ฉันลืมกุญแจ
ความจริงแล้วในฐานะที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ธรรมดาๆ ทวยเทพนั้นมีอำนาจอยู่มากพอสมควรด้วยการมีสมาชิกมากกว่าหนึ่งหมื่นคน วิชาหลากหลายแขนงที่สืบทอดกันมายาวนาน ความสามารถโดยเฉลี่ยระดับสูง และแรงยึดเหนี่ยวทางจิตใจระหว่างสมาชิกในกลุ่มที่แข็งแกร่ง
นี่ทำให้ทวยเทพเป็นหนึ่งในองค์กรผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
แต่กระนั้นพวกเขากลับชอบชิงดีชิงเด่นกับเครือข่ายฟ้าดินซึ่งแค่จำนวนสมาชิกก็ทำให้กังวลใจได้มากพออยู่แล้ว…
ทวยเทพนั้นเป็นที่ฉาวโฉ่ในเรื่องความบ้าคลั่งของพวกเขาก็ด้วยตรรกะที่ผิดปกติของพวกเขานั่นเอง นโยบายหลักที่มีต่อเครือข่ายฟ้าดินคือการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้าด้วยทุกวิถีทาง ในขณะที่ทวยเทพปรารถนาในแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลและจำนวนประชากรที่มากมายของพวกเขา…
ซากุราอิจ้องคิตะมุระด้วยสายตาที่เย็นชา เธอรู้ว่าเธอไม่อาจหลบหลีกความสนใจของพวกเขาได้เลยแม้ว่าจะไม่มีตัวตนของการเป็นพวกอนุรักษนิยมของเธอก็ตาม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะไม่พอใจท่านอาจารย์ของเธอ แต่ซากุราอินั้นเป็นผู้หญิงที่มีหลักการ อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ใช่คนทรยศ
“ฉันคิดว่าคุณอาจเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป” ซากุราอิกล่าวอย่างใจเย็น
คิตะมุระถามกลับด้วยความสงสัย “เธอว่าอะไรนะ”
“ฉันจะไม่ชอบคุณเพราะคุณไม่ดีพอ” ซากุราอิตอบทั้งที่ยิ้มอยู่ เมื่อมองย้อนกลับไป ความรู้สึกสุขสงบที่เธอมีกับคิริฮาระคุงนั้นมีค่าเหลือเกิน เพราะอย่างน้อยมันก็ดีกว่าความสะอิดสะเอียนที่ติดอยู่ที่คอหอยของเธอในตอนนี้มากมายนัก
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิริฮาระ ยูสึเกะนั้นถือว่าดีพอไหม ฉันสามารถฆ่ามันได้นะ” คิตะมุระกล่าว
คำพูดของเขาทำให้หัวใจของซากุราอิเจ็บแปลบแต่เธอยังคงเงียบต่อไป
คิตะมุระหัวเราะ “จริงหรือเปล่า เธอหลงรักมันเหรอ สงสัยจริงว่าโอดะ โทคุมะจะคิดยังไงถ้ารู้เรื่องนี้ ดูจากความบุ่มบ่ามของฝ่ายเธอแล้ว ฉันสงสัยเหลือเกินว่าทวยเทพจะตั้งตัวเป็นองค์กรชั้นนำในโลกภายใต้การนำของพวกอนุรักษนิยมได้อย่างไรกัน”
“แต่ฉันรู้ว่าภายใต้การนำของพวกคุณ ทวยเทพต้องพินาศแน่” ซากุราอิกล่าวอย่างนุ่มนวล
แท้จริงแล้วความไม่ลงรอยกันระหว่างพวกอนุรักษนิยมและพวกลัทธิคลั่งชาติคือเรื่องสันติภาพหรือสงคราม ฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นไม่ใช่ผู้รักสันติภาพเสมอไปและพวกเขาก็ไม่ได้มีแต่คนใจเย็น แต่พวกเขาเชื่อเสียมากกว่าว่าการสะสมความแข็งแกร่งย่อมจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่าการก่อความรุนแรงต่อผู้อื่น
