ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 11 จิตญาณ (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว วาจาไร้สาระก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอีกแล้ว” อวี่ซือเฟิ่งชักกระบี่ออกมา ปลายยกขึ้นเล็กน้อย ชี้ไปที่ทั้งสองคนกล่าวเบาๆ ว่า “ชักกระบี่สิ!” 

 

 

เสวียนจีตกใจ “ซือเฟิ่ง!” 

 

 

เขากล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เสวียนจี ชิงคนไม่อาจใช้แค่ฝีปาก” 

 

 

รั่วอวี้หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “รองเจ้าสำนักไม่ได้สั่งให้ลงมือกับพวกเจ้า ขอโทษ วันนี้ไม่อาจเป็นเพื่อนเล่นได้”  

 

 

“ไหนเลยเป็นเจ้าตัดสินใจ!” อวี่ซือเฟิ่งกระโดดขึ้น แสงกระบี่ราวสายฟ้าพุ่งไปด้านหน้าเขา กระบี่นี้พุ่งตรงมาอย่างรุนแรง รั่วอวี้เอี้ยวตัวหลบ อวี่ซือเฟิ่งเปลี่ยนกระบวนท่าจากแทงเป็นฟัน เขาได้แต่เหินกระบี่หลบ กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เพลงกระบี่ตำหนักหลีเจ๋อ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่ตอบ เปลี่ยนอีกกระบวนท่าบีบให้รั่วอวี้ถอยฉาก ก่อนจะคว้าคอเสื้อจงหมิ่นเหยียนไว้ น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน! ตามข้าไป!” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนถูกเขากระชากมาด้านหน้าก้าวหนึ่งก็ยังไม่ขยับ เป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า…เรียนวิชากระบี่เหยาหวาเป็นแล้ว” 

 

 

“เจ้ารู้ไหมทำไมจึงเป็น!” อวี่ซือเฟิ่งจี้กระบี่ที่คอเขาไว้ “ตามข้าไป! ไม่เช่นนั้นข้ายอมสังหารเจ้าทิ้งที่นี่เสียดีกว่า!” 

 

 

รั่วอวี้กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เกรงแต่ว่าไม่จำเป็น!” ร่างเขาขยายตัวสูงขึ้นราวเงาภูตผี แขนเสื้อสะบัดออกราวกับสองปีก อวี่ซือเฟิ่งได้ยินเสียงลม รู้ว่าเขาปล่อยอาวุธลับ อาวุธลับรั่วอวี้เคลือบพิษร้ายกาจขึ้นชื่อของตำหนักหลีเจ๋อ เขาไม่กล้าดูแคลน ได้แต่หันหลังไปรับมือ เห็นเสวียนจีขยับตัว กระบี่เปิงอวี้ส่องแสงวาบ เสียงตึงๆ ตังๆ อาวุธลับถูกนางกวาดทิ้งหมด 

 

 

“เจ้าแทงซือเฟิ่งหนึ่งกระบี่ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีเจ้า!” เสวียนจีไม่เกรงใจรั่วอวี้อีก กระบี่นั้นของเขาแทงเอาอวี่ซือเฟิ่งเกือบตาย ถึงตอนนี้คิดแล้วยังตกใจไม่หาย นางลูบกระบี่ กระบี่เปิงอวี้พลันเปล่งพลังเพลิงเจิดจ้า พลังไอร้อนพุ่งเข้าบีบคั้น รั่วอวี้เกรงนางอยู่มาก ถอยไปสองก้าวราวกับกำลังคิดหนี เสวียนจีตวัดกระบี่ปิดทางหนีของเขา ยามค่ำคืนมืดมิด มองเห็นเพียงแสงกระบี่เปิงอวี้กระจายทั่วฟ้าอย่างรวดเร็วว่องไวมาก ผิดแผกไปจากความเป็นเส้าหยางที่เน้นความลุ่มลึกนิ่งเรียบ 

 

 

