บทที่ 467 ภรรยาและนางสนม
บทที่ 467 ภรรยาและนางสนม
ภายในห้องอาหาร เซียวหลิงวางช้อนลงเป็นอันสิ้นสุดสำหรับมื้อนี้ ปกติเธอก็เป็นคนกินน้อยเช่นนี้อยู่แล้วก็ค่อยไปหาของจุกจิกกินเรื่อย ๆ ตลอดวัน
ในตอนนั้นเอง เด็กสาวก็เหลือบไปเห็นเซียวเฟิงและอีกสี่สาวที่เดินลงมาพร้อม ๆ กัน แววตาสีฟ้าสวยหรี่แคบลง จมูกเล็ก ๆ ของเธอก็ขยับดมฟุดฟิดเหมือนสัตว์ตัวน้อย ๆ เซียวหลิงดูเหมือนจะอยากเข้าไปดมใกล้ ๆ เพราะรู้สึกว่าเซียวเฟิงและสาว ๆ มีกลิ่นที่คล้ายคลึงกัน และมันเป็นกลิ่นที่แปลกมาก ๆ
“อะแฮ่ม…นั่งลงก่อน ไม่ต้องรีบไปไหน ฉันมีเรื่องที่อยากจะพูดด้วยสักหน่อย”
เซียวเฟิงกระแอมไอและปัดความสงสัยของเซียวหลิงที่แสดงออกมาชัดเจนทิ้ง เพราะเขากลัวว่าถ้าปล่อยให้เธอสงสัยอยู่แบบนี้ คงปิดความลับไว้ไม่มิดแน่ ๆ
“เรื่องที่ว่านี่ เกี่ยวกับที่พี่เซียวกลับบ้านไปรอบล่าสุดหรือเปล่าน่ะ?” เฉียนโตวโตวถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เช่นเดียวกับสาว ๆ คนอื่น พวกเธอหูผึ่งรอฟัง ไม่เว้นแม้แต่หนิงเคอเค่อที่ยังแอบนั่งลงและหันมองมายังเซียวเฟิง
“เกี่ยวสิ ในเมื่อพวกเธอเลือกที่จะอยู่กับฉันแล้ว ก็ควรจะรู้เรื่องพวกนี้เอาไว้” เซียวเฟิงพูด เขายังนึกถึงสิ่งที่หลิวเฉียงเหว่ยเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว ว่ายิ่งพวกเธอไม่รู้จักเซียวเฟิงมากเท่าไหร่ ความไม่ไว้วางใจมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเมื่อตอนนี้พวกเธอเลือกที่จะมาอยู่กับเขาแล้ว เซียวเฟิงก็ตัดสินใจแล้วที่จะบอกความจริงเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างให้พวกเธอรู้ไว้
“งั้นก็เล่ามาได้เลยพี่เซียว! พวกเราพร้อมฟังแล้ว!” เฉียนโตวโตวรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม เธอทุบโต๊ะรัว ๆ เป็นจังหวะกลองแล้วจ้องมองเซียวเฟิงโดยไม่กะพริบตาเลย
“จริง ๆ เรื่องนี้มันเกี่ยวของกับจืออี้ด้วย ชื่อจริงของเธอคือ ซางกวนซือเฟย ฉันจะค่อย ๆ อธิบายไปนะ”
เขาหันไปมองซางกวนซือเฟยแล้วพูดต่อ “และการที่ฉันกลับบ้านไปหลายวันนี้ เหตุผลก็มาจากเธอด้วยเช่นกัน”
