เดิมเสวียนจีคิดว่า ครั้งนี้ตนเองลงเขาฝึกฝนตน ไม่เกินสองสามวันต้องคิดถึงบ้าน ผู้ใดจะรู้ว่าพอออกมาก็เกือบปีแล้ว ผ่านเรื่องราวมามากมาย เริ่มแรกยังคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ คิดถึงชีวิตไร้ทุกข์ไร้กังวลในสำนักเส้าหยาง แต่ยิ่งนานวันความรู้สึกนี้ก็ค่อยๆ หายไป
พอกลับมาเยือนที่เดิม กลับให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ทิวทัศน์ยังคงไม่แปรเปลี่ยน ภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขา สายน้ำก็ยังคงเป็นสายน้ำ ลานฝึกยุทธ์ก็ยังคงมีศิษย์พี่ศิษย์น้องฝึกยุทธ์แข็งขัน ที่เปลี่ยนไปมีแค่สภาพใจคน
เสวียนจียืนอยู่เชิงเขา มองประตูงดงามอลังการของสำนักเส้าหยางเงียบๆ ในใจอดทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวเบาๆ ว่า “ซือเฟิ่ง ตอนนี้…ข้าราวกับเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านพ่อแม้สละชีพก็ต้องปกป้องสำนักเส้าหยางไว้”
ก็เหมือนที่นางกำลังคิดปกป้องดินแดนแห่งความสุขผืนนี้ไว้ ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองรักและทะนุถนอมที่สุด สิ่งที่ควรค่าแก่การสละชีพปกป้อง ฉู่เหล่ยเป็นเจ้าสำนัก ในใจเขานั้น คนทั้งสำนักเส้าหยาง ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด หน้าที่ความรับผิดชอบของเขาไม่ใช่แค่เด็กน้อยเช่นนางจะเข้าใจได้ในตอนแรก
มกรเห็นทิวทัศน์นี้ก็เชิดหน้าแค่นเสียงกล่าวว่า “ของผุพัง! ประตูข้างบนสวรรค์ยังสวยกว่านี้เยอะ”
เสวียนจีค้อนใส่เขา “สวรรค์ดีอย่างนั้น ทำไมเจ้ายังต้องลงมา!”
“เจ้าต้องทำความเข้าใจก่อนว่าถูกไล่ลงมากับแอบหนีลงมาเองไม่เหมือนกัน!” กระทบกับศักดิ์ศรีสัตว์เทพ เขาก็จะรีบโดดออกมาปกป้อง “เจ้า ถูกขับไล่ลงมา แต่ข้า ลงมาเอง! แสดงให้เห็นว่าเจ้าและข้าคนละชั้นกัน!”
“ไม่ผิด ข้าเป็นนาย เจ้าเป็นสัตว์ภูต เราสองคน คนละชั้นกันแน่นอน”
เสวียนจีท่าทางเบื่อหน่าย ขี้เกียจจะสนใจเสียงโวยวายของเขา เดินขึ้นบันไดไปกับอวี่ซือเฟิ่ง มกรสบถด่าอยู่นาน เห็นไม่มีคนสนใจก็ได้แต่ตามไปท่าทางเบื่อหน่าย
ศิษย์เฝ้าประตูพอเห็นเสวียนจีแต่ไกลก็ดีใจวิ่งเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แม้ว่าคนที่เฝ้าประตูอยู่นี้ส่วนใหญ่นางไม่รู้จัก แต่พอเห็นพวกเขาแต่งกายคุ้นเคย ในใจก็รู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกได้กลับบ้านมันดีจริงๆ
ขึ้นถึงเส้าหยาง ฉู่เหล่ยกับเหอตันผิงมารอหน้าประตูนานแล้ว พวกอาวุโสหลายคนพากันเผยรอยยิ้มบางมองดูพวกเขา
พอเสวียนจีเห็นท่านพ่อท่านแม่ก็อดน้ำตาคลอไม่ได้ ร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง “ท่านพ่อ ท่านแม่!” จากนั้นก็พูดไม่ออกอีก เหอตันผิงมองบุตรสาวที่รักกลับมาปลอดภัยก็ดีใจจนน้ำตานองหน้า ไม่สนใจคนรอบๆ เอาแต่กอดนางแน่นอย่างรักใคร่ทะนุถนอม เสวียนจีออกไปฝึกฝนตนครั้งนี้ตัวสูงขึ้นไม่น้อย แทบเท่านางแล้ว สีหน้าไร้เดียงสาลดลงไปมาก ดูแล้วนิ่งสุขุมขึ้นไม่น้อย เหอตันผิงรู้สึกดีแต่ก็ปวดใจ ลูบคลำใบหน้านางอย่างละเอียดถี่ถ้วน สะอื้นกล่าวว่า “ผอมไปมาก ชีวิตข้างนอกลำบากใช่ไหม”
