ตอนที่ 367

The Divine Nine Dragon Cauldron

มู่เทียนฟางตกใจ

 

เพื่อสตรี เขาให้คำมั่นว่าจะสังหารยอดฝีมือทุกคนในทวีปเชียวรึ? เขารู้สึกอย่างแรงกล้าถึงเพียงนั้นกับเฟิงเซี่ยน!

 

“เอาเถอะ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำสำเร็จ”

 

มู่เทียนฟางถอนหายใจเบาๆ

 

หลังจากที่ลังเลอยู่นาน นางรู้สึกผิด

 

“ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าอยากจะทำให้เจ้าประหลาดใจ แต่กลับสร้างปัญหาให้เจ้าเสียได้”

 

ซือหยูส่ายหน้า เขาปลอบนาง

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเลย จะอย่างไร ท้ายสุดข้าก็ต้องพบกับสิ่งที่ต้องเผชิญหน้า”

 

ในเรื่องเซี่ยนเอ๋อ เขายังคงเชื่อว่ายังมีเหตุผลเบื้องหลังทุกสิ่งและเขาจะได้รู้ถ้าหากได้เจอนาง

 

“หยินหยู ให้ข้าพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่งเถอะ ที่นี่จะดีกับการบ่มเพาะพลังของเจ้า”

 

มู่เทียนฟางพูดอยากไม่เต็มใจหลังจากลังเลอยู่นาน

 

ซือหยูยิ้มและปฏิเสธ

 

“ขอบคุณในน้ำใจ แต่ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”

 

ไม่ใช่ว่านางพอซือหยูมาเลือกสตรีเพราะหวังจะให้ซือหยูลืมความเจ็บปวดที่ถูกเซี่ยนเอ๋อทรยศหรอกรึ?

 

นางคิดช่วยซือหยูอีกครั้งหลักจากที่พบว่าเขากำลังโศกเศร้า นางเป็นสตรีที่ดี นางดูเย็นชาในภายนอกแต่อบอุ่นจากภายใน

 

มู่เทียนฟางส่ายหน้า

 

“โปรดอย่าปฏิเสธ คิดซะว่าเป็นการสนับสนุนจากข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เจอเฟิงเซี่ยนอีกครั้งเพื่อทำทุกสิ่งให้ชัดเจน”

 

ซือหยูประทับใจมาก ความคิดที่มีต่อมู่เทียนฟางของเขาดีขึ้น

 

“ข้าจะจดจำน้ำใจของหัวหน้ามู่เอาไว้”

 

ซือหยูกล่าวขอบคุณและรับข้อเสนอของนางด้วยความยินดี

 

มู่เทียนฟางยิ้มมุมปาก ใบหน้าอันสละสลวยของนางนั้นเป็นดั่งบัวกระจ่างยามเช้าที่น่าจับตา

 

เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป พวกเขามาถึงสวนที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

 

กำแพงที่ทรุดโทรม แมกไม้รกและร่องรอยแห่งกาลเวลาพบได้ในทุกที่

 

มันช่างตัดกับความตระการตาของคณะวิหคเพลิง ที่นี่ทรุดโทรมเก่าแก่

 

“ที่นี่คือซากโบราณที่จ้าวแห่งวิหคเพลิงคนแรกตั้งใจมอบให้ศิษย์ในอนาคตได้บ่มเพาะวิชา”

 

หัวหน้ามู่ทำแสดงความนับถือต่อซากโบราณยิ่งกว่าเดิมเมื่อนางจ้องมอง

 

ซือหยูเดินตามมู่เทียนฟางเข้าไป

 

ที่นี่มีสะพานเล็กๆเหนือสายวารี ซากไม้สีเขียวสร้างร่มเงา เสียงวารีไหลอันสดใส และที่นี่ยังเต็มไปด้วยหมอกราวกับสรวงสวรรค์บนโลกมนุษย์

 

และที่นี่ยังให้ความรู้สึกที่เก่าแก่อย่างมาก มันทำให้ที่นี่ดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม

 

ราวกับว่าพวกเขาบังเอิญเข้ามายังดินแดนของนางไม้

 

