ตอนที่ 82 สนทนากับสาวงาม

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ ตอนที่ 82 สนทนากับสาวงาม

 

จี้เทียนซิงเดินออกจากจัตุรัสขึ้นไปบนรถม้าเพื่อกลับไปยังตระกูลจี้

 

รถม้าวิ่งผ่านถนนหนทางหลายสายจนกระทั่งเมื่อมันเข้าสู่เส้นทางที่เต็มไปต้นไม้เรียงราย มันก็หยุดลงทันที

 

ชายหนุ่มเลิกม่านออกด้วยความฉงน ในขณะที่กําลังจะเอ่ยปากถามสารถี ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นร่างของสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์ขาวกําลังยืนขวางทางรถม้าอยู่

 

ถึงแม้จะเห็นเพียงด้านหลังของสตรีในชุดกระโปรงขาวผมยาวจรดเอว แต่เขาก็จดจําได้ไม่ลืมว่านางก็คือหยุนเหยา

 

จี้เทียนซิงรีบลงจากรถม้าอย่างรวดเร็วและกล่าวกับสารถีว่า “เจ้ารอข้าที่นี่ เดี๋ยวข้ากลับมา”

 

เขาเดินไปด้านหลังหยุนเหยาและถามด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางหยุนเหยา ไม่ทราบว่าท่านกําลังรอข้าอยู่ใช่หรือไม่ ?”

 

หยุนเหยาเบนดวงหน้างามหันมามองชายหนุ่มและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้ามีบางเรื่องคิดจะถามไถ่เจ้า แต่ที่นี่มิใช่สถานที่เหมาะสมจะพูดคุยนัก ตามข้ามา….”

 

ต่อมาหยุนเหยาก็พามันเดินออกจากถนนและเข้าไปในบ้านร้างหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

 

ประตูของบ้านหลังนี้ปิดสนิทและเก่ารกร้าง มันเต็มไปด้วยวัชพืชรกครื้ม เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้อยู่มาอาศัยมานานแล้ว

 

ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงบ จึงทําให้การที่ทั้งคู่สนทนากันที่นี่จะไม่ถูกรบกวนและไม่มีผู้ดักฟังแน่นอน

 

ทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ในลานกว้าง จากนั้นหยุนเหยาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดกับจี้เทียนซิงก่อนว่า “ก่อนอื่นข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย หลังจากเข้าสู่นิกาย เจ้าก็นับว่าเป็นศิษย์น้องของข้าแล้ว”

 

จี้เทียนซิงเผยยิ้มบางและตอบกลับ “ขอบคุณศิษย์พี่ ต่อไปต้องรบกวนท่านดูแลแล้ว”

 

แน่นอนว่าชายหนุ่มตอบเป็นพิธี แต่ในใจของเขากลับไม่ได้ยึดถือคําพูดนี้จริงจังนัก

 

เขาเข้าใจข้อเท็จจริงของยุทธภพว่าความแข็งแกร่งและสถานะอันสูงส่งนั้นได้มาด้วยความพยายามฝึกปรืออย่างหนักของตนเองเท่านั้น ไม่ใช่ให้ผู้อื่นคอยดูแล !

 

อีกประการ เขารู้อย่างชัดเจนว่าการที่หยุนเหยารอพบกลางถนนนั้นมิใช่แค่ต้องการแสดงความยินดีกับอันดับหนึ่งของเขาเท่านั้น นางยังมีเจตนาอื่นอีก

 

หยุนเหยาเบนดวงตาคู่งามจับจ้องไปที่กระบี่มังกรดําในมือ จากนั้นไม่นานนางก็เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้อง ขอข้าดูกระบี่เล่มนี้จะได้หรือไม่ ?”

 

ฉากหน้าจเทียนซิงดูเงียบขรึม แต่ภายในใจรู้สึกตื่นตัว เขาคิดในใจว่า “ว่าแล้วเชียว ! จู่ๆนางก็มาหยุดข้าระหว่างทางกลับตระกูล ที่แท้นางก็สนใจกระบี่มังกรดํา !?”

