ

ยุคสมัยที่นางอยู่ ค่ายกลเทวะแปดลักขณาเป็นค่ายกลที่จูกัดเหลียงในยุคสามก๊กเป็นผู้สร้างขึ้น มันเป็นการผสมผสานระหว่างกลไกและค่ายกลหยินหยาง ส่วนมากจะใช้ในทางการทหาร

ค่ายกลนี้แทบไม่มีจุดอ่อนเลย รบทุกครั้งชนะทุกครั้ง แม้จะเผชิญหน้ากับกองทัพนับหมื่นม้าศึกนับพัน ทว่าทุกอย่างล้วนกลายเป็นเม็ดทราย ต้องพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช

ดังนั้นผู้คนจึงกล่าวขานว่าเป็นค่ายกลเทวะแปดลักขณา