นางเองก็เรียนวิชากระบี่ตำหนักหลีเจ๋อ! รั่วอวี้ตกใจ จากนั้นได้แต่อึ้งไปทันที อย่างไรแต่เล็กเขาก็เติบโตในตำหนักหลีเจ๋อ ประลองกระบวนท่ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องมาจนชำนาญอย่างมาก ยามนั้นชักกระบี่กันไว้ ผู้ใดจะรู้ว่ากระบี่เปิงอวี้ในมือเสวียนจีอาบอัคคีสมาธิจิต ปะทะกันเสียงดังทำกระบี่เขาขาดสองท่อน 

 

 

รั่วอวี้รีบถอยหลัง ดีดลูกเหล็กหลายลูกใส่นาง อาศัยจังหวะนางหลบ ตีลังกาโดดจากกระบี่ลงน้ำ แต่กลับไม่ลอยตัวขึ้นมา เสวียนจีส่งพลังเต็มแรงใส่กระบี่เปิงอวี้ลงตามไป น้ำในทะเลสาบพอแตะโดนกระบี่เปิงอวี้ก็พลันส่งเสียงร้อนฉ่าควันขาวลอยโขมง ไม่รู้แทงโดนเขาไหม นางกำลังคิดโดดตามลงไป พลันได้ยินจงหมิ่นเหยียนด้านหลังกล่าวว่า “ใช้วิชากระบี่เหยาหวามารับมือข้า เกรงว่าจะดูถูกข้าไปหน่อยแล้ว” 

 

 

เสียงคมกระบี่กระทบโลหะดัง อวี่ซือเฟิ่งจ่อกระบี่เข้าที่ลำคอเขา เดิมก็ไม่ได้คิดสังหารจริง พอถูกเขาเบี่ยงตัวหลบออกได้ ทั้งสองเห็นเขาจะกระโดดลงไป ก็อดพากันร้องตะโกนดังไม่ได้ว่า “เดี๋ยวก่อน!” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนชะงักกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ช่วยข้าดูแลหลิงหลงให้ดี! ข้า…สักวัน…” วาจาสุดท้ายกล่าวไม่ออกเหมือนมีก้อนสะอึกจุกในลำคอ ในที่สุดกัดฟันโดดลงน้ำไป เสวียนจีรีบตะโกนเรียก “ศิษย์พี่หก! ท่านพ่อบอกว่าแต่ไรมาไม่เคยสั่งอะไรเจ้า! เจ้าถูกหลอกแล้ว!” 

 

 

แต่ก็สายไปแล้ว ไม่รู้เขาได้ยินไหม ผืนน้ำกลับคืนสู่ความสงบ ผ่านไปครู่หนึ่ง กระบี่เปิงอวี้ที่ไร้อัคคีสมาธิจิตก็ลอยขึ้นมา ทั้งสองนิ่งอึ้งเป็นนานก่อนจะกลับลงสู่พื้นดิน รู้สึกเพียงแค่วันนี้ที่ได้พบกันราวกับความฝันฉากหนึ่ง 

 

 

มกรที่เอาแต่มองเฉยเดินมาดูริมฝั่งแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลวนี่ ใช้พลังคาถาคลื่นน้ำส่งมา คนใช้ชำนาญมากนี่ ผลักดันคลื่นน้ำทะเลสาบใหญ่เช่นนี้ได้ ร้ายกาจมาก” 

 

 

เสวียนจีไม่มีแรงจะต่อปากต่อคำกับวาจาเหลวไหลของเขา ยืนนิ่งริมฝั่งอยู่เป็นนาน ในที่สุดถอนหายใจเงยหน้าขึ้นก่อนหงายหลังลงนอน พึมพำกล่าวว่า “เขาไม่ยินยอม เช่นนี้แล้วพวกเราจะยังทำอะไรได้” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งลงนอนตาม เป็นเพื่อนนางมองท้องฟ้าอยู่นานจึงได้กล่าวว่า “เขาถูกหลอก ไม่รู้ใครปลอมตัวเป็นท่านพ่อเจ้าสั่งให้เขาไปเป็นสาย ถึงกับหลอกเขาจนเชื่อจริงจังได้” 