“เซียวเฟิง เป็นชื่อต้นของฉัน นามสกุลของฉันคือ จาง ฉันเป็นลูกชายแท้ ๆ ของตระกูลนี้ ซึ่งถือเป็นตระกูลที่ค่อนข้างพิเศษและมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน” เซียวเฟิงขมวดคิ้วคิด เขาพยายามเลือกหาถ้อยคำที่จะมาทดแทนคำยาก ๆ ที่อยู่ในหัวตอนนี้เพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงรูปแบบตระกูลจางให้พวกเธอฟังได้อย่างไร ไม่รู้ว่าควรจะบอกอย่างไรดีว่าตระกูลมีตัวตนอยู่ในฐานะไหน อะไรคือการสืบทอด แล้วการสืบทอดแบบตีตัวออกห่างจากโลกภายนอกคืออะไร ทำไปเพื่ออะไร สำหรับคนธรรมดาแล้ว เรื่องพวกนี้ค่อนข้างจะเข้าใจยากมาก ๆ
“เดี๋ยวฉันอธิบายเอง จริง ๆ แล้วที่ท่านเซียวจะบอกก็คือ ไม่มีใคร ณ ที่นี้ที่เป็นคนธรรมดาเลย พวกเธอคงจะเข้าใจกันใช่ไหม?” ซางกวนซือเฟยดูสถานการณ์แล้วรับเรื่องไปพูดต่อเอง “ตระกูลจางของท่านเซียวเป็นตระกูลโบราณและเป็นตระกูลลึกลับในขณะเดียวกัน พวกเขามีพลังมากมายพอที่จะสั่นสะเทือนรัฐบาลของประเทศนี้ได้ง่าย ๆ หากไม่ติดว่ารักสันโดษ นอกจากตระกูลจางแล้ว ก็ยังมีตระกูลอื่นอยู่อีกที่แข็งแกร่งในแบบเดียวกัน แต่ท่ามกลางตระกูลเหล่านี้ ตระกูลจางถือว่าเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด”
การอธิบายนี้ค่อนข้างเข้าใจง่ายมาก ๆ มันหลีกเลี่ยงประเด็นที่ทำให้สาว ๆ ไม่เข้าใจได้อย่างชัดเจนรวมถึงสามารถอธิบายความแข็งแกร่งของตระกูลจางได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ท่ามกลางสาวทั้งสาม มีหลิวเฉียงเหว่ยที่เคยติดต่อด้วยจึงพอจะเข้าใจได้กลาย ๆ กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดตอบอะไรเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าสวยยังคงสงบเยือกเย็นดังเดิม
ซือเยี่ยจิ๋งจ้องมองเซียวเฟิงด้วยความตกใจ เธอเองก็มาจากตระกูลที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการต่อสู้โบราณเช่นกัน ดังนั้นเธอย่อมเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตระกูลที่ได้รับสืบทอดกันมาบ้างแล้ว อย่างเช่น เธอรู้ว่าซีเหมินชุยเสวียเกิดในตระกูลซีเหมิน เขาคนนี้แข็งแกร่งมาก ๆ แต่ตอนนี้หลังจากที่รู้จากซางกวนซือเฟยว่าเซียวเฟิงเกิดในตระกูลจาง ตระกูลที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาตระกูลโบราณที่สืบทอดกัน นั่นแสดงว่าคนคนนี้แข็งแกร่งว่าตระกูลซีเหมินเสียอีก!