เสวียนจีกอดคอนางไว้พลางร้องไห้จนพูดไม่ออก ฉู่เหล่ยลูบศีรษะนาง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ถึงบ้านแล้ว ทำไมอยู่ๆ เศร้าเสียใจกันขึ้นมาล่ะ อาจารย์ลุงอาจารย์อาก็อยู่นี่นะ”
เสวียนจีจึงได้หยุดร้องไห้ ลูบใบหน้าท่าทางเก้อเขินอยู่บ้าง ผละออกจากอ้อมกอดเหอตันผิง โผเข้าสู่อ้อมกอดของฉู่อิ่งหงที่รออยู่ด้านหลังนานแล้ว ร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง “ท่านอาหง!”
ฉู่อิ่งหงเผยรอยยิ้มบางลูบศีรษะนาง “ไม่เจอกันครึ่งปี เสวียนจีโตขึ้นมากแล้ว อีกสองปีก็สูงกว่าอาหงแล้ว”
เสวียนจีหน้าแดง คำนับอาวุโสท่านอื่นๆ แต่ละคนกล่าวแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจ เหอหยางมองอวี่ซือเฟิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง เดินเข้าไปถามอย่างห่วงใยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งจำได้ว่าตอนนั้นอาวุโสเหอหยางเป็นคนดูแลตนเอง จึงรีบคำนับกล่าวว่า “บุญคุณผู้อาวุโสช่วยชีวิต ข้าน้อยซาบซึ้งมิคลาย!”
เหอหยางยิ้มกล่าวว่า “บุญคุณอะไร! ข้าพอมีความรู้เรื่องยาอยู่ ช่วยชีวิตไม่อาจกล่าว ยามนี้เจ้าหายดีแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นความดีความชอบข้า แต่เป็นร่างกายเข้มแข็งของเจ้าเอง ฟื้นตัวเร็ว”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย คิดถึงยามตนคับขันต้องเปิดผนึกสองจุดนั้นออก อาวุโสเหอหยางผู้นี้ต้องรู้แน่แต่ไม่ถาม ช่างเป็นวิญญูชนน่ายกย่อง ในใจก็ยิ่งเลื่อมใสเขา คิดว่าบางทีอาจจะหาโอกาสเล่าความลับนี้ให้เขาฟัง
พอเข้าไปในห้อง เรื่องแรกที่เสวียนจีทำก็คือหยิบขวดผลึกแก้วจิตญาณหลิงหลงออกมา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเรานำจิตญาณหลิงหลงกลับมาแล้ว ครั้งนี้เป็นจิตญาณจริง”
ฉู่เหล่ยตกใจเล็กน้อย กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ครั้งก่อนพวกเจ้านำกลับมาไม่ใช่หรือ”
เสวียนจีสีหน้าขรึมลง ส่ายหน้า “ไม่…พวกเราถูกหลอก พวกเราไร้ประสบการณ์…จิตญาณนี่ ศิษย์พี่หกขโมยออกมา…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ได้ยินฉู่เหล่ยแค่นเสียงเย็น “ไม่มีศิษย์พี่หกแล้ว เขาไม่ใช่ศิษย์พี่เจ้าแล้ว!”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ท่านพ่อ! ท่านฟังข้า ศิษย์พี่หกถูกหลอก! มีคนปลอมตัวเป็นท่านหลอกเขา! เขาเอาแต่คิดว่าเป็นคำสั่งท่าน! ยามนี้อูถงหลอกใช้เขา สำนักเส้าหยางทอดทิ้งเขา…เช่นนั้น…เขาไม่ใช่ว่าน่าสงสารหรือ”
ฉู่เหล่ยถอนหายใจเฮือกเต็มแรง ไม่กล่าวอันใด อาวุโสหวนหยางข้างๆ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ความจริงใช่เช่นนี้หรือไม่ก็ยังไม่อาจสรุป แม้ว่าเขาถูกหลอกดังเจ้าว่าจริง แต่ตนเองจำอาจารย์ที่เลี้ยงดูตนมาแต่เล็กผิด ออกคำสั่งเหลวไหลเช่นนี้ก็ทำตาม คนผู้นี้ช่างเหลวไหลที่สุด!”