 

 

นิสัยเขาเช่นนั้นไหนเลยเหมาะกับเป็นสาย ไปอยู่แนวหน้าสนามรบจะเหมาะกว่า และการเปิดเผยตัวไปเป็นสายเช่นนี้ก็โง่เง่ามาก มีแต่เขาที่คิดว่าทำได้จริง ไม่เคยเห็นใครไร้เดียงสาเช่นเขาเลยจริงๆ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคิดถึงตอนเป็นเด็ก ตอนพวกเขาไปจับปีศาจที่เขาลู่ไถซานด้วยกัน อารมณ์มุทะลุของเขาเช่นนั้นถึงตอนนี้ก็ยังไม่แก้ไข บอกว่าจะโมโหก็โมโห บอกว่าดีก็เปลี่ยนสีหน้าทันที คิดถึงตรงนี้ ในใจเขาพลันปวดปลาบ ไม่รู้ว่าควรโทษสมองทื่อๆ ของจงหมิ่นเหยียน หรือโทษตนเองที่ใช้ไม่ได้ 

 

 

เรื่องจงหมิ่นเหยียนยังดี ที่เขาไม่เข้าใจที่สุดก็คือรั่วอวี้ แท้จริงเขารับคำสั่งจากผู้ใด วันนั้นที่ตำหนักหลีเจ๋อ ปฏิกิริยาเจ้าตำหนักเห็นชัดว่าไม่รู้เรื่องนี้ หรือว่าเป็นรองเจ้าตำหนักจัดการ 

 

 

คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจเรื่องซับซ้อนเช่นนี้ อย่างไรตอนเด็กเป็นก็ดีกว่า ไม่มีความทุกข์กังวล โลกนี้มีแค่คนดีกับคนเลว แค่สองจุดยืน ง่ายมาก 

 

 

“จากนี้ไปทำอย่างไรดี” เสวียนจีถามเขาแผ่วเบา 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอึ้งเป็นนานก่อนกล่าวว่า “แล้วไปเถอะ กลับสำนักเส้าหยางก่อนแล้วกัน อย่าให้ท่านพ่อท่านแม่เจ้าต้องเป็นห่วง” 

 

 

เขายันพื้นหญ้าลุกขึ้น ในอกพลันมีของสิ่งหนึ่งร่วงลงพื้นส่องประกายวาว เขาคว้าขึ้นมาดู เป็นขวดแก้วผลึกใส ข้างในมีลูกไฟสีน้ำเงินอ่อนสองสามดวงกะพริบไหว ดูเบิกบานมาก 

 

 

“นี่คืออะไร” เสวียนจีคว้ามาเขย่าดูสองสามทีเบาๆ ลูกไฟข้างในราวกับมีความรู้สึก หมุนวนตาม สองรอบ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่รู้…อยู่ๆ ก็มาอยู่ในเสื้อข้า” 

 

 

มกรอยู่ๆ เดินเข้ามาแย่งขวดไปดู ส่องกับแสงจันทร์ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “นี่จิตญาณนี่! จิตญาณมนุษย์ อ้อ หลังพวกเจ้าตาย จิตญาณก็เป็นเช่นนี้” 

 

 

ทั้งสองพากันตกใจ พลันรู้ได้ทันทีกล่าวพร้อมกันว่า “ของหลิงหลง!” 

 

 

“หา? หลิงหลงอะไร…” มกรกล่าวไม่ทันจบ เสวียนจีก็แย่งขวดกลับไป “เจ้าอย่าแตะต้อง! ทำแตกไปจะทำอย่างไร!” 