ในส่วนของเฉียนโตวโตว เธอยิ้มตลอดการรับฟัง ถึงแม้ว่าตนเองจะไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลสืบทอดมากนัก แต่เธอก็รู้ว่าเซียวเฟิงจะต้องมาจากสถานที่ที่มีการบ่มเพาะสั่งสอนลูกหลานที่แข็งแกร่งมากแน่ ๆ
“ฉันไม่คิดเลยว่าตระกูลของเจ้าทาสนิสัยเสียจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่ก็เหมาะสมกับการเป็นข้ารับใช้ให้องค์หญิงอยู่ดีแหละนะ” เซียวหลิงยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความพึงพอใจ เธอห้อยขาขาวเนียนไปมาขณะรับฟังเรื่องนี้ไปด้วย
มีเพียงหนิงเคอเค่อเท่านั้นที่ยังงุนงงอยู่ เธอกระพริบตาด้วยความว่างเปล่า เช่นเดียวกับภายในหัวที่ทั้งฟังและพยายามนึกภาพตามแต่ก็ไม่ทราบอะไรเลย
“แนวคิดของการสืบทอดในตระกูลโบราณค่อนข้างจะแตกต่างกับตระกูลสมัยใหม่อยู่มาก และพวกเขาไม่ยึดมั่นในกฎต่าง ๆ ที่สังคมปัจจุบันร่วมกันสร้างขึ้น ตระกูลโบราณเหล่านี้เชื่อมั่นว่าตนเองแข็งแกร่งที่สุดและไม่มีกฎข้อไหนสามารถควบคุมได้ ยกตัวอย่างเช่น การแต่งงานที่ไม่ได้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมในปัจจุบันเลย” ซางกวนซือเฟยเปรยตามองหลิวเฉียงเหว่ยและอีกสองสาว ก่อนจะคลี่ยิ้มเย้ายวนพ่วงด้วยความลึกลับออกมา “พวกเขายังยึดถือขนบธรรมเนียมโบราณที่ผู้ชายสามารถมีภรรยาหลายคนรวมถึงมีภรรยาน้อยได้ แต่แบ่งแยกบ้านกัน เป็นบ้านหลัก และบ้านรอง โดยสถานภาพของทั้งภรรยาและภรรยาน้อยก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงด้วย”
ไม่มั่นใจว่ามันเป็นความรู้สึกที่คิดไปเองหรือเปล่า เพราะหลังจากที่ซางกวนซือเฟยพูดเรื่องนี้ออกมา เซียวเฟิงก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบข้างที่เยือกเย็นลงมานิดหน่อย
“แต่งงงแต่งงานอะไรนั่นไว้พูดทีหลังได้หรือเปล่า? นี่มันยังเร็วเกินไปนะ! รอจนกว่าองค์หญิงเซียวหลิงจะโตสิ!” เซียวหลิงพูดออกมาเสียงดังและทำลายบรรยากาศเงียบสงัดไป แต่ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่มาจากสาว ๆ คนอื่นอยู่ดี
“พูดง่าย ๆ ก็คือ ตามปกติแล้วทายาทของตระกูลโบราณเหล่านี้จะไม่สามารถพบเห็นได้ตามโลกทั่วไป แต่สำหรับท่านเซียวนั้นถือเป็นข้อยกเว้น เพราะเขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลจางเมื่อหลายปีมาแล้ว ส่วนเหตุผล ฉันไม่รู้ ถ้ายังไงท่านเซียวพอจะช่วยชี้แจงแถลงไขให้พวกเราได้รับทราบกันถ้วนหน้าได้ไหม?” ซางกวนซือเฟยหันไปมองเซียวเฟิงแล้วขยิบตาให้
“เรื่องพวกนั้นเป็นอดีตไปหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมันก็ได้” แววตาของเซียวเฟิงไม่มีการเปลี่ยนแปลง “ชีวิตของฉันก่อนหน้านี้ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะงั้นพวกเธอไม่ต้องไปสนใจมันหรอก รู้ไปก็ไม่ได้อะไรเพราะเรื่องมันจบลงแล้ว รู้แค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัจจุบันก็พอ รู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเธอคือเซียวเฟิง…ที่เป็นเซียวเฟิงคนใหม่ แค่นี้พอ”