“นั่นเพราะเขา…” เพราะเขาให้ความสำคัญกับหลิงหลงมาก! ให้ความสำคัญกับอาจารย์มาก! เสวียนจีไม่รู้ควรอธิบายเช่นไร สีหน้าแดงก่ำร้อนใจ อวี่ซือเฟิ่งแตะแขนเสื้อเบาๆ ปลอบใจ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ผู้น้อยเสียมารยาทขอกล่าวสักคำ ผู้น้อยกับหมิ่นเหยียนคบหากันแม้ไม่นาน แม้ว่าเขาฉลาดเฉลียวแต่พอประสบเรื่องใหญ่ก็จะขาดสติง่าย วันนั้นพวกเราไปเขาปู้โจวซาน เดิมคิดว่ายอมตาย ในสถานการณ์ตอนนั้นมีคนปลอมตัวเป็นเจ้าสำนักฉู่หลอกเขาก็ย่อมง่ายดายยิ่ง นับประสาอันใดกับหมิ่นเหยียนปีนี้แค่สิบแปด เพิ่งลงเขาฝึกฝนตน ประสบการณ์ยังน้อย ถูกหลอกก็ยากตำหนิ มีเหตุให้อภัยได้ ขออาวุโสทุกท่านพิจารณาไตร่ตรองการขับออกจากสำนักอีกครั้ง”
ฉู่เหล่ยถอนหายใจกล่าวว่า “เรื่องหมิ่นเจวี๋ยนั่น…จะว่าอย่างไร วันนั้นเป็นจงหมิ่นเหยียนนำศพเขามาส่งเอง…”
“นำมาเอง?” เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งพากันตกใจ
ในใจฉู่เหล่ยเสียใจมาก ส่ายหน้าไม่กล่าวอันใดอีก เหอหยางจึงกล่าวต่อว่า “ถูกต้อง จงหมิ่นเหยียนนำส่งกลับมาสำนักเส้าหยางเอง ศพหมิ่นเจวี๋ยบรรจุอยู่ในหีบไม้ ถูกโยนลงหน้าประตูใหญ่สำนักเส้าหยาง ศิษย์เฝ้าประตูทักอย่างไร เขาก็ไม่สน สะบัดหน้าหนีไปทันที พวกเจ้ายังไม่เห็นหมิ่นเจวี๋ย…เขา…”
เขาพูดต่อไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจยาว
“ศิษย์พี่รองทำไมหรือ” เสวียนจีมองสีหน้าหนักใจของทุกคน ในใจไม่เหมือนมีความรู้สึกเป็นลางไม่ดี
หวนหยางถอนใจกล่าวว่า “เจ้าสำนัก ศพยังตั้งอยู่ ให้เด็กสองคนนี่ไปจุดธูปละกัน”
ฉู่เหล่ยพยักหน้า เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เดี๋ยว! ศิษย์พี่รองตายได้อย่างไร บอกข้ามา!”
เหอตันผิงก้มหน้าซ่อนน้ำตา กล่าวว่า “เสวียนจี…ศิษย์พี่รองเจ้า ตอนเขาถูกส่งกลับมา…ร่างไม่ครบ ร่างถูกหั่นเป็นสิบกว่าท่อน…”
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่หน้ามืด ใจเต้นแรงหายใจไม่ทัน
ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “ไม่ว่าเขาถูกหลอกก็ดี หรือไม่มีประสบการณ์ก็ดี ทำเรื่องเช่นนี้ได้ เหตุผลมากมายเพียงใดก็ไม่อาจให้อภัยได้!”
