ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 268 ความเงียบสงบก่อนมรสุม สิ้นสุด!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

แสงวามวาบทั่วร่างเยี่ยนจ้าวเกอขณะปราณจิตราไหลเวียน ดูไปแล้วทำให้เขาคล้ายกับถูกเมฆมงคลกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมไว้

ระหว่างจุดลมปราณทั่วกายเปิดปิดพร้อมกัน พลังสั่นสะเทือนก็ส่งกระจายออกมาจากภายในร่างกายของเขา

อย่างค่อยเป็นค่อยไป ราวกับมังกรมากมายดำผุดดำว่ายอยู่ในเมฆมงคล เทพมังกรเห็นหัวมิเห็นหาง ส่งเสียงมังกรคำรามอันแข็งกร้าวดังก้องออกมาพร้อมเพรียง

พลังปราณสองแบบทั้งเย็นเยียบและร้อนแผดเผา บัดนี้ไม่แจ่มชัดอีกต่อไป สัมผัสได้ถึงความรู้สึกพลังที่มีเพียงความทรงพลัง

ดวงตาทั้งสองของเยี่ยนจ้าวเกอที่ปิดสนิทอยู่ ลืมขึ้นเวลานี้

มวลเมฆมงคลรอบกายที่ทอแสงวามวับ เริ่มค่อยๆ เลือนแสงสีลงในขณะนี้ ปราณจิตราแต่ละสายราวกับมังกรเหล่านั้น ก็สงบเงียบลงเช่นกัน

เมฆมงคลสุกใสเป็นประกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบสงัด จนท้ายที่สุดปรากฏเห็นคลุมเครือไม่ชัดเจน

บริเวณที่เยี่ยนจ้าวเกอหยัดยืน ทำให้ผู้คนรู้สึกเลือนรางยากบรรยาย เห็นชัดๆ ว่าคนอยู่ตรงนั้น แต่กลับเหมือนว่าหมดทางยืนยันตำแหน่งของเขา ไม่แบ่งหน้าหรือหลัง ไม่แยกบนหรือล่าง

มิติและเวลาคล้ายสูญสิ้นความหมายไปในชั่วขณะนี้ ทิ้งไว้เพียงธาตุอากาศสลัวผืนหนึ่ง

ยามนี้มวลอากาศรอบกายเยี่ยนจ้าวเกอ ปรากฏภาพเฉกเช่นภายในจุดตันเถี่ยนชี่ไห่ของเขา

ขณะนี้ รัศมีแสงเหนือศีรษะชายหนุ่มหายไปไม่เห็น แสงสุกสกาวในดวงตาทั้งสองของเขาก็อ่อนลง จนสุดท้ายกลับมามีลักษณะเช่นปกติ ดูเรียบๆ ธรรมดา อ่อนโยน และเก็บตัว

มวลอากาศธาตุสลัวรอบกายอันแปรสภาพมาจากปราณจิตรา ก็ค่อยๆ กลับคืนภายในจุดลมปราณทั่วร่างของเขา

เยี่ยนจ้าวเกอผุดยืนขึ้นจากพื้น คล้ายกับกระบี่เลื่องชื่อลือชาที่แสดงศักดาสามารถเล่มหนึ่ง เวลานี้เก็บเข้าฝัก

คมกระบี่ไม่เพียงไม่งุ่มง่ามเท่านั้น กลับจะยิ่งแหลมคมขึ้นเสียอีก เพียงแต่อ่อนเบาลงขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น ยามจำเป็นค่อยปรากฏเห็นอีกครั้ง ระเบิดพลังที่แก่กล้ายิ่งกว่ากาลก่อนออกมา

ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ รู้สึกเพียงปราณจิตราที่มีสติปัญญามากล้นของตนเก็บตัวยิ่งขึ้น อัดแน่นยิ่งขึ้น ทรงพลังยิ่งขึ้น และหนาหนักยิ่งขึ้น