เซียวเฟิงไม่ได้วางแผนจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับเฮลให้พวกเธอฟัง เพราะอย่างที่เขาพูด ทุกอย่างมันจบลงแล้ว เป็นเพียงเรื่องราวเรื่องหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องขุดมันขึ้นมาอีกก็ได้
“ไม่กี่วันก่อนที่ฉันไม่อยู่ ฉันกลับไปที่ตระกูลจางเพราะเรื่องของซางกวนซือเฟย เธอมาจากตระกูลซางกวนที่เป็นหนึ่งในตระกูลโบราณที่ได้รับการสืบทอดเหมือนกัน เหมือน ๆ กับตระกูลซีเหมิน เพื่อไปยกเลิกการหมั้นหมายของซางกวนซือเฟยและซีเหมินชุยเสวีย อ่า…ใช่ ซีเหมินชุยเสวียที่พวกเธอรู้จักกันในโลกของเกมนั่นแหละ” หลังจากที่เซียวเฟิงพูดออกไปเช่นนั้น แววตาของสาว ๆ หลายคนก็เปลี่ยนไป
“เทพเจ้าแห่งดาบ ซีเหมินชุยเสวียน่ะเหรอ?” หลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ หันไปมองซางกวนซือเฟยด้วยแววตาที่แตกต่างกันไปของพวกเธอ แม้พวกเธอจะต่างความคิดกัน แต่ในฐานะผู้หญิง พวกเธอย่อมเข้าใจดีถึงความคับข้องใจที่ถูกบังคับแต่งงานเช่นนี้
“ใช่แล้ว แต่เดิมแล้วเธอต้องแต่งงานกับซีเหมินชุยเสวีย ฉันก็ไม่รู้ว่าตระกูลซีเหมินหาเจอได้ยังไงว่าซางกวนซือเฟยมาอยู่กับฉัน เพราะงั้นพวกนั้นก็เลยไปที่บ้านตระกูลจางเพื่อเอาเรื่องนี้ไปพูด ด้วยเหตุนี้ฉันเลยไม่สามารถนั่งเฉย ๆ แล้วมองข้ามมันได้ ฉันเลือกที่จะกลับไปที่บ้านเกิดแล้วใช้กฎโบราณจัดการกับซีเหมินชุยเสวียและพาตัวซางกวนซือเฟยกลับมานี่…จากนี้ไปพวกเธอก็ช่วยปฏิบัติกับเธอคนนี้ให้เหมือนปฏิบัติกับฉันด้วยก็แล้วกัน”
ในจุดนี้เซียวเฟิงพูดเบาลง เขาลดทอนรายละเอียดที่น่าปวดหัวมากมายและสรุปผลง่าย ๆ ให้ฟังเลย
เมื่อตระหนักได้ถึงสายตาของเซียวเฟิงที่มองมา หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ต่างก็ได้แต่พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ จะมีก็เพียงเซียวหลิงที่ดูจะไม่พอใจเท่านั้น แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
“ฉันผูกพันกับช่วงเวลาแบบนี้มาก ๆ เพราะงั้นฉันจะไม่ไปไหนอีก และฉันเองก็หวังว่าพวกเธอเองก็จะคิดเหมือนกัน” เซียวเฟิงสรุปและมองทุกคนอีกครั้ง
เซียวหลิง หลิวเฉียงเหว่ย ซือเยี่ยจิ๋ง ซางกวนซือเฟย และหนิงเคอเค่อในชุดเมด พวกเธอทุกคนอึ้งไปสักพัก พอรู้สึกตัวอีกที คฤหาสน์หลังนี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน เสียยิ่งกว่าเดิมซะอีก
“ไปกันเถอะ ไปเล่นเกมกัน พวกเธอจะทำอะไรกันก่อนหรือเปล่า? ยังไงก็รีบ ๆ เข้าละกัน โลกใบที่สองแทบจะเป็นชีวิตหลักของพวกเราในตอนนี้แล้วนะ”
พูดจบเซียวเฟิงก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนและรีบขึ้นชั้นบนไปอย่างรวดเร็ว
“ยะ…อย่าลืมพาองค์หญิงเซียวหลิงไปอัปเลเวลด้วยซี่! เร็วเข้ายัยเอเลี่ยนวัวนม! ฉันจะไม่รอเธอนานกว่านี้หรอกนะ!”
