ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 267 เคลื่อนพลสู่ระดับมหาปรมาจารย์

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูซือคงจิง พลางยิ้มน้อยๆ

ความคิดของซือคงจิง เยี่ยนจ้าวเกอหาได้คัดค้านไม่

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นโลกของจอมยุทธ์ ในตอนที่คนคนหนึ่งมีศักยภาพไม่เป็นสองรองใคร ผู้อื่นคนใดล้วนซีดเซียว

ตัวอย่างที่ง่ายที่สุด จอมมารหยวนเทียนไม่จำเป็นต้องมีกลอุบายอื่นใด เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้คนรู้สึกครั่นคร้ามแล้ว

โลกแปดพิภพในปัจจุบัน จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งมีความสามารถและต้นทุนข้ามผ่านกฎเกณฑ์โดยส่วนมาก หลายครั้งหลายคราที่จำกัดควบคุมเขาได้มีเพียงการดำรงอยู่ของระดับชั้นเดียวกันเท่านั้น

เฉกเช่นวาจาของซือคงจิง นางรู้สึกว่าตนเองไร้พลัง ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะพลังฝึกปรือนางตอนนี้ยังต่ำนัก

อันที่จริงนี่ก็ไม่ทำให้นางแปลกใจเช่นกัน เปรียบกับอายุและระยะเวลาฝึกฝนของนางแล้ว นางเหนือชั้นกว่าคนนับไม่ถ้วนแล้ว เพียงแต่นางถูกหอบเข้าไปในสถานการณ์ที่พลังความสามารถพลังฝึกปรือของตัวเองในตอนนี้หมดทางตอบโต้

แท้จริงแล้วโศกนาฏกรรมของคนส่วนมากบนโลกหล้านี้ ล้วนมีที่มาจากตรงนี้

ในอีกความหมายหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอเองก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เพียงแต่เขามีวิธีการและแผนรับมืออื่น

และก็เป็นเพราะว่าการที่สามารถแก้ไขปัญหาตามหลักการทั่วไป ที่แต่ไหนแต่ไรพลังความสามารถและพลังฝึกปรือของตนเองในตอนนี้ไม่อาจโต้ตอบ ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอถึงได้มีตำแหน่งและชื่อเสียงบารมีอย่างทุกวันนี้

เยี่ยนจ้าวเกอมองซือคงจิง ก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อก่อนพวกเจ้าออกไปฝึกฝนประสบการณ์ภายนอก แม้จะมีคนนำพา แต่โดยรวมแล้วถ้าไม่ถึงขั้นเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวจัดแจงกับพวกเจ้า เพราะทางสำนักก็พิจารณาถึงผลจากการฝึกฝนเช่นกัน”

ซือคงจิงกล่าว “แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ในใจพวกข้าก็มีความรู้สึกพึ่งพาอยู่เสมอ”

นางมองยังน้ำตกไกลออกไป ฟังเสียงน้ำกระทบกันดังซู่ซ่า “ศิษย์พี่เฟิงมีวันนี้ได้ ชีวิตอันโชกโชนที่สองปีนั้นร่อนเร่ลำพัง ถูกคนไล่ล่าสังหารตลอดเวลา นับว่าสำคัญอย่างยิ่ง”

“แม้ว่านั่นจะไม่ใช่เรื่องดีอะไรก็ตาม”

ชายหนุ่มรู้ว่าคำพูดที่ซือคงจิงเอ่ยไม่ได้เกี่ยวกับจันทรากาย เข็มแกนน้ำแข็ง และคัมภีร์แห่งจันทราของเฟิงอวิ๋นเซิงแต่อย่างใด

ที่นางหมายถึงคือพลังความสามารถอันกล้าหาญองอาจของเฟิงอวิ๋นเซิง ผู้เหนือชั้นรุ่นเดียวกันนั้น

ด้านหนึ่งคือพรสวรรค์ ด้านหนึ่งก็คือประสบการณ์เช่นกัน ความสามารถในการต่อสู้สังหารจริงของเฟิงอวิ๋นเซิง แก่กล้ากว่าจอมยุทธ์ระดับขั้นเดียวกันโดยส่วนใหญ่นัก

เท่าที่เยี่ยนจ้าวเกอทราบ เฟิงอวิ๋นเซิงกับซือคงจิงต่างเป็นศิษย์ใต้ฟู่เอินซู ยามปกติฝึกฝนต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้อยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ก็น่าสนใจอย่างยิ่งเหมือนกัน เฟิงอวิ๋นเซิงเรียกซือคงจิงว่า ‘ศิษย์พี่ซือคง’ และยามซือคงจิงเรียกเฟิงอวิ๋นเซิง นางก็เรียกว่า ‘ศิษย์พี่เฟิง’ เช่นกัน

แน่นอนว่าระหว่างทั้งสองหาได้มีความขัดแย้งอะไรไม่ และก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะตาต่อตา ฟันต่อฟันใดๆ เช่นกัน