หลังจากที่ผ่านหมอกหนา ซือหยูมองไปยังกระโจมที่ดูเรียบง่ายที่ตั้งอยู่บนผิววารี

 

ราวกับนางไม้ผู้หยิ่งยโสที่ปิดตัวเองจากโลกภายนอกมาพำนักอยู่ที่นี่

 

ทันใดนั้นเขาก็ลืมตากว้างและจับจ้องไปยังแผ่นป้ายที่ถูกจารึกอักษรไว้

 

ไม้ที่ผุพังแขวนอยู่บนกระโจม มันสั่นราวกับกำลังจะตก

 

แต่ซือหยูก็มิอาจละสายตาไปได้

 

“กระโจมหลงลืม!”

 

สถานที่สำคัญในคณะวิหคเพลิงที่ซงหลวนกล่าวถึง กระโจมหลงลืม!

 

ถ้าได้บ่มเพาะพลังที่นี่ เขาจะได้เข้าในหนทางอันยิ่งใหญ่ เขาจะเข้าใจตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ จะเกิดการชำระดวงวิญญาณ มองอดีตและอนาคตได้อย่างแจ่มชัด

 

ซือหยูรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นข้อความบนแผ่นป้ายนั้น

 

ความคิดทุกอย่างที่เขาคิดสลายไป เหลือเพียงแต่จิตใจที่บางเบาไร้น้ำหนัก

 

ไม่นาน ขุนเขาว่างเปล่าวารีนิ่งสงบ ที่นี่นิ่งเงียบอยู่นาน

 

ในโลกแห่งนี้ราวกกับเหลือเพียงซือหยูคนเดียวที่ยืนอยู่หน้ากระโจม

 

“เข้าไปเถอะ ข้าจะให้โอกาสนี้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะได้อะไรบ้าง”

 

แววตาของมู่เทียนฟางดูไม่เต็มใจเท่าใดนัก

 

กระโจมหลงลืมจะเปิดให้กับศิษย์ขอบเขตอำมฤตระดับสามเท่านั้น และทุกคนมีโอกาสเข้ามาที่นี่ครั้งเดียวในทุกครึ่งปี

 

ถ้าหากนางให้โอกาสนี้กับซือหยู นางก็จะเสียโอกาสของตัวเองไป

 

ซือหยูถูกกักอยู่ในดินแดนที่นี่ ความคิดได้หยุดแล่นอยู่กับที่ เขาเข้าสู่กระโจมหลงลืม

 

เมื่อเขาเข้ามาที่กระโจมหลงลืม ดวงวิญญาณของเขาถูกชำระล้างโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ สภาวะทางจิตใจนั้นอยู่ห่างไกลราวกับท้องนภาระยิบระยับที่กำลังไล่ตามหนทางยิ่งใหญ่ภายนอกท้องฟ้ากว้างไกลในโลกอันพิศวง

 

โลกแห่งนี้ว่างเปล่าเป็นอิสระจากความวุ่นวาย ซือหยูทะยานอยู่ในโลกที่ราวกับจะเดินทางได้ตลอดไปโดยไม่รู้จุดจบ

 

เขาร่อนเร่ในทะเลกว้างใหญ่ด้วยจิตใจตั้งมั่น ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง

 

ความรู้สึกอันมิอาจบรรยายที่ไร้สิ่งกังวลนี้คล้ายกับครั้งแรกที่เขาได้บรรลุฎีกาสวรรค์!

 

“นี่รึหนทาง? เหตุใดจึงไร้สิ่งใดเล่า?”

 

ซือหยูตั้งคำถามในใจ

 

หนทางอันยิ่งใหญ่ของท้องนภาได้รวบรวมความจริงของฟ้าดินที่มองเห็นในจิตใจได้อย่างแจ่มชัด แต่เหตุใดซือหยูจึงไม่รู้สึกถึงสิ่งอื่นนอกจากความอิสระในการไร้สิ่งกีดขวางเล่า์

 

ซือหยูไตร่ตรอง

 

ฝุ่นตกสู่ผิวกาย

 

สายลมเย็นพัดพาผมเรียวยาว

 

เหล่าวิหคเกาะเหนือศีรษะ

 

วิกาลรุ่งสางแยกตัวตนอยู่ต่อหน้าวารี แสงตะวันตระหง่านฉาบร่าง แต่ดวงตาของเขามิได้กระพริบแม้แต่ครั้งเดียว

 

เขาตกอยู่ในภวังค์ คิดถึงอยู่กับหนทางอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินที่ไร้ซึ่งสิ่งใด

 

“เจ้าเป็นใคร? แอบเข้ามาในดินแดนวิหคเพลิงของข้าแล้วหมายตาหนทางอันยิ่งใหญ่งั้นรึ?”