เขารู้สึกว่าตนเองรู้จักการฝึกฝนวรยุทธ์มากยิ่งขึ้นอยู่รางๆ

ความตระหนักรู้ของตนที่ได้ร่ำเรียนและได้รับมา ผนวกเข้ากับวรยุทธ์ที่ตนบำเพ็ญเพียร เส้นทางยกระดับสายหนึ่ง ได้ปรากฏวับวาบอยู่ตรงหน้าแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอรู้ดี นั่นคือจิตรูปญาณวรยุทธ์ของตนเอง บัดนี้มีพื้นฐานในการบ่มเพาะแล้ว รอก็เพียงแต่การคิดทบทวนสั่งสม จนยกระดับเข้าใจลึกซึ้งในที่สุด

และตอนนี้ เขาประสบผลสำเร็จก้าวสู่ขั้นมหาปรมาจารย์แล้ว!

เบื้องหน้าประหนึ่งผลักประตูบานใหญ่บานหนึ่งออก ตนเองสืบเท้าเข้าสู่โลกใหม่

ระดับมหาปรมาจารย์ ขั้นซ่อนจิตระยะต้น

สติปัญญาปราณจิตรากำจัดเปลือกนอกฟื้นคืนสู่สามัญ ฟ้าดินเจตจำนงหมัดแปรเท็จเป็นจริงขึ้นอีกขั้น เริ่มก่อตัวเป็นพื้นดินวิเศษ

ซึ่งนี่ก็คือพื้นฐานของจอมยุทธ์ขั้นมหาปรมาจารย์นั่นเอง พื้นดินวิเศษอันกลายสภาพมาจากปราณจิตราเจตจำนงหมัดของเยี่ยนจ้าวเกอ เฉกเช่นลักษณะทั่วไปของกลุ่มธาตุปราณในจุดตันเถียนชี่ไห่ของตน ลี้ลับมหัศจรรย์ไม่อาจคาดเดา

เยี่ยนจ้าวเกอปรับลมปราณให้ความอบอุ่นอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะผุดลุกขึ้นผลักประตูเดินออกไป

อาหู่กำลังรออยู่ด้านนอก เขามองเพียงปราดเดียวก็เห็นรัศมีแสงฝ่านภาเหนือศีรษะเยี่ยนจ้าวเกอนั้นเลือนหาย

ตามนิสัยของเยี่ยนจ้าวเกอ นอกจากสถานการณ์พิเศษน้อยครั้ง แต่ไหนแต่ไรไม่ลดเก็บรัศมีแสงเหนือศีรษะ

บัดนี้รัศมีแสงมลาย อาหู่สังเกตเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าจุดลมปราณทั่วร่างเยี่ยนจ้าวเกอเปิดปิดขยุบขยิบ คล้ายมีจิตวิญญาณเชื่อมประสานทั้งสองโลกในกายและนอกกาย

อาหู่เองเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้วคราหนึ่ง เห็นดังนั้นก็ตื่นตกใจเล็กน้อยก่อน เดินเข้ามาแสดงความยินดี “คุณชาย ท่านสำเร็จขั้นมหาปรมาจารย์แล้ว!”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกล่าว “จุดเริ่มต้นใหม่ การเริ่มต้นใหม่”

ชายร่างใหญ่กล่าวชื่นชมจากจริงใจ “คุณชาย อีกนิดเดียวท่านก็ทำลายสถิติ เป็นมหาปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลแล้วขอรับ”

“ถ้าเริ่มนับจากตอนที่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น จนเลื่อนขั้นเป็นระดับมหาปรมาจารย์ ท่านยังใช้เวลาน้อยกว่าท่านประมุขเสียอีก!”