 

“อย่าบอกนะว่า…นางเห็นความลับของกระบี่มังกรดํา

 

เมื่อครุ่นคิดในใจอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มให้หยุนเหยาอย่างรวดเร็วและบ่ายเบี่ยงว่า “ศิษย์พี่หยุนเหยา ท่านเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งในอาณาจักรเทียนเฉิน ท่านย่อมผ่านตาอาวุธชั้นสูงมาไม่น้อย กระบี่ของข้าเป็นเพียงกระบี่ธรรมดาสามัญ ไม่เหมาะที่จะให้ท่านต้องลดตัวมาจับต้องกระมัง ?”

 

“เช่นนี้เป็นไง หากท่านชอบรูปลักษณ์ของมัน ตระกูลจี้ของข้าเป็นตระกูลผู้หลอมสร้างอาวุธ ไว้ข้ากลับไปที่จวนแล้วจะสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญหลอมสร้างมันขึ้นมาให้ท่านสัก 2-3 เล่ม ดี…”

 

หยุนเหยาเอ่ยปากปฏิเสธตัดบทชายหนุ่มก่อนที่เขาจะพูดจบทันทีว่า

 

“ไม่จําเป็น”

 

นางไม่ใช่คนโง่ นางรู้อย่างชัดเจนว่าจี้เทียนซิงไม่เต็มใจมอบกระบี่มังกรดําให้นางแตะต้อง

 

แต่นางก็มิได้บีบบังคับหรือแย่งชิง เพียงแค่จ้องหน้าเขาอย่างเงียบสงบและกล่าวว่า “เอาเถอะ ในเมื่อศิษย์น้องไม่เต็มใจ ข้าก็ไม่บีบบังคับ เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้”

 

“อีกเรื่องหนึ่ง อีกสามวันข้าจะเดินทางกลับนิกายซึ่งต้องใช้เกือบครึ่งเดือนกว่าจะไปถึง หากเจ้าต้องการไปถึงนิกายแต่เนิ่นๆก็ควรออกเดินทางพร้อมข้า”

 

สําหรับคนทั่วไปหากต้องการเดินทางไปยังนิกายหนุนสวรรค์ อย่างน้อยต้องใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งเดือน แต่หยุนเหยาครอบครองกระเรียนวิญญาณและสามารถบินได้หลายพันไมล์ต่อวัน ดังนั้นนางจะไปถึงนิกายภายในเวลาแค่ 3 วันเท่านั้น

 

หากได้สามารถโดยสารสัตว์อสูรวิญญาณบินได้เพื่อเดินทางบนท้องฟ้าเคียงคู่กับสตรีผู้รู้ใจ นับเป็นเรื่องที่น่าอิ่มเอิบและน่าอิจฉายิ่งนัก !

 

ไม่ว่าใครก็ตามหากได้ยิน ย่อมไม่คิดปฏิเสธคําเชิญนี้

 

อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงส่ายหัวและอธิบายว่า “ขอบคุณน้ำใจของศิษย์พี่ แต่ข้ามีธุระในตระกูลที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งต้องใช้หลายวัน ข้าคงไม่อาจร่วมทางไปกับศิษย์พี่ได้”

 

หยุนเหยาผงกศีรษะเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว งั้นเจ้าก็จัดการเรื่องในครอบครัวเสียก่อน หลังจากเสร็จเรียบร้อยจงรีบออกเดินทางโดยเร็วที่สุด อย่าให้เลยกําหนดเวลา

 

“ขอบคุณศิษย์พี่กระตุ้นเตือน แล้วข้าจะรีบตามไป” จี้เทียนซิงยิ้มบางและคารวะนาง จากนั้นก็เดินออกจากบ้านร้าง

 

หยุนเหยาเอียงศีรษะมองเงาหลังที่กําลังจะลับตาไปของชายหนุ่ม มุมปากของนางปรากฏรอยยิ้มตื้นที่หาได้ยากยิ่งขึ้นมาทันที ดวงหน้างามที่ประดับด้วยรอยยิ้มเล็กๆนี้งดงามจนทําให้ผู้คนที่ได้เห็นแทบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว

 

“ยิ่งเจ้าพยายามปกปิดมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น”

 

นางส่งเสียงกระซิบแผ่วเบากับตัวเอง จากนั้นก็เดินออกจากบ้านร้างเช่นกัน

 

ณ ตระกูลหลิง ภายในลานเล็กแห่งหนึ่งที่มีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ

 

ฮูหยินหลิงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้และคิดถึงบุตรสาวที่ตายไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด

 

หลิงซื้อไห่นั่งอยู่ข้างๆนางและปลอบโยนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าอย่างเร่งร้อนขึ้นประตูของลานเล็ก

 

ทหารยามก้าวยาวๆเข้ามาในลานเล็กอย่างเร่งรีบพลางตะโกนอย่างกระวนกระวาย

 

“นะ นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่ขอรับ !”