เซียวหลิงเองก็รีบตามขึ้นไปติด ๆ ในขณะเดียวกันเธอก็เร่งหนิงเคอเค่อที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่ให้ไปกับเธอด้วย
“ซือเฟย มาที่ห้องฉันด้วยนะ”
หลิวเฉียงเหว่ยหันมองซางกวนซือเฟย หลังจากที่เธอพูดไปเช่นนั้นแล้วสาวเจ้าก็เป็นฝ่ายเดินขึ้นชั้นบนไปก่อน
“ค่า ๆ ท่านหัวหน้า”
ผู้ที่ถูกตามกล่าวด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ เธอมองซือเยี่ยจิ๋งและเฉียนโตวโตวที่ตามหลิวเฉียงเหว่ยไปก่อนหน้าแล้วก่อนจะเดินตามมาทีหลังสุด
“เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉันอยากจะพูดอะไร ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นความคิดเห็นของทุกคนด้วย”
ภายในห้องของหลิวเฉียงเหว่ยนั้นค่อนข้างจะงดงามในแบบของมันเองและตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม แต่นั่นก็แค่ฝั่งเดียว เนื่องจากอีกฝั่งนั้นค่อนข้างจะรกเล็กน้อย เพราะห้องนอนห้องนี้ หลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งอยู่ด้วยกัน ดังนั้นฝั่งที่รกคือฝั่งที่หลิวเฉียงเหว่ยยกให้ซือเยี่ยจิ๋งสำหรับอยู่อาศัย
หลังจากปิดประตูห้องแล้ว หลิวเฉียงเหว่ยก็เดินไปหาซางกวนซือเฟยแล้วกล่าวเปรย ขณะนั้นซือเยี่ยจิ๋งและเฉียนโตวโตวที่เข้ามาก่อนก็ไปนั่งรออยู่บนเตียงแล้ว บรรยากาศในห้องตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับศาลที่กำลังจำพิจารณาคดีสำคัญอะไรสักอย่างเลย
“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน… ท่านหัวหน้าคงหมายถึง เรื่องการแบ่งตำแหน่งบ้านเล็กบ้านน้อยกันสินะ?”
ซางกวนซือเฟยเป็นคนสบาย ๆ เธอนั่งลงไปบนเตียงของหลิวเฉียงเหว่ย ก่อนจะบิดยืดร่างกายที่เย้ายวนเหมือนปีศาจพราวเสน่ห์ของตนไปมาพร้อมกับยิ้มให้สาว ๆ ด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ด้วย
“ใช่ ในเมื่อตระกูลของเซียวเฟิงมีประเพณีแบบนั้น พวกเราก็ควรปรับตัวให้เข้ากับเขา”
หลิวเฉียงเหว่ยพยักหน้า ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้นที่หวั่นไหวไปกับเรื่องนี้ เพราะเมื่อตอนที่ซางกวนซือเฟยพูดเรื่องประเพณีการแต่งงานของตระกูลโบราณที่สืบทอดกันมา ทั้งซือเยี่ยจิ๋งและเฉียนโตวโตวต่างก็หวั่นไหวไม่แพ้กัน
“เพราะงั้นท่านหัวหน้าเลยวางแผนที่จะแก่งแย่งเอาตำแหน่งบ้านหลักไปงั้นเหรอ?” ใบหน้าสวยของซางกวนซือเฟยหันมองหลิวเฉียงเหว่ย ขณะที่ถามเธอก็หรี่ตาลงช้า ๆ
“บางทีเธอกับโตวโตวคงจะยังไม่รู้เรื่องนี้ จิ๋งจิ๋งเองก็น่าจะรู้แค่คร่าว ๆ เพราะงั้นฉันจะถือโอกาสนี้อธิบายให้เธอฟังเลยก็แล้วกัน” หลิวเฉียงเหว่ยเกริ่นนำแล้วเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเธอระหว่างตระกูลจางและเซียวเฟิงให้ฟังอย่างจริงจัง
“พี่เฉียงเหว่ย!? เจ้าบ้านั่น…?” ซือเยี่ยจิ๋งชะงักไปในคราวแรกที่ได้ยิน ริมฝีปากอมชมพูของสาวเจ้าถึงกับซีดลงไปเลย
“พี่หลิว…ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะปลอบพี่หรือยินดีกับพี่ดี…” เฉียนโตวโตวเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เธอทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ ให้เท่านั้น
“เรื่องแบบนี้ก็ควรจะยินดีกับท่านหัวหน้าสิ” ซางกวนซือเฟยส่ายหน้าแล้วยิ้มแหย ๆ “ถ้างั้น แสดงว่าตำแหน่งบ้านหลัก ก็จะเป็นของท่านหัวหน้าสินะ?”