หากในวันทั่วไปอาหู่พูดจาเช่นนี้ล่ะก็ ยังมีความหมายประจบประแจงอยู่บ้าง ทว่าขณะนี้กลับเป็นการชื่นชมยินดีจากใจจริง ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

อย่ามองว่าปกติแล้วชายกำยำสูงใหญ่ผู้นี้ไม่อินังขังขอบ คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ ลักษณะเช่นสุนัขรับใช้

ทว่ามีเพียงตอนที่อยู่กับบุตรบิดาทั้งสอง เยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋เท่านั้น จึงจะมีลักษณะนิสัยเช่นนี้

เข้าหาผู้อื่น แม้เปลือกนอกจะยิ้มแย้มแจ่มใส กระนั้นโดยส่วนมาก เขาอาหู่ หวงหู่ถิง แท้จริงแล้วก็มีความหยิ่งทระนงของตนในใจเช่นกัน เฉกเช่นพยัคฆ์ร้ายในขุนเขาก็ไม่ปาน

หากแต่บัดนี้เห็นชายหนุ่มอย่างเยี่ยนจ้าวเกอ เหยียบย่างเข้าระดับมหาปรมาจารย์ อาหู่ก็รู้สึกชื่นชมยินดีเช่นกัน

นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฐานะของเยี่ยนจ้าวเกอทั้งสิ้น หากแต่เป็นความล้ำเลิศน่าเลื่อมใสโดยแท้เฉพาะตัวของเขา

ชายหนุ่มอมยิ้มพลางเอ่ย “ท่านพ่ออายุยี่สิบสองปีก็เป็นมหาปรมาจารย์ คิดจะทำลายสถิตนี้ไม่ง่ายนัก ตอนนี้ในบรรดาคนที่ข้ารู้จัก ทำได้เพียงดูว่าฮานหลงเอ๋อร์จะมีหวังหรือไม่เท่านั้นแล้ว”

เขามองทางอาหู่ “ใช่แล้ว ดูท่าเจ้าตั้งใจรอเข้าอยู่ตรงนี้ มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”

อาหู่ผงกศีรษะ ยิ้มยิงฟัน เผยให้เห็นฟันขาวเต็มปาก ดุร้ายอยู่บ้างไม่ชัดเจนนัก

“คุณชาย ในตระกูลคล้ายกับไม่มั่นคงอยู่บ้าง”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินแล้ว ก็เลิกหางคิ้วขึ้นเบาๆ “โอ้? ในตระกูล…”

ภายในตระกูลในคำพูดของอาหู่ แน่นอนไม่ใช่ตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะจ้าวบนอัสนีพิภพ แต่หมายถึงตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะนภากลางบนนภาพิภพ อันเป็นฐานะเดิมของเยี่ยนจ้าวเกอ

หลังจากแยกตัวออกมาจากตระกูลเยี่ยนเกาะจ้าวบนอัสนีพิภพในอดีต หลีกหนีการกดขี่ประทุษร้ายของที่นั่น ตลอดทางยากลำบากยาวไกล อพยพมาถึงนภาพิภพ สุดท้ายตั้งรกรากตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะนภากลางขึ้นใหม่ที่นภาพิภพ

เกาะนภากลาง เป็นเขตที่สำนักเขากว่างเฉิงตั้งอยู่ ที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีขุมกำลังชั้นแรกอื่นปฏิบัติสืบเนื่องเป็นที่ยอมรับ อยากจะพัฒนาอยู่ที่เกาะนภากลาง อย่างมากที่สุดก็เป็นขุมกำลังชั้นหนึ่งหรือสองได้เท่านั้น

ยกตัวอย่างมีเพียงสองในนั้น ก็คือตระกูลเยี่ยน ฐานะเดิมของบุตรบิดาเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋ และตระกูลจาง ฐานะเดิมของผู้อาวุโสเก่าแก่จาง

ทั้งสองตระกูล เนื่องด้วยเยี่ยนตี๋และผู้อาวุโสจาง จึงหยั่งรากลึกอยู่ในเกาะนภากลาง ทว่าเทียบกันแล้วต่างก็วางตัวถ่อมตนทั้งสิ้น

ใต้ไม้ใหญ่ทอดเงาร่มเย็น ตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะนภากลางก็กลายเป็นตระกูลเลื่องชื่อ บารมีแผ่ไพศาลในโลกแปดพิภพอันเป็นที่ประจักษ์ทั้งใกล้และไกล ตามเส้นทางพลังฝึกปรือและตำแหน่งที่เดินขึ้นสูงของเยี่ยนตี๋