 

 

มกรโมโห แต่พอเห็นสีหน้าเสวียนจีซีดขาวหอบหายใจถี่ ก็รู้ว่านางเคร่งเครียด ดังนั้นจึงหุบปากไม่ทะเลาะกับนาง 

 

 

“เมื่อครู่พวกเขามาก็เพื่อนำจิตญาณหลิงหลงมาให้หรือ” เสวียนจีตระกองกอดขวดแก้วไว้แน่น ราวกับของล้ำค่าที่หายไปนานแล้วได้คืนมาอีกครั้ง 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งย้อนคิดไปถึงสถานการณ์เมื่อครู่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าถูกยัดเข้ามาตอนไหน คนที่ใกล้เขาก็มีแต่จงหมิ่นเหยียน หรือว่าถือจังหวะที่ไม่มีคนสังเกตแอบยัดให้เขา คิดถึงตรงนี้ เขาก็ตกใจ พริบตาก็เข้าใจความหมายของจงหมิ่นเหยียน กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาขึ้นทันทีว่า “หมิ่นเหยียน! เขารู้แล้วว่าอูถงให้จิตญาณปลอม…ข้าเดาว่าเขาขโมยจิตญาณหลิงหลงออกมา จากนั้นก็อ้างว่ามาดูพวกเรา แอบยัดจิตญาณให้พวกเรา” 

 

 

ดังนั้นเขาจึงได้บอกว่าให้ดูแลหลิงหลงให้ดี…ดังนั้นพอเขาเอ่ยคำว่าวันหน้าจึงได้เสียใจเช่นนั้น เขาเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายหลอกใช้ตนเอง แต่ทำอะไรไม่ได้ 

 

 

“เขา…เขา…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดไม่ยอมกลับมา” เสวียนจียังคงไม่เข้าใจ  

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “หมิ่นเหยียนถูกหลอกแล้ว เขาเคารพอาจารย์มาก ท่านพ่อเจ้าสั่งการ ไหนเลยจะไม่ทำตาม ครั้งนี้แอบขโมยจิตญาณหลิงหลงออกมา คิดว่าต้องปิดบังพวกเขา หากมีคนรู้ ยังไม่รู้ว่าเขาจะถูกลงโทษอย่างไร…” 

 

 

เสวียนจีคิดไปคิดมา ในที่สุดก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไป นางยัดจิตญาณหลิงหลงกลับเข้าอกเสื้ออย่างระมัดระวัง รู้สึกเพียงแค่ขวดนั้นอบอุ่นสั่นไหวราวกับมีหัวใจดวงน้อยๆ เต้นอยู่ อา เป็นหลิงหลงจริงๆ…นางลูบอย่างทะนุถนอม ความรู้สึกคุ้นเคย ต้องไม่ผิดแน่ เป็นนางจริง 

 

 

“ไป พวกเรากลับสำนักเส้าหยาง” นางคว้ากระบี่เปิงอวี้ขึ้นจากน้ำเก็บคืนฝักกระบี่ รู้สึกเพียงแค่ทั่วสรรพางค์กายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกล้าหาญ “กลับไปบอกท่านพ่อ ศิษย์พี่หกไม่ได้ทรยศ รอให้ช่วยหลิงหลงก่อน รออาการพี่หลิ่วรักษาหายก่อน พวกเราจะไปเขาปู้โจวซาน!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มลุกขึ้นกล่าวว่า “หากตรวจสอบได้ว่าแท้จริงผู้ใดปลอมตัวเป็นท่านพ่อเจ้าหลอกหมิ่นเหยียน จับตัวมาเป็นพยานได้ก็จะดีที่สุด” 

 

 

“ถูกต้อง!” เสวียนจีหักนิ้วมืออย่างแรงทีละนิ้ว ส่งเสียงงึมงำออกมา “หาตัวเจอ ข้าจะแยกร่างเขาออกเป็นห้าส่วน!” 

 

 

มกรข้างๆ หนาววาบ กล่าวน้ำเสียงแผ่วว่า “ไม่มีความเป็นผู้หญิงแม้แต่นิด…” 

 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ” เสวียนจีหันกลับไปถลึงตาใส่ 

 

 

มกรกระแอมไอสองที กล่าวว่า “เปล่า…ข้าแค่ถาม หลิงหลงคือใคร จิตญาณคืออะไร มีคนอยากเล่าให้ข้าฟังไหม”