“ใช่ ฉันจะเป็นบ้านหลัก”
แม้ว่าหลิวเฉียงเหว่ยจะตอบด้วยเสียงหนักแน่น แต่แก้มนวลของเธอก็แดงระเรื่อไม่น้อย
“แต่ว่านะ ฉันได้ไปที่บ้านตระกูลจางแล้ว แล้วท่านเจ้าตระกูลจางเองก็พึงพอใจกับฉันมาก ๆ เลย นี่ ๆ ท่านหัวหน้ารู้หรือยังนะว่าเจ้าตระกูลจางน่ะเป็นพ่อแท้ ๆ ของท่านเซียวเลยนะ!” ซางกวนซือเฟยยิ้มพราวเสน่ห์อีกครั้ง น้ำเสียงของเธอดูเย้ายวนเอาเสียมาก ๆ เลย
“เธอหมายความว่ายังไง? คิดจะแข่งกับฉันเหรอ?” หลิวเฉียงเหว่ยสลัดท่าทีเขินอายน้อย ๆ นั้นทิ้งอย่างรวดเร็ว และแทนที่มันด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นเช่นเดียวกับใบหน้าที่เย็นชาด้วย
“อย่าเข้าใจผิดสิ ท่านหัวหน้า ฉันน่ะไม่กล้าที่จะเอาตัวเองไปแข่งเป็นบ้านหลักกับเธอหรอกนะ เพราะงั้นฉันขอแค่บ้านรองโอเคไหม?” รอยยิ้มบนใบหน้าของซางกวนซือเฟยไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ราวกับว่าเธอวางแผนเช่นนี้ไว้อยู่แล้ว
และทันทีที่ซือเฟยพูดจบ ซือเยี่ยจิ๋งและเฉียนโตวโตวก็เป็นฝ่ายร้อนรนขึ้นมาแทน
“ซางกวนซือเฟย เธอหมายความว่ายังไงน่ะ?!”
ครั้งนี้แม่จิ้งจอกพราวเสน่ห์ไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงเหลือบมองหลิวเฉียงเหว่ยด้วยแววตาคล้อยอ่อนและรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มเท่านั้น
หลังจากที่เงียบอยู่ครู่ใหญ่ ๆ หลิวเฉียงเหว่ยจึงหันไปมองซือเยี่ยจิ๋งและพูดขึ้น “จิ๋งจิ๋ง เธอแน่ใจเหรอว่าจะอยู่กินกับเซียวเฟิงน่ะ? ฉันไม่รู้นะว่าคุณลุงจะยอมหรือเปล่าหากจะให้เธอเป็นบ้านน้อยน่ะ”
“ฉันมีตัวเลือกอื่นหรือเปล่า? ส่วนเรื่องท่านพ่อน่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับเจ้าบ้านั่นเอาการ แต่ความสำเร็จของตานั่นก็นับว่าไร้ที่ติ ดีไม่ดีแค่โชว์ตัวตนในเกมของเขาให้ท่านพ่อดู เขาอาจจะผ่านทุกการทดสอบที่ตั้งไว้เลยก็ได้ ท่านพ่อน่ะชอบทำตัวมีอำนาจตลอดแหละ ไม่เหมือนเธอหรอก…ไม่รู้สิ…”
ซือเยี่ยจิ๋งรู้สึกหมดหนทางมาก ๆ เหตุผลที่เธอและหลิวเฉียงเหว่ยสนิทสนมกันเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับพ่อของเธอด้วย อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าตระกูลของเธอนั้นเป็นตระกูลที่สืบทอดวิชาศิลปะการต่อสู้ ในขณะที่ตระกูลของหลิวเฉียงเหว่ยนั้นมีเงิน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายมีความสัมพันธ์กับตระกูลโบราณด้วยเลย เพราะแบบนี้เธอจึงถูกพ่อของเธอส่งมาอยู่ที่บ้านหลิวเฉียงเหว่ยตั้งแต่เด็ก ๆ เพื่อเป็นเสมือนบรรณาการให้ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลนี้