แน่นอนว่าตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะจ้าวอัสนีพิภพไม่ยอมรับเรื่องนี้ กระนั้นตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะนภากลางก็หาได้สนใจว่าอีกฝ่ายยอมรับหรือไม่

ประมุขตระกูลเยี่ยนในปัจจุบัน ก็คือบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋

ทว่าโดยส่วนมากเยี่ยนตี๋ล้วนพักอยู่ที่เขากว่างเฉิง รอยฉลากของผู้อาวุโสสำนักเขากว่างเฉิงบนตัวเขา ก็สำคัญกว่าประมุขตระกูลเยี่ยนอยู่อักโขเช่นกัน

เยี่ยนตี๋เป็นผู้กุมหางเสือตระกูลเยี่ยน ทว่ากิจธุระประจำวันในตระกูลยามปกติ โดยส่วนมากผู้อาวุโสตระกูลไม่กี่คนเป็นผู้จัดการ จากนั้นจึงรายงานกับเยี่ยนตี๋

“ในสำนักไม่มั่นคงอย่างไร?” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถามคล้ายยิ้มทว่าไม่ยิ้ม

อาหู่กล่าวตอบด้วยสีหน้าท่าทางดุร้าย “มีบางคนพูดพล่าม ตั้งข้อสงสัยว่าท่านประมุขตระกูลหาใช่บุตรของนายท่านใหญ่ไม่ ลามไปถึงพูดจาไร้มารยาทต่อท่าน ระหว่างนั้นยิ่งหยามเกียรติท่านฮูหยิน”

เยี่ยนจ้าวเกอแค่นหัวเราะ ทว่ากลับไม่ได้บังเกิดโทสะ “น่าสนใจนัก มองท่านพ่อเลื่อนขั้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำนักเขากว่างเฉิงขึ้นอีกก้าว มีความหวังกันว่าท่านพ่อจะได้ตำแหน่งเจ้าสำนัก กระนั้นไม่คิดเลียแข้งเลียขา ท้ายที่สุดคิดจะก่อความวุ่นวายในเวลานี้?”

“ยังไม่เอ่ยถึงว่าข่าวลืออันยุ่งเหยิงเหล่านั้นเชื่อถือได้กี่ส่วน ต่อให้เป็นจริง ทางเลือกที่เฉียบแหลมในเวลานี้ ก็น่าจะเป็นการยืนอยู่ฝั่งเดียวกับท่านพ่อ ถึงขั้นช่วยทำลายหลักฐาน บรรเทาการโต้เถียงให้สงบลง”

“ยิ่งท่านพ่อแข็งแกร่งเท่าใด ตำแหน่งก็ยิ่งมั่นคงเท่านั้น ตำแหน่งของตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะนภากลางก็ยิ่งมั่นคงด้วยเช่นกัน น้ำขึ้นเรือย่อมสูงขึ้นตาม ผลประโยชน์ยิ่งมาก โผล่โผนก่อความวุ่นวายเวลานี้ เจ้าว่าพวกเขาโง่เขลาหรือไม่?”

ชายหนุ่มรำพึงรำพันกับตัวเอง “พวกเขาล้วนไม่ได้โง่เขลาแม้แต่น้อย และนั่นอธิบายได้ว่ามีสาเหตุอื่นแล้ว”

“ท่านพ่อดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงแทนชั่วคราว สะสางปัญหาร้อยพันทั้งวี่วัน หาเวลาว่างไม่ได้ แต่เรื่องจำพวกขัดแย้งภายในนี้ จะไม่สนเลยก็ไม่ได้อีก ผู้คนในตระกูลตัวเองล้วนไม่สงบสุข แล้วจะดูแลสำนักเขากว่างเฉิงได้อย่างไร?”

“คนอื่นก็ไม่เหมาะจะปราบปรามอีก ข้าในฐานะทายาทประมุขตระกูล กลับตระกูลไปจัดการ ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเย็นยะเยือก เส้นสายตาทอดมองไกลออกไป “ดังคาด ความสงบเงียบก่อนมรสุมสิ้นสุด อีกฝ่ายเตรียมลงมือแล้ว”

————————–