เป็นเพราะเฟิงอวิ๋นเซิงกราบเข้าเป็นศิษย์ทีหลัง จึงเรียกอย่างยกย่องซือคงจิงซึ่งอายุน้อยกว่าตนว่าศิษย์พี่

ส่วนสาเหตุที่ซือคงจิงเรียกเฟิงอวิ๋นเซิงกว่าศิษย์พี่ ก็ง่ายดายอย่างยิ่งแล้ว

ระหว่างศิษย์ในสำนักไร้ฆาตไร้แค้น ไม่ถึงขั้นต่อสู้เอาเป็นเอาตาย หากแต่ในระดับเดียวกันประลองประมือ เฟิงอวิ๋นเซิงมักจะเหนือชั้นกว่าขั้นหนึ่งเสมอ

ถ้าหากเป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย ความได้เปรียบของเฟิงอวิ๋นเซิงยังคงมากยิ่งกว่า

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้มีความคิดจะก้าวก่ายการตัดสินใจของซือคงจิง เพียงอมยิ้มกล่าวว่า “เจ้ามีความคิดเช่นนี้ มีใจฝักใฝ่ยุทธ์ ต่อสู้สุดชีวิตแสวงหาความก้าวหน้าเช่นกัน แน่นอนว่าข้าไม่มีความเห็น สำหรับผู้อื่นยากจะเอ่ย สำหรับเจ้าแล้ว บางทีอาจจะเป็นเส้นทางที่สามารถทำได้อย่างแท้จริงก็เป็นได้”

“หากแต่ประการแรก ทางที่ดีเจ้าถามความเห็นท่านอาจารย์ฟู่ก่อนค่อยตัดสินใจ ประการที่สอง ต่อให้จะไปก็ต้องรอท่านอาจารย์ปู่ออกจากฌาน ให้ทั้งหมดมวลจบลงก่อนค่อยพูดถึงจะดีกว่า ระยะนี้กำลังมีเรื่องมากมาย”

ซือคงจิงฟังแล้ว ผงกศีรษะพลางกล่าว “ที่ศิษย์พี่เยี่ยนกล่าวมีเหตุผล ข้าเข้าใจดี”

นางประสานมือเหนืออกคำนับเยี่ยนจ้าวเกอ ครั้นกล่าวลาแล้วก็ออกไป

ชายหนุ่มมองเงาหลังซือคงจิง รู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง “เรือใหญ่แข่งขันแน่นขนัดแม่น้ำ ใครเล่าจะโผล่ออกมาแสดงฝีมือได้เต็มที่?”

จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ แล้วกลับที่พำนักของตน

พูดถึงการทุ่มเทฝึกฝน ยกระดับขั้นและพลังความสามารถของตน แต่ไรการแสวงหาความก้าวหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ด้อยกว่าผู้ใด

แม้ว่าหลายวันมานี้เขาจะได้หน้าได้ตาไม่มีที่สิ้นสุด จัดการเรื่องใหญ่ที่จอมยุทธ์ปรมาจารย์จำนวนมากไม่อาจทำสำเร็จ กระนั้นความต้องการเร่งรัดยกระดับพลังความสามารถของตนในใจเยี่ยนจ้าวเกอ ล้วนแรงกล้ายิ่งกว่าคนส่วนมาก

เมื่อกลับมาในห้องสงบจิต เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิ ปรับปราณจิตราชั้นในภายในร่างกายไม่หยุดยั้ง ก่อเกิดรัศมีแสงสายหนึ่งเหนือศีรษะพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า

เยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนมือซ้ายขึ้น สังเกตรอยประทับมารบนหลังมือ คิดทบทวนศึกษาท่วงทำนองพลังในนั้นตลอดเวลา

ภายในจุดตันเถียน กลุ่มธาตุปราณบริสุทธิ์ยังคงขมุกขมัวทั้งผืน

หลังชายหนุ่มปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง รัศมีแสงเหนือศีรษะถึงค่อยๆ เลือนหาย เขาจึงหยิบของแบบเดียวกันออกมา

นั่นคือแผ่นหินที่เหมือนกับผิวกระจก หากไม่ได้โปร่งแสงแต่อย่างใด ดูไปแล้วฝุ่นเถ้าเขรอะทีเดียว

ทว่าสายตาเยี่ยนจ้าวเกอตกอยู่บนด้านหน้า พื้นผิวแผ่นหินกลับคล้ายว่ามีแสงสว่างส่องวาบคลุมเครือ สะท้อนดวงหน้าของเขาออกมา

ซึ่งนั่นก็คือศิลาเซียนส่องชะตา ที่ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอได้มาจากที่อยู่อาศัยเดิมของชาวกระเรียนล่องลอยในมิติต่างแดนแห่งนั้น

