ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 269 กลับตระกูลยุติความวุ่นวาย

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่กล่าวถาม “เป็นหลุมพรางของอีกฝ่าย เป้าหมายแต่แรกเริ่มก็คือท่าน วางแผนที่จะล่อลวงสังหารคุณชายหรือขอรับ?”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเสียงเรียบ “นี่เป็นเรื่องในตระกูลเยี่ยน คนอื่นไม่เหมาะที่จะจัดการ ท่านพ่อไม่มีเวลา เช่นนั้นก็ทำได้เพียงเป็นข้าที่กลับไป”

ชายร่างใหญ่มองทางเยี่ยนจ้าวเกอ “คุณชาย เช่นนั้นท่าน…”

“จะกลับไป” เยี่ยนจ้าวเกอพูดกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “แน่นอนว่าต้องกลับไป”

หลังจากเก็บข้าวของติดตัวอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มถึงเดินไปยังในลานด้านข้าง พ่านพ่านหมอบราบพักผ่อนอยู่ตรงนั้น

ครั้นเห็นเยี่ยนจ้าวเกอมาถึง พ่านพ่านพลันดึงกำลังวังชา ไม่คล้ายกับเกียจคร้านเช่นก่อนหน้านี้

ชายหนุ่มลูบศีรษะโตแผ่วเบา กล่าวกับอาหู่ว่า “ทางท่านพ่อทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วกระมัง?”

อาหู่กล่าวตอบ “ขอรับ ท่านประมุขรับทราบแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ดี เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว ท่านพ่อจะจัดการเอง ส่วนพวกเรากลับตระกูล”

เมื่อลงจากยอดเขาคุนตี้ ออกจากประตูสำนักไป เยี่ยนจ้าวเกอพลิกตัวขึ้นนั่งบนหลังพ่านพ่าน อาหู่เองก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน

พ่านพ่านที่ดูเหมือนไร้เดียงสาน่าเอ็นดู อ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ยามทิ้งอุ้งเท้าทั้งสี่ห้อตะบึง กลับว่องไวปานลมกรดเสียอย่างนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็ออกไปไกล

ร่างเยี่ยนจ้าวเกอพุ่งพรวดและโคลงเคลงไปตามพ่านพ่าน สายตาทอดมองไกลออกไป คล้ายกับกำลังไตร่ตรองอะไรอยู่

เขาลดศีรษะลงมองหลังมือซ้ายของตน รอยประทับมารด้านบนปรากฏเลือนรางอย่างยิ่งยวด ตามปกติแล้วใช้เวลาไม่นานเท่าใดนักก็จะเลือนหายไปทั้งหมด

อาหู่เหลือบมองแวบหนึ่ง “คุณชาย ท่านว่าครานี้ผู้ชักใยเป็นภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตหรือว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์?”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตเป็นไปได้มากกว่าหน่อย ประการแรกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กำลังรอหวงกวงเลี่ยออกฌาน ประการสองความสามารถในการแทรกซึมกัดกร่อนของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น”

“แต่ว่า…” แววตาเยี่ยนจ้าวเกอดูมืดมนอยู่บ้าง “รู้เบื้องลึกเบื้องหลังหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่แน่ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อาจกำลังรอภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตกับพวกเราบอบช้ำทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นแล้ว ต่อให้หวงกวงเลี่ยไม่ได้ออกฌาน พวกเขาก็มีโอกาสช่วงชิง”

ชายร่างใหญ่แยกเขี้ยวยิงฟัน “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคงไม่ถึงขั้นร่วมมือกันหรอกกระมัง?”

“น่าจะไม่ร่วมมือกัน เรื่องไม่ถึงเส้นตายแบบนี้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงยังทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่แน่ว่าอาจกำลังคิดเป็นชาวประมงได้ประโยชน์ กวาดเรียบไม่เหลือก็เป็นได้” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ

“ผ่านเรื่องที่วายุพิภพมา ข้าวิเคราะห์เงื่อนงำออกมาหลายส่วน โลกในตอนนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีความเข้าใจต่อนพยมโลกอย่างไร ทว่าผู้ที่เข้าใจภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตลึกซึ้งที่สุด อาจจะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”

เขาส่ายศีรษะ “ทั้งสองฝ่ายล้วนกำลังแบ่งแย่งดึงผู้เหลือรอดสำนักเขานิมิตทมิฬมาเป็นพวก แต่ไม่แน่นัก ผู้เหลือรอดอาจกลายเป็นลู่ทางที่ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจถ่องแท้โดยปริยายแล้วก็เป็นได้เช่นกัน”

อาหู่เกาท้ายทอยตนเอง “…ต่างก็กำลังคิดวางแผนใช้ประโยชน์อีกฝ่าย ยืมมือสังหารคนหรือขอรับ?”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “เป็นแค่เพียงการคาดเดาของข้า หาได้มีหลักฐานอะไรไม่”

รากฐานของตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะนภากลาง ตั้งอยู่ที่เขตสัจจเมฆาทางตอนใต้ของเกาะนภากลาง ห่างจากเขากว่างเฉิงระยะหนึ่ง