ทุกคนไม่รู้ควรกล่าวอะไรอีก ได้แต่พากันส่ายหน้าทอดถอนใจ เสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า…ไปคารวะศพ…จุดธูปให้ศิษย์พี่รอง” วาจากล่าวจบน้ำตาก็ทะลักนองหน้า
ศพเฉินหมิ่นเจวี๋ยตั้งอยู่ในห้องเดิมของเขา ตอนยังมีชีวิตเขาเก็บสะสมของไว้มากมาย ของประหลาดหายากก็มาก ถูกเหอตันผิงรวบรวมมากองอยู่หลังม่านด้วยตนเอง
เสวียนจีคิดถึงเมื่อก่อนเขาเคยมอบกระบอกหมื่นบุปผาให้ตนเอง ปากก็ว่าเป็นของรักของตนไม่ยอมให้ สุดท้ายก็ไม่ได้มาเอาคืน เห็นชัดว่าเกรงนางเหงาจึงมอบให้นาง ตอนนั้นเขาว่าตนเองเก็บของดีไว้มาก ทุกคนคิดว่าเขาโม้ ที่แท้เขาเก็บของดีไว้ไม่น้อยจริงๆ นางพลันแสบจมูก แค่นึกถึงยามปกติที่เขาดูแลนางก็สะอื้นไห้จนตัวโยนยากกล่าววาจา
เหอตันผิงเดิมปลอบใจอ่อนโยน แต่พอท้ายๆ ก็อดร้องไห้ด้วยกันไม่ได้ พึมพำกล่าวว่า “เด็กนี่…ขึ้นเขามาได้ไม่นาน ยังไม่มีวันเวลาดีๆ กับใครเขา ความสามารถธรรมดา ทุกคนก็ยิ่งไม่ไว้หน้าเขา…เด็กน่าสงสาร…จากไปเช่นนี้ได้…”
อวี่ซือเฟิ่งเข้าไปจุดธูปด้วยสีหน้าหนักใจ คำนับนอบน้อมสามทีก่อนจะลุกขึ้น พลันได้ยินมกรด้านหลัง “ฮึ” ขึ้นเสียงหนึ่ง เขารู้นิสัยมกร ไม่รู้จักกาลเทศะ กับพิธีศพมนุษย์ธรรมดาก็ยิ่งดูแคลน หากมีเรื่องกันที่นี่คงไม่ดีทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงหันกลับไปกล่าวว่า “มกรรู้สึกผิดปกติตรงไหน”
ทุกคนเห็นด้านหลังเสวียนจีมีชายผมขาวตามมาด้วยนานแล้ว ท่าทางดุร้าย หน้าตาหยิ่งยโสไม่น้อย แต่เสวียนจีไม่แนะนำ อาวุโสเช่นพวกเขาก็ย่อมไม่มีเหตุให้ถาม ได้แต่ทนไว้ไม่เอ่ย ฉู่เหล่ยถามเบาๆ ว่า “เสวียนจี ผู้นี้คือ…?”
เสวียนจีปาดน้ำตา รีบลุกขึ้นกล่าวว่า “ท่านพ่อ นี่คือสัตว์ภูตข้า! เมื่อครู่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่านจึงลืมแนะนำไป เขาชื่อมกร ร้ายกาจมาก! เป็นสัตว์เทพเชียวนะ! มกร นี่คือท่านพ่อข้า ท่านแม่ข้า ยังมีอาจารย์ข้า อาจารย์ลุง อาจารย์อา…”
นางแนะนำทีละคน มกรทนไม่ไหวโบกมือ “ญาติเยอะจริง น่ารำคาญ!”
ฉู่เหล่ยตกใจกล่าวว่า “สัตว์เทพมกร? สัตว์ภูตเจ้า?!”