 

หลิงซื่อไห่หันหน้าไปถามทหารยามทันที “ทําไมเอะอะนักเล่า ? มีเรื่องอะไร”

 

ทหารยามเดินเข้าหาอย่างรวดเร็วและรายงานด้วยความเคารพว่า “เรียนนายท่าน การคัดเลือกของนิกายหนุนสวรรค์เสร็จสิ้นลงแล้วขอรับ เจ้าเด็กสารเลวจี้เทียนซิงเอาชนะองค์ราชาจี้หลิงและได้อันดับหนึ่งในการคัดเลือก !”

 

ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ฮูหยินหลิงก็หยุดสะอึกสะอื้นทันที ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจพลางตะโกนด้วยความโกรธว่า “ว่าไงนะ ? เป็นไปไม่ได้”

 

“เจ้าเดรัจฉานน้อยตัวนั้นจะเข้านิกายหนุนสวรรค์ได้อย่างไร ? อีกทั้งยังได้อันดับหนึ่งอีก ?!”

 

หลิงซื้อไห่ก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวและถามย้ำกับทหารยามว่า “เป็นเรื่องจริง ?”

 

ทหารยามพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “จริงแท้แน่นอนขอรับ ! การคัดเลือกจัดขึ้นในจัตุรัสกลางเมือง ผู้คนนับหมื่นเห็นเต็มสองตาและเป็นพยานได้ ตอนนี้ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้วขอรับ !”

 

เมื่อได้ยินว่ามีผู้ชมนับหมื่น หลิงชื่อไม่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นข่าวปลอมไปได้ ทันใดนั้นเองใบหน้าของเขาก็โกรธกริ้วและกําหมัดเสียงดัง

 

“จี้เทียนซิง… เจ้าเดรัจฉานน้อย ! มันเข้าสู่นิกายหนุนสวรรค์ด้วยฐานะอันดับหนึ่งย่อมได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแน่ ตอนนี้มันมีฐานะไม่ธรรมดาแล้ว ก่อนที่มันจะออกจากเมืองนี้เราต้องจัดการกับมัน ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้เพื่อเช่นดวงวิญญาณบุตรสาวข้า !”

 

ใบหน้าของฮูหยินหลิงเย็นเฉียบ ดวงตาเปล่งประกายด้วยเจตนาฆ่า นางขมวดคิ้วครู่หนึ่งและนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้และเริ่มความคิดขึ้นทันที

 

“ท่านพี่ ข้ามีความคิดดีๆแล้ว พวกเราสามารถขอความช่วยเหลือจากอวี้เอ๋อให้จัดการกับจี้เทียนซิงได้ ! เหอะ ! เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่น คิดหรือว่าเป็นศิษย์นิกายหนุนสวรรค์ แล้วจะไม่มีใครทําอะไรได้”

 

หลิงซื่อไห่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและถามฮูหยินหลิงว่า “อวี้เอ๋ออันใด ?”

 

ฮูหยินหลิงอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “จะเป็นอวี้เอ๋อที่ไหนได้เล่า ก็เจี้ยนอวี้ ลูกพี่ลูกน้องของเฟยเฟย เจี้ยนอวี้ !”

 

“เจี้ยนอวี้…?”

 

หลิงชื่อให้ตกตะลึงและรู้สึกตัวได้ในทันที

 

“ใช่แล้ว เข้าลืมมันไปได้อย่างไร!”

 

“เจี้ยนอวี้เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะที่ฝากตัวเป็นศิษย์นิกายหนุนสวรรค์ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ตอนนี้กําลังฝึกฝนอยู่ในนิกาย…”

 

“ฮูหยิน เจ้าฉลาดมาก ข้าจะไปเขียนจดหมายถึงอวี้เอ๋อเดี๋ยวนี้ ข้าต้องส่งมันให้ถึงมืออวี้เอ๋อก่อนที่จี้เทียนซิงจะไปถึงนิกายหนุนสวรรค์”