 

ทันใดนั้นเสียงแหลมๆก็ดึงซือหยูจากโลกแห่งความอิสระกลับสู่ความจริง

 

บรรยากาศสุนทรีย์ที่อยู่ในจิตใจหายไปทันที

 

“มันจบแล้วรึ? ดูเหมือนข้าจะยังไม่ได้สิ่งที่ข้าต้องการเลย”

 

ซือหยูถอนหายใจ

 

ซือหยูลุกขึ้นช้าๆและออกจากกระโจมอย่างไม่เต็มใจ

 

“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ เจ้าเป็นใคร?”

 

นางตะโกนใส่เขาอย่างไม่พอใจ

 

นางสวมชุดยาวไร้รอยตัดเย็บและมีใบหน้ารูปไข่ ใบหน้านางควรจะสง่างามและอ่อนโยน แต่คำพูดอันแข็งกระด้างของนางนั้นขัดกับใบหน้ายิ่งนัก

 

ฟึ่บ–

 

ทันใดนั้นมู่เทียนฟางก็รีบเข้ามาจากด้านนอก นางถือผลไม้วิญญาณที่เตรียมไว้เพื่อซือหยู

 

“สตรีวิหคเพลิงยู่หลิง!”

 

มู่เทียนฟางเงียบกริบ นางคุกเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้นและก้มทำความเคารพ

 

คนคนนี้คือสตรีวิหคเพลิงลำดับสองแห่งคณะหยุนเซี่ยง ยู่หลิง!

 

พลังของนางเป็นรองเพียงเฟิงเซี่ยนเท่านั้น!

 

นางมีพลังอำมฤตระดับสี่ขั้นต้น!

 

“หัวหน้ามู่ อธิบายกับข้าเดี๋ยวนี้!”

 

ยู่หลิงไม่พอใจแต่นางก็ไม่วู่วาม เพราะอย่างไรมู่เทียนฟางก็เป็นศิษย์อย่างไม่เป็นทางการของจ้าววิหคเพลิง และนางยังต้องนับถือมู่เทียนฟางอยู่บ้าง

 

มู่เทียนฟางยืนขึ้นด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

 

“รายงานสตรีวิหคเพลิงยู่หลิง เขาคือเจ้าตำหนักหยินหยู ผู้ชนะของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ข้าให้โอกาสของตัวเองกับเขาเพื่อให้ได้เข้ามายังกระโจมหลงลืม ถ้าเขาทำให้ท่านไม่พอใจ โปรดยกโทษให้เขาเถอะ”

 

เอ๋? สตรีวิหคเพลิงยู่หลิงไม่พอใจ นางตะคอก

 

“ไร้สาระ! ดินแดนวิหคเพลิงคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นานมาแล้วที่ไม่มีบุรุษมาค้างคืน การให้เขาอยู่ที่นี่ค้างคืนนับว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงของคณะวิหคเพลิง!”

 

มู่เทียนฟางฝืนยิ้มและโค้งคำนับ

 

“ท่านพูดถูก ข้ามิได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”

 

“เจ้าไม่ได้แค่ไม่ไตร่ตรองไม่ใช่รึ? เจ้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยลานตระเวนควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี ถ้าเจ้าทำลายกฎเสียเองเยี่ยงนี้ เจ้าก็มีความผิด รอให้ข้าไปรายงานจ้าววิหคเพลิงก่อนเถอะ!”

 

ยู่หลิงไม่อ่อนโอน

 

มู่เทียนฟางทำได้แค่รับไว้อย่างเงียบเชียบ

 

“ตอนนี้เจ้าก็ไปได้แล้ว หันหน้าเข้าหากำแพงซะ!”