ทุกคนในที่นั้นล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ย่อมรู้จักชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของมกร แต่คิดว่าเป็นแค่ตำนาน ผู้ใดจะคิดว่ามีจริง ถึงกับถูกเสวียนจีจับมาเป็นสัตว์ภูต นี่มันยิ่งกว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกอีก
มกรยิ้มกล่าวว่า “พอเถอะ เจ้าไม่ต้องแนะนำแล้ว มนุษย์ธรรมดาพวกนี้มีตาไร้แวว ไม่รู้จักข้า พูดไปก็ไร้ค่า”
เสวียนจีถลึงตาใส่ “เขาคือท่านพ่อข้า เจ้าต้องเคารพหน่อย!”
เขาผินหน้าไปมองพลางแค่นเสียงฮึ ท่าทางราวกับผีน้อยเจ้าอารมณ์ ฉู่เหล่ยไม่ค่อยจะเชื่อ ประสานมือกล่าวว่า “บุตรสาวข้าน้อยทำให้ท่านลำบากแล้ว…เพียงแต่…มกร…”
มกรขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าเฒ่านี่เรื่องมากจริง! มกรยังมีปลอมด้วยหรือ แต่ว่านะ บุตรสาวเจ้าก็ทำให้ข้าลำบากจริงๆ แต่ข้าใจกว้างพอ ไม่เก็บมาใส่ใจ ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่า!”
ฉู่อิ่งหงมองท่าทางเย่อหยิ่งของเขาก็อดกลอกตาไปมา คิดหาทางเบ่งใส่เขาไม่ได้ พลันยิ้มกล่าวว่า “ท่านว่าท่านคือมกร มีหลักฐานไหม คนใบหน้าทารกผมขาวราวนกกระเรียนแม้ว่าหาได้ยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องหาได้ยากอันใดนัก สัตว์เทพมกรชื่อเสียงโด่งดัง แต่คนทั่วไปได้พบเห็นไม่มาก คิดจะแอบอ้างก็ย่อมไม่ยาก หลอกแม่นางตัวน้อยก็ยิ่งไม่นับว่าเป็นชายชาตรี”
นางเห็นมกรโมโหจัดก็คิดว่ายั่วขึ้น ผู้ใดจะรู้ว่าเขาแค่นเสียงฮึ ไม่สนสักนิด กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าไม่สนใจสนทนากับมนุษย์ธรรมดาหรอก”
ฉู่อิ่งหงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เช่นนั้นทำไมเจ้ามาเป็นสัตว์ภูตมนุษย์ธรรมดา?”
หน้าตามกรเหมือนว่า ‘ทำไมเจ้าโง่อย่างนี้’ ถอนใจกล่าวว่า “ย่อมเพราะนางไม่ธรรมดา…”
“เจ้านี่วาจาเหลวไหลมากจริง” อวี่ซือเฟิ่งตัดบทเขา กล่าวว่า “เมื่อครู่ที่แท้เห็นความผิดปกติอะไร”
มกรถูกเขาขัดเช่นนี้ก็ไม่โมโห ขยี้จมูกกล่าวว่า “กลิ่นคนผู้นี้ ข้าเคยได้กลิ่น คืนนั้นที่ริมทะเลสาบ หนึ่งในนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดของเขา”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ผู้ใด”
มกรยักไหล่ “ก็ย่อมเป็นคนที่ดีดลูกเหล็กนั่นอย่างไร! โอย เจ้าดมไม่ได้กลิ่นหรือ ใช้ไม่ได้!”
รั่วอวี้?! เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง เขาฆ่าเฉินหมิ่นเจวี๋ย! แต่เหตุใดจึงให้จงหมิ่นเหยียนมาส่งศพล่ะ
“ท่านพ่อ คนที่ฆ่าศิษย์พี่รองไม่ใช่ศิษย์พี่หก” เสวียนจีหันกลับไปหน้าตาจริงจัง “เป็นอีกคน”
นางรีบเล่าเรื่องรั่วอวี้อย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง สุดท้ายกล่าวอีกว่า “ที่แทงซือเฟิ่งบาดเจ็บก็เขา”
ฉู่เหล่ยนิ่งเงียบเป็นนาน ราวกับไม่อาจตัดสินใจ เหอหยางกล่าวว่า “เจ้าสำนัก ข้าเองก็รู้สึกว่าการขับจงหมิ่นเหยียนออกจากสำนักออกจะวู่วามไปสักหน่อย ไม่สู้รอหลังงานชุมนุมปักบุปผา พวกเราค่อยไปเขาปู้โจวซานอีกครั้ง อย่างไรจงหมิ่นเหยียนก็เคยเป็นศิษย์สำนักเส้าหยาง อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวตกอยู่ในความไม่กระจ่างเช่นนี้”
ฉู่เหล่ยเงียบงันอยู่นาน ในที่สุดพยักหน้า “เอาเถอะ จัดการตามนี้แล้วกัน”
เสวียนจีดีใจอย่างที่สุด หันกลับไปมองอวี่ซือเฟิ่ง ทั้งสองยิ้มให้กันเป็นนานก่อนนางจะกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้เห็นหลิงหลงเลย!”