สรรพคุณทั่วไปของของวิเศษนี้ เป็นสรรพคุณที่คนธรรมดาทั่วไปก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่รับรู้เช่นกัน ซึ่งก็คือสะท้อนเส้นทางการโคจรปราณจิตรายามฝึกฝนบำเพ็ญของผู้คน ปรากฏให้คนอื่นยลชม

กล่าวอีกอย่างคือ คุณสมบัติหลักๆ แท้จริงแล้วนำมาใช้สั่งสอนศิษย์

อาจารย์สำนักผู้อาวุโสใช้ศิลาเซียนส่องชะตาแสดงเส้นทางโคจรปราณจิตรา ในขณะเดียวกันตัดสินวินิจฉัยตนเอง สาธิตให้ผู้อ่อนอาวุโส สะดวกแก่พวกเขาในการสังเกตและตระหนักรู้

กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอกลับล่วงรู้ว่าของวิเศษนี้ ยังมีประโยชน์อื่นอีก

เขายื่นนิ้วของตัวเองออกมา วาดลงบนผิวศิลาเซียนส่องชะตาแผ่วเบา บรรจงเขียนเลือดลมทีละสาย ฉับพลันนั้นพื้นผิวศิลาก็แสดงภาพแสงที่แตกต่างกันออกมา

แผ่นหินที่เดิมทีฝุ่นเขรอะ บัดนี้กลับค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงใสแจ๋วขึ้นมา ราวกับผลึกหินก็ไม่ปาน ประหนึ่งผิวกระจกอย่างแท้จริง

รัศมีแสงเหนือศีรษะเยี่ยนจ้าวเกอพุ่งขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ในรัศมีแสงก็มีภาพลอยขึ้น ดูไปแล้วพิเศษเป็นเอกลักษณ์

ระหว่างวันต่อๆ มา เขาเริ่มวันคืนของการบำเพ็ญฝึกฝนของตนอีกครั้ง

ทั้งวัน หากไม่ฝึกฝนตนเอง สั่งสมไม่หยุดหย่อน เตรียมทะลวงขั้นมหาปรมาจารย์ ก็คิดทบทวนถึงรอยประทับมารหลังมือซ้าย หรือไม่ก็ใช้เตาผลึกหินชั้นในสรรสร้างคันศรทำลายมารขึ้นอีกขั้น

กาลเวลาไหลผ่านเร็วไว ห่างจากวันที่เจ้าสำนักหยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌานไปหลายวันแล้ว

ส่วนในสำนักเขากว่างเฉิงดำเนินไปตามปกติ เยี่ยนตี๋เข้าสู่บทบาทเต็มตัว หากแต่โลกภายนอกไม่ว่าจะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หรือจะภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต ก็ล้วนไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใหญ่อะไรชั่วคราวเช่นกัน

ขณะนี้ กลับเหมือนว่ามวลชนร่วมใจ เงยหน้าขึ้นเฝ้าคอยหยวนเจิ้งเฟิงประสบผลสำเร็จ เหยียบย่างขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วออกฌาน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอ หรือกลุ่มของเยี่ยนตี๋ ล้วนรู้ดีว่าทั้งปวงนี้เป็นเพียงภาพลวงตา เป็นเพียงความสงบเงียบสุดท้ายก่อนพายุลมฝนก็เท่านั้น

วันหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอนั่งสมาธิอยู่ในห้อง ผิวศิลาเซียนส่องชะตาเบื้องหน้าที่ใสแจ๋วประดุจผลึกหินกลับมีรอบแตกร้าวกระจายอยู่ทั่ว ราวกับใยแมงมุมถี่ยิบอย่างไรอย่างนั้น

สีหน้าอารมณ์ของเขาสงบนิ่ง เพียงยืดนิ้วของตนออกมาแตะบนศิลาเซียนส่องชะตา

แผ่นหินราวกับผลึกหินแตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไร้สุ้มเสียง กลายเป็นผงแหลกละเอียด แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นผุยผงกระจายหายไปในอากาศ ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีอยู่

กระนั้นรัศมีแสงเหนือศีรษะของชายหนุ่มยิ่งส่องแสงสว่างโชติช่วง

ภายในจุดลมปราณทุกจุดทั่วร่างเขา ราวกับล้วนมีแสงสุกสว่างส่องทะลุออกมาด้านนอก

ทั้งร่างเยี่ยนจ้าวเกออาบอยู่ในแสงสุกสว่าง ปราณจิตราลวงตา คล้ายกับแปรสภาพเป็นเมฆมงคลจริงแท้ ขับดุนสรรพางค์กายของเขา

รัศมีแสงแวววาวเหนือศีรษะยามนี้เริ่มกลับคืนสู่สวรรค์เชื่องช้า ทว่าแสงสว่างไสวทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าที่ปล่อยออกมา ยิ่งเข้มข้นเป็นเท่าทวี

วันนี้ เยี่ยนจ้าวเกอสืบเท้าสู่ขั้นมหาปรมาจารย์อย่างเป็นทางการ!

—————————