 

เสียงของยู่หลิงแข็งกระด้าง

 

มู่เทียนฟางลังเลอยู่ชั่วครู่และไม่พอใจเล็กน้อย

 

เพราะอย่างไรสตรีวิหคเพลิงก็เป็นศิษย์ของจ้าววิหคเพลิงที่มิได้ทำหน้าที่ดูแลอะไร แต่นางก็เป็นสตรีวิหคเพลิงลำดับสองที่มีตำแหน่งสูงส่ง ดังนั่นมู่เทียนฟางจึงต้องยอมอ่อนข้อ

 

แต่การสั่งให้มู่เทียนฟางหันหน้าเข้าหากำแพงนั้นเป็นการลงโทษที่มิได้อยู่ในอำนาจของยู่หลิง

 

“ข้าเข้าใจความผิดพลาดของตัวเองแล้ว ข้าจะไปหาจ้าววิหคเพลิงเอง”

 

มู่เทียนฟางตอบกลับ

 

ยู่หลิงหรี่ตา

 

“เจ้าได้เสียใจบ้างหรือไม่?”

 

ซือหยูมองดูด้วยแววตาเย็นชา แม้มู่เทียนฟางจะยอมนางหลายต่อหลายครั้ง นางก็ยังคงก้าวร้าว

 

“เจ้าน่ะ ถ้าเจ้าอยากจะลงโทษนาง ทำไมไม่ลงโทษนางพร้อมกับเฟิงเซี่ยนไปด้วยเล่า? เมื่อคืน ใครกันที่ให้เจ้าตำหนักเฉินคงอยู่ในคณะวิหคเพลิง?”

 

ซือหยูถาม

 

ยู่หลิงไม่พอใจเล็กน้อย แต่นางก็กลับมาเย็นชาในทันที นางหันมาตอบราวกับไม่ได้ยินว่าซือหยูพูดอะไร

 

“ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าพูด หุบปากไปซะ”

 

ซือหยูยิ้มเยาะ

 

“ข้านึกว่าเจ้าจะหัวโบราณและเข้มงวด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นแค่เศษขยะที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่านะ”

 

“แม้เจ้าจะไม่กล้าทำอะไรเฟิงเซี่ยน เจ้าก็ใช้ตำแหน่งเจ้าเพื่อแสดงอำนาจที่นี่ ทำให้เรื่องมันลำบากต่อหัวหน้ามู่รึ?”

 

ซือหยูเดินเข้าไปขวางมู่เทียนฟาง

 

“ข้าคือผู้ชนะของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ตามธรรมเนียมปกติ ข้าถูกเชิญให้มาที่นี่ แล้วข้าจะผิดอะไร? แต่เจ้าตำหนักเฉินคงปรากฏตัวที่นี่อย่างไร้เหตุผล เจ้าก็ไม่รายงานเฟิงเซี่ยน แต่เจ้ากลับตั้งใจสร้างปัญหาให้กับหัวหน้ามู่งั้นรึ?”

 

ยู่หลิงสีหน้าหม่นหมอง เขาไม่สนใจซือหยูและจ้องมู่เทียนฟาง

 

“มู่เทียนฟาง อย่าคิดว่าเพราะเจ้าเป็นศิษย์ของจ้าววิหคเพลิงแล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้นะ! ในดินแดนวิหคเพลิงแห่งนี้ เจ้ากล้าร่วมมือกับคนนอกเพื่อข่มเหงข้า รึ?”

 

“เรื่องมันจะไม่จบเช่นนี้แน่”

 

ตั้งแต่ที่นางมา นางตั้งใจหาเรื่องมู่เทียนฟาง เมื่อใดกันที่พวกซือหยูข่มเหงนางรึ?

 

แม้นางจะเป็นฝ่ายผิด นางก็สวนกลับแบบข้างๆคูๆและบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนรังแกนาง

 

นางพูดจบก็เดินเข้าไปยังกระโจมหลงหลืม นางเดินผ่านซือหยูแต่ก็ไม่ได้มองตาเขาเลย