“แต่เธอก็ยังเรียนอยู่เลย ต่อให้คุณลุงไม่ปฏิเสธ เธอเองก็ยังต้องรออีกสักปีสองปีนะ” หลิวเฉียงเหว่ยพูดขึ้นอีกครั้ง
“ฉัน…” ซือเยี่ยจิ๋งเปิดปากหมายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ท้ายที่สุดเธอก็จนแต้มและไม่ได้พูดอะไรออกมา
“โตวโตว” คราวนี้หลิวเฉียงเหว่ยหันไปหาเฉียนโตวโตว
“พี่หลิว ฉันน่ะเป็นเด็กกำพร้า เพราะงั้นพี่ใช้เหตุผลเดียวกันกับจิ๋งจิ๋งมาใช้กับฉันไม่ได้นะ! ฉันจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ! และฉันไม่ยอมเป็นบ้านน้อยแน่ ๆ!”
เฉียนโตวโตวรีบแอ่นอกที่แบนราบเหมือนกระดานวาดรูปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เธอน่ะ เด็กที่สุดเลย” หลิวเฉียงเหว่ยตัดบทอีกฝ่ายด้วยประโยคสั้น ๆ
“อุ่…” เพียงแค่ประโยคเดียว เฉียนโตวโตวก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน เธอนั้นอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น ไม่ได้ใกล้เคียงกับกฎหมายที่ระบุถึงอายุที่สามารถแต่งงานได้อย่างถูกต้องเลย
ในที่นี้ดูเหมือนซางกวนซือเฟยจะพึงพอใจที่สุด เธอยังคงยิ้มน้อย ๆ ขณะดูทั้งสามสาวจัดการเรื่องลำดับกันเองโดยไม่พูดอะไร หากจะบอกว่านี่เป็นแผนการที่ถูกวางไว้อยู่แล้วก็ไม่เว่อร์เกินไปนัก เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก ๆ การยอมเลือกที่จะเป็นอันดับสองนี้ก็เพื่อซื้อใจหลิวเฉียงเหว่ยมาและใช้หัวหน้ากิลด์คนสวยเป็นตัวแก้ปัญหาที่จะตามมาอย่างซือเยี่ยจิ๋งและเฉียนโตวโตวแทน
เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น!
อันที่จริง ต่อให้ไม่ใช้แผนนี้ ซางกวนซือเฟยก็ไม่ได้อยากจะแข่งกับใครเพื่อเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว นอกจากจะรู้แล้วว่าการเป็นบ้านหลักของหลิวเฉียงเหว่ยนั้นถูกกำหนดโดยตระกูลจางไปแล้ว เธอก็ยังแอบคิดอยู่ภายในใจว่าตนเองนั้นไม่ควรค่าพอแก่เซียวเฟิง เพราะงั้นเธอจึงอยากจะเป็นผู้ตามเสียมากกว่า เพราะงั้นการยอมถอยให้หลิวเฉียงเหว่ยหนึ่งก้าวนั้น ไม่มีอะไรเสียสำหรับเธอเลย แถมยังได้คนช่วยกำจัดศัตรูทั้งสองคนให้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นบ้านหลักไม่ได้ แต่จะให้เป็นบ้านน้อยลำดับสุดท้ายก็คงจะไม่ได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าทั้งซือเยี่ยจิ๋งและเฉียนโตวโตวจะยิ่งใหญ่ในเกมขนาดไหน หากเธอต้องการจะจัดการกับเด็กสาวสองคนนี้ละก็ วิธีน่ะมีถมเถไป