เหอตันผิงปาดน้ำตาทิ้ง เผยรอยยิ้มเอ็นดู กล่าวอ่อนโยนว่า “นอนอยู่ในห้องนาง รอผู้สูงส่งที่เจ้าว่า หากช่วยเรียกจิตญาณนางกลับคืนได้ แม่ก็วางใจแล้ว”
เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “อีกไม่นานก็เรียบร้อยแล้ว! ซือเฟิ่ง พวกเราไปเขียนจดหมายหาพี่หลิ่วกัน ขอให้เขาพาถิงหนูมาสำนักเส้าหยาง ดีไหม อา อีกเรื่อง ท่านแม่ สำนักเส้าหยางของพวกเรามีผู้ใดเป็นวิชาธาตุดิน ไหม”
เหอตันผิงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ท่านพ่อเจ้าเป็น เด็กโง่ แม้แต่ท่านพ่อเป็นวิชาอะไรก็ไม่รู้หรือ”
เสวียนจีดีใจมาก รีบไปเขียนจดหมายกับอวี่ซือเฟิ่ง ฝากวิหคเทพหงหล่วนไปหาหลิ่วอี้ฮวน นำจดหมายนี้มอบให้เขา
ฉู่เหล่ยสองสามีภรรยาเห็นบุตรสาวคนเล็กที่ไม่เจอกันปีหนึ่งเปลี่ยนไปไม่น้อย ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ผู้ใดก็คิดไม่ถึง ตอนเด็กไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นอย่างเสวียนจี ขี้เกียจอย่างเสวียนจี ตอนนี้ถึงกับกลายเป็นแม่นางน้อยเต็มตัว ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงมากตอนอายุสิบแปด ทำให้คนต้องมองนางใหม่อีกรอบจริงๆ
นับประสาอันใดกับข้างกายนางมีอวี่ซือเฟิ่งมาอีกคน ชายหนุ่มหน้าตาดีมีความสามารถ ได้รับการชื่นชมจากฉู่เหล่ยมาก เหอตันผิงเป็นสตรีมีความละเอียดอ่อน มองออกนานแล้วว่าเขามีความรู้สึกไม่ธรรมดากับเสวียนจี ไม่อาจปฏิเสธว่าคนเป็นพ่อเป็นย่อมกังวลเรื่องคู่ครองลูก เมื่อก่อนกังวลกับเสวียนจีมาก นางไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเช่นนี้ วันหน้าชายที่ไหนจะยอมแต่งนางเป็นภรรยา ยามนี้เห็นอวี่ซือเฟิ่งหน้าตาหล่อเหลาจิตใจงดงาม ในใจทั้งสองก็มีความยินดีขึ้นมาอีกส่วน กอปรกับเขาเองมีความรักในเสวียนจีลึกซึ้ง เสวียนจีเองก็ยอมเชื่อฟังวาจาเขาทุกอย่าง เหอตันผิงเป็นแม่ก็ย่อมยินดีคิดว่าจะจัดงานแต่งงานให้พวกเขาทั้งคู่ยามไหนตั้งนานแล้ว
จิตใจบิดามารดาใต้หล้า ลูกหลานมีความสุข เป็นความสุขที่สุดของพวกเขาแล้ว เหอตันผิงสบตากับฉู่เหล่ย รู้สึกเพียงแค่พึงพอใจ อดยิ้มให้กันไม่ได้