มันเป็นเพียงความแตกต่างในเรื่องของจุดยืนทางการเมือง ไม่ใช่การต่อสู้กันระหว่างความยุติธรรมและความชั่วร้าย
ดังนั้นเนี่ยถิงจึงไม่เคยออกคำสั่งที่ไร้สาระใดๆ เช่น การช่วยเหลือกลุ่มอนุรักษนิยม แก่หลี่ว์ซู่เลย ในการต่อสู้ที่ต่างประเทศนั้นผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในหมู่ผู้บำเพ็ญ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลย
รอยยิ้มของคิตะมุระหายไป “สามวัน นี่คือคำสัญญาของฉัน”
ทันใดนั้นซากุราอิก็ยิ้มราวกับว่าเธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน ในซอยเงียบๆ นั้น หญิงสาวในชุดกิโมโนลายดอกซากุระคนนี้สวยราวกับเทพธิดาและรอยยิ้มของเธอก็พ่ายเมืองได้ เธอกล่าวว่า “คืนพรุ่งนี้จะไม่มีใครอยู่ที่บ้านของฉัน”
แม้ว่าคิตะมุระจะไม่เข้าใจว่าเธอขำอะไรนักหนา แต่ข้อมูลนั้นเป็นข่าวดีของเขา อย่างไรก็ตามเขาจะต้องเอาคนไปเพิ่มเผื่อว่ามันจะเป็นกับดัก
เมื่อคิดดังนั้น คิตะมุระก็ล้อเล่นปนขู่อยู่กลายๆ ว่า “ในเมื่อเธอพูดว่าไม่มีใครก็ขออย่าได้มีใครสักคนเลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันอาจฆ่าไม่ยั้ง”
“วางใจได้ค่ะ จะไม่มีใครอยู่บ้าน” พูดจบซากุราอิก็เดินจากไปในทันทีประหนึ่งว่าไม่ได้สนใจท่าทีของคิตะมุระเลยโดยสิ้นเชิง
แทนที่จะกลับบ้าน เธอกลับมุ่งหน้าไปที่โดโจเพราะจู่ๆ เธอก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมสิ่งหนึ่งเอาไว้…เธอลืมกุญแจและกระเป๋าเงิน…
…
ขณะที่หลี่ว์ซู่และบันไดกำลังคุยกันอยู่ในสนาม จู่ๆ พวกเขาก็เห็นซากุราอิในชุดกิโมโนสุดวิจิตรของเธอ หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความช็อก ทำไมเธอถึงใส่ชุดนั้น จะไปออกงานเหรอ
ซากุราอิยิ้ม “ฉันลืมเอากุญแจกับกระเป๋าเงินมา ขอฉันค้างที่นี่ได้ไหมคะอาจารย์”
หลี่ว์ซู่ขบคิดไม่กี่วินาที “เธอจะต้องจ่ายค่าที่พัก”
“ได้เลย เข้าใจแล้วค่ะ”
แล้วคุณบันไดก็พาซากุราอิไปที่ห้องพักแขก ในทันใดนั้น หญิงสาวคนนี้ก็กลายเป็นแขกของพวกคิริฮาระโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ
บันไดเตรียมชุดของเธอเองให้ซากุราอิได้เปลี่ยน อย่างไรเสียมันก็คงจะไม่สะดวกนักที่จะใส่กิโมโนตลอดเวลา บันไดยิ้มขณะมองดูซากุราอิ “พวกนี้เป็นเสื้อผ้าของฉัน ฉันคิดว่าขนาดหน้าอกของเธอคงจะใหญ่กว่าฉัน แต่รบกวนใส่พวกมันไปก่อนก็แล้วกันนะคะ”
จากนั้นซากุราอิก็ถามคำถามที่เธอไม่มีวันคาดคิด “พี่ทานิกุชิคะ พี่คิดว่าคิริฮาระคุงจะชอบผู้หญิงอย่างฉันไหม”