พวกเขาขี่พ่านพ่าน บุกป่าฝ่าดงอยู่ช่วงหนึ่งแล้วเช่นกัน จึงเดินทางมาถึง

ครั้นเข้าไปในบริเวณของเขตสัจจเมฆา ก็มีชายวัยกลางคนรออยู่ตรงนั้นแล้ว พลังฝึกปรือของเขาอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะกลาง นามว่าเยี่ยนเหอ

ทันทีที่เยี่ยนจ้าวเกอพบเยี่ยนเหอ เขาก็ไม่พูดถ้อยคำตามพิธีรีตอง “ลุงเหอ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“ในงานเลี้ยงตระกูลคราก่อนเมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆ ท่านลุงสี่ก็นำกระดาษจดหมายฉบับหนึ่งออกมา เอ่ยว่าเป็นท่านลุงใหญ่ทิ้งไว้ก่อนครั้งยังมีชีวิต” เยี่ยนเหอเองก็ไม่มีเวลาจะพิธีรีตองเช่นกัน เขาพาเยี่ยนจ้าวเกอรุดหน้า พลางสืบเท้า พลางพูดกล่าว “เนื้อหาในจดหมาย…กล่าวว่าพี่ตี๋หาได้ใช่ท่านลุงใหญ่เป็นผู้ให้กำเนิดไม่ หากแต่รับเลี้ยงเป็นลูกตอนยังแบะเบาะ ภูมิหลังไม่แจ่มชัด”

สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอไม่หวั่นไหว ตั้งใจฟังสงบนิ่ง

ลุงใหญ่ที่เยี่ยนเหอเอ่ยถึง ก็คือบิดาของเยี่ยนตี๋ ปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้ประสบอันตรายสิ้นชีพบนหนทางอพยพมายังนภาพิภพ

เวลานั้นเยี่ยนตี๋ยังคงเยาว์วัย บนโลกหล้ายิ่งไม่มีเยี่ยนจ้าวเกอคนนี้

ปู่ทวดของเยี่ยนจ้าวเกอในภายหลัง ปู่ของเยี่ยนตี๋ พาทั้งตระกูลลงหลักปักฐานอยู่ที่นภาพิภพ หลังจากนั้นเยี่ยนตี๋กราบเข้าเป็นศิษย์ใต้สำนักเขากว่างเฉิง ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ และอุ้มชูตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะนภากลางให้น้ำสูงขึ้นเรือก็สูงขึ้นตาม

หลังจากปู่ของเยี่ยนตี๋ ประมุขตระกูลรุ่นก่อนถึงแก่กรรม ตำแหน่งประมุขตระกูลไม่ได้ให้ทายาทสืบสกุล แต่ให้เยี่ยนตี๋ซึ่งรุ่นหลานรับตำแหน่ง

ปัจจุบันลุงสาม ลุงสี่ และลุงเจ็ดของเยี่ยนตี๋ล้วนยังมีชีวิต

ปกติแล้วเยี่ยนตี๋อยู่ที่เขากว่างเฉิง กิจธุระประจำวันตระกูลของเยี่ยนแห่งเกาะนภากลาง ก็เป็นผู้อาวุโสในตระกูลไม่กี่ท่านเหล่านี้ร่วมปรึกษาหารือหาทางแก้ไข

เยี่ยนเหอถอนใจกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วลุงสี่คิดเช่นไร ปล่อยเรื่องจนผู้คนล้วนล่วงรู้ ยิ่งกว่านั้นยังยืนหยัดจะสืบเรื่องนี้ ลุงสามกับลุงเจ็ดห้ามปรามเขาไม่อยู่ ทำได้เพียงแจ้งพี่ตี๋ให้ทราบ”

บรรดาผู้อาวุโสตระกูลไม่กี่คน ท่านปู่สามและปู่สี่ของเยี่ยนจ้าวเกอล้วนอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ ทว่าท่านปู่เจ็ดกลับอยู่ในขั้นซ่อนจิต

“ตอนนี้ท่านพ่อรับหน้าที่เจ้าสำนักชั่วคราว กิจธุระมากล้น ปลีกตัวออกมาไม่ได้” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเรียบง่าย “ฉะนั้นครานี้ข้าจึงกลับมาดูว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้น”

อายุและลำดับชั้นอาวุโสเยี่ยนจ้าวเกอแม้จะอ่อนเยาว์ แต่กลับเป็นทายาทสืบทอดของเยี่ยนตี๋ ขณะเดียวกันชื่อเสียงเรียงนามก็ลือเลื่องทั่วทั้งโลกแปดพิภพ ตำแหน่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เขากว่างเฉิงเองก็ไม่ต่ำเตี้ย

แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสตระกูล ก็ไม่อาจอาศัยลำดับอาวุโสตระกูลมากดดันเขาได้ง่ายๆ เช่นกัน

เยี่ยนเหอเอื้อนเอ่ย “เจ้ากลับมาได้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ทำให้สถานการณ์สงบลงก่อน ไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้”

พวกเขามาถึงที่เรือนบรรพบุรุษ ทว่ายังไม่ได้เข้าไปในลานบ้าน ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดโดยรอบ

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นมอง ก็แลเห็นลมเมฆบนท้องฟ้าเหนือเรือนบรรพบุรุษสาดซัด พลังอันน่าพรั่นใจผันแปรตลบอบอวลไปทั้งสี่ทิศ ชัดแจ้งว่าเป็นฉากที่มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณสองคนคุมเชิงกันถึงจะเกิดขึ้นได้

ครั้นเข้าไปในที่เรือนใหญ่ ผ่านเขตอาศัยชั้นแล้วชั้นเล่า จนเห็นผู้เฒ่าทั้งสองกำลังยืนประจันหน้าอย่างที่คิด ทั้งสองคนต่างสีหน้าอารมณ์น่าเกรงขาม นิ่งเงียบไม่พูดจา

ซึ่งหลังกายพวกเขา ต่างก็มีผู้สนับสนุนของตน กำลังโต้เถียงกันอยู่

“หรือว่าพวกเจ้าเสียสติไปแล้ว? เวลานี้เที่ยวออกมาถ่วงประมุขเอาไว้ คิดจะทำอะไรกันแน่?”

ฝ่ายหนึ่งที่อยู่ฝั่งเยี่ยนตี๋ มองอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดเนื้อ

อีกฝ่ายเองก็ไม่หลีกทางแม้แต่น้อย “พูดจาต้องเหมาะสมกับฐานะตน มิเช่นกันก็ไม่สมเหตุสมผล แต่ไหนแต่ไรตำแหน่งประมุขตระกูลของเยี่ยนตี๋ ก็ได้มาโดยไม่ชอบ”

“ทั้งตระกูลอพยพมานภาพิภพในตอนนั้น พ่อแม่ของเขาล้วนประสบหายนะ มีเพียงเขาที่ยังมีชีวิต ผู้ใดก็ไม่ล่วงรู้ว่าเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้มีจดหมายลายมือของบิดาเขาเองทิ้งไว้ให้ท่านประมุขคนเก่า พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง เยี่ยนตี๋ไม่ใช่บุตรหลานตระกูลเยี่ยนโดยแท้!”

“พ่อแม่เขาประสบหายนะในตอนนั้น ใครจะรู้ว่าลายมือที่เขาเขียนเอง ใช่ใช้เพื่อปิดบังฐานะ วางแผนมุ่งร้ายต่อตระกูลหรือ?”

ฝ่ายเยี่ยนตี๋ถูกทำให้โกรธจนหัวร่อ “ท่านประมุขสามารถมีวันนี้ได้ เพราะอาศัยพรสวรรค์ของตัวเขาเอง ท่านประมุขคนก่อนเลือกเขารับตำแหน่ง ก็เพราะเห็นความสามารถของเขาเช่นกัน”

“ครั้นเข้าสำนักเขากว่างเฉิงแรกเริ่ม ท่านประมุขก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้หยิบยืมกำลังของตระกูลมากเท่าใดนัก กลับกัน เป็นหลังจากตำแหน่งท่านประมุขค่อยๆ รุดหน้าขึ้นทุกวัน ตระกูลจึงได้อาศัยบารมีไม่น้อย”

“พวกเจ้าแต่ละคนมีความชิงชังอยู่ในใจ เกรงว่าเป็นเพราะโทษท่านประมุขที่กฎเกณฑ์เข้มงวด ไม่ให้โอกาสพวกเจ้าได้เป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือกระมัง!”

อีกฝ่ายได้ยินแล้ว ก็พลันเปล่งเสียงฮึดฮัดเย็น “เยี่ยนตี๋ผิดหรือไม่ ยังไม่พูดก่อน ข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อแม่เขาถึงแก่กรรมในตอนนั้นต้องสืบให้ชัด ภูมิหลังของเขาก็ต้องสืบให้ชัด คนคนหนึ่งที่ภูมิหลังไม่แจ่มแจ้งกลายเป็นประมุขตระกูล ไม่มีมูลชวนให้ผู้คนหัวเราะ”

“บุตรชายเขา เยี่ยนจ้าวเกอ ก็เช่นเดียวกัน แม่ของเขาฐานะไม่ชัดแจ้ง ใครรู้ว่าภูมิเป็นเช่นไร…”

พูดมิทันจบคำ เงาคนคนหนึ่งก็วับวาบ ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา

ปรากฏว่าเป็นเยี่ยนจ้าวเกอนั่นเอง

ชายหนุ่มยิ้มไม่อินังขังขอบ “ภูมิหลังของคนที่ส่งเสริมเจ้า ข้าเองก็รู้สึกสนใจยิ่งเช่นกัน”

คนผู้นั้นพยายามตั้งสติ “เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้ากลับมาพอดี บรรดาผู้อาวุโสตระกูลมีอะไรจะถามเจ้า…”

‘พลั่ก!’

ชั่วขณะถัดมา คนผู้นี้กระเด็นลอยดิ่งออกไปด้านหลังโดยพลัน

เยี่ยนจ้าวเกอปัดฝุ่นบนขากางเกงของตน “นอกจากตอบคำถามของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น”

——————————–