บันไดชะงักนิ่ง ในขณะนั้นซากุราอิ ยาเอโกะไม่ใช่สายลับอีกต่อไป เธอดูเหมือนเด็กวัยรุ่นหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่จมอยู่ในความรู้สึกที่มีให้เด็กหนุ่มอีกคน แล้วบันไดก็ลงไปนั่งข้างๆ เธอและกล่าวว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คำตอบที่เป็นรูปธรรมสำหรับเรื่องอย่างความรู้สึก มันไม่เกี่ยวกับความสนใจส่วนตัว หรือผลประโยชน์ทางการเงิน หรือเป้าหมายอะไรที่เฉพาะเจาะจง มีคนโง่หลายคนที่รักใครเพื่อจะพิสูจน์ว่าพวกเขาควรค่าแก่ความรัก พวกเขากำความรักเอาไว้แน่นจนกระทั่งมันตาย แต่ซากุราอิ เธอต้องเข้าใจว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่เธอยึดเอาไว้ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้”
ซากุราอิใช้เวลาอยู่นานในการซึมซาบคำพูดของเธอเข้าไปในใจ แล้วเธอก็ขอบคุณคุณบันได
หลังจากประตูปิด ซากุราอิก็เริ่มทบทวนเหตุการณ์ในคืนนั้น เธอพบว่าปฏิกิริยาแรกของเธอคือการมาที่โดโจของคิริฮาระแทนที่จะไปหาท่านอาจารย์ในยามที่เธอต้องการที่คุ้มกะลาหัว การตัดสินใจนั้นก็สื่อความหมายบางอย่างแล้ว
คำขู่ของคิตะมุระเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ว่าซากุราอิจะไม่อาจเอาชนะเขาได้ แต่สิ่งที่อันตรายจริงๆ ก็คือทีมทวยเทพที่อยู่ข้างหลังเขา
ทำไมคิตะมุระ ฮิโรโนะซึ่งเป็นแค่คนระดับ C ถึงได้กล้าดูหมิ่นยอดฝีมือระดับ B อย่างโอดะ โทคุมะ นั่นเป็นเพราะผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งของเขา ซึ่งลำพังโอดะคนเดียวนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซากุราอิตาสว่างว่าฝ่ายอนุรักษนิยมไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ เธอรู้ดีว่าท่านอาจารย์ของเธออาจไม่แม้กระทั่งลุกขึ้นสู้เพื่อเธอหากเธอตกเป็นเป้าของพวกลัทธิคลั่งชาติ
มันเกี่ยวกับเรื่องทัศนคติของเขาไม่ใช่เรื่องพลังของเขา ความจริงบุคคลที่รู้จักโอดะ โทคุมะมากที่สุดก็คือลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อซากุราอิ ยาเอโกะนั่นเอง
เธอจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้กับคิตะมุระ ฮิโรโนะ เพราะไม่ว่าท่านอาจารย์ของเธอจะเป็นคนที่แย่เพียงใดแต่ถึงอย่างไรท่านก็ยังเป็นท่านอาจารย์ของเธอ
ตอนนี้เธอจึงตระหนักว่า ในไม่ช้าเธอจะไม่มีที่ยืนในแผ่นดินกว้างใหญ่ที่เรียกว่าญี่ปุ่นแห่งนี้แล้ว ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเธอคือการจากไป
ทว่าเธอไม่สมัครใจที่จะจากไปแบบนี้ ซากุราอิรู้สึกได้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอต้องทำ
ผู้คนนั้นมองข้ามทักษะการต่อสู้ของเธอได้ง่ายๆ เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของเธอที่ทรงอานุภาพเหนือสิ่งอื่นใด แต่ความจริงแล้ววิชาของเธอต่างหากที่เป็นสิ่งที่เธอภาคภูมิใจอย่างแท้จริงมาโดยตลอด
ในขณะนี้ แรงกระตุ้นบางอย่างเริ่มก่อเกิดขึ้นในใจของเธอ เธอคนนี้ผู้ซึ่งไม่เคยเหยียบย่างออกไปจากบ้านเกิดของเธอเลยตั้งแต่ลืมตาดูโลกขึ้นมากลับอยากจะออกไปดูโลกภายนอกบ้างเสียแล้ว