มู่เทียนฟางตกใจ
เพื่อสตรี เขาให้คำมั่นว่าจะสังหารยอดฝีมือทุกคนในทวีปเชียวรึ? เขารู้สึกอย่างแรงกล้าถึงเพียงนั้นกับเฟิงเซี่ยน!
“เอาเถอะ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำสำเร็จ”
มู่เทียนฟางถอนหายใจเบาๆ
หลังจากที่ลังเลอยู่นาน นางรู้สึกผิด
“ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าอยากจะทำให้เจ้าประหลาดใจ แต่กลับสร้างปัญหาให้เจ้าเสียได้”
ซือหยูส่ายหน้า เขาปลอบนาง
“นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเลย จะอย่างไร ท้ายสุดข้าก็ต้องพบกับสิ่งที่ต้องเผชิญหน้า”
ในเรื่องเซี่ยนเอ๋อ เขายังคงเชื่อว่ายังมีเหตุผลเบื้องหลังทุกสิ่งและเขาจะได้รู้ถ้าหากได้เจอนาง
“หยินหยู ให้ข้าพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่งเถอะ ที่นี่จะดีกับการบ่มเพาะพลังของเจ้า”
มู่เทียนฟางพูดอยากไม่เต็มใจหลังจากลังเลอยู่นาน
ซือหยูยิ้มและปฏิเสธ
“ขอบคุณในน้ำใจ แต่ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
ไม่ใช่ว่านางพอซือหยูมาเลือกสตรีเพราะหวังจะให้ซือหยูลืมความเจ็บปวดที่ถูกเซี่ยนเอ๋อทรยศหรอกรึ?
นางคิดช่วยซือหยูอีกครั้งหลักจากที่พบว่าเขากำลังโศกเศร้า นางเป็นสตรีที่ดี นางดูเย็นชาในภายนอกแต่อบอุ่นจากภายใน
มู่เทียนฟางส่ายหน้า
“โปรดอย่าปฏิเสธ คิดซะว่าเป็นการสนับสนุนจากข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เจอเฟิงเซี่ยนอีกครั้งเพื่อทำทุกสิ่งให้ชัดเจน”
ซือหยูประทับใจมาก ความคิดที่มีต่อมู่เทียนฟางของเขาดีขึ้น
“ข้าจะจดจำน้ำใจของหัวหน้ามู่เอาไว้”
ซือหยูกล่าวขอบคุณและรับข้อเสนอของนางด้วยความยินดี
มู่เทียนฟางยิ้มมุมปาก ใบหน้าอันสละสลวยของนางนั้นเป็นดั่งบัวกระจ่างยามเช้าที่น่าจับตา
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป พวกเขามาถึงสวนที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
กำแพงที่ทรุดโทรม แมกไม้รกและร่องรอยแห่งกาลเวลาพบได้ในทุกที่
มันช่างตัดกับความตระการตาของคณะวิหคเพลิง ที่นี่ทรุดโทรมเก่าแก่
“ที่นี่คือซากโบราณที่จ้าวแห่งวิหคเพลิงคนแรกตั้งใจมอบให้ศิษย์ในอนาคตได้บ่มเพาะวิชา”
หัวหน้ามู่ทำแสดงความนับถือต่อซากโบราณยิ่งกว่าเดิมเมื่อนางจ้องมอง
ซือหยูเดินตามมู่เทียนฟางเข้าไป
ที่นี่มีสะพานเล็กๆเหนือสายวารี ซากไม้สีเขียวสร้างร่มเงา เสียงวารีไหลอันสดใส และที่นี่ยังเต็มไปด้วยหมอกราวกับสรวงสวรรค์บนโลกมนุษย์
และที่นี่ยังให้ความรู้สึกที่เก่าแก่อย่างมาก มันทำให้ที่นี่ดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม
ราวกับว่าพวกเขาบังเอิญเข้ามายังดินแดนของนางไม้
หลังจากที่ผ่านหมอกหนา ซือหยูมองไปยังกระโจมที่ดูเรียบง่ายที่ตั้งอยู่บนผิววารี
ราวกับนางไม้ผู้หยิ่งยโสที่ปิดตัวเองจากโลกภายนอกมาพำนักอยู่ที่นี่
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตากว้างและจับจ้องไปยังแผ่นป้ายที่ถูกจารึกอักษรไว้
ไม้ที่ผุพังแขวนอยู่บนกระโจม มันสั่นราวกับกำลังจะตก
แต่ซือหยูก็มิอาจละสายตาไปได้
“กระโจมหลงลืม!”
สถานที่สำคัญในคณะวิหคเพลิงที่ซงหลวนกล่าวถึง กระโจมหลงลืม!
ถ้าได้บ่มเพาะพลังที่นี่ เขาจะได้เข้าในหนทางอันยิ่งใหญ่ เขาจะเข้าใจตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ จะเกิดการชำระดวงวิญญาณ มองอดีตและอนาคตได้อย่างแจ่มชัด
ซือหยูรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นข้อความบนแผ่นป้ายนั้น
ความคิดทุกอย่างที่เขาคิดสลายไป เหลือเพียงแต่จิตใจที่บางเบาไร้น้ำหนัก
ไม่นาน ขุนเขาว่างเปล่าวารีนิ่งสงบ ที่นี่นิ่งเงียบอยู่นาน
ในโลกแห่งนี้ราวกกับเหลือเพียงซือหยูคนเดียวที่ยืนอยู่หน้ากระโจม
“เข้าไปเถอะ ข้าจะให้โอกาสนี้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะได้อะไรบ้าง”
แววตาของมู่เทียนฟางดูไม่เต็มใจเท่าใดนัก
กระโจมหลงลืมจะเปิดให้กับศิษย์ขอบเขตอำมฤตระดับสามเท่านั้น และทุกคนมีโอกาสเข้ามาที่นี่ครั้งเดียวในทุกครึ่งปี
ถ้าหากนางให้โอกาสนี้กับซือหยู นางก็จะเสียโอกาสของตัวเองไป
ซือหยูถูกกักอยู่ในดินแดนที่นี่ ความคิดได้หยุดแล่นอยู่กับที่ เขาเข้าสู่กระโจมหลงลืม
เมื่อเขาเข้ามาที่กระโจมหลงลืม ดวงวิญญาณของเขาถูกชำระล้างโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ สภาวะทางจิตใจนั้นอยู่ห่างไกลราวกับท้องนภาระยิบระยับที่กำลังไล่ตามหนทางยิ่งใหญ่ภายนอกท้องฟ้ากว้างไกลในโลกอันพิศวง
โลกแห่งนี้ว่างเปล่าเป็นอิสระจากความวุ่นวาย ซือหยูทะยานอยู่ในโลกที่ราวกับจะเดินทางได้ตลอดไปโดยไม่รู้จุดจบ
เขาร่อนเร่ในทะเลกว้างใหญ่ด้วยจิตใจตั้งมั่น ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง
ความรู้สึกอันมิอาจบรรยายที่ไร้สิ่งกังวลนี้คล้ายกับครั้งแรกที่เขาได้บรรลุฎีกาสวรรค์!
“นี่รึหนทาง? เหตุใดจึงไร้สิ่งใดเล่า?”
ซือหยูตั้งคำถามในใจ
หนทางอันยิ่งใหญ่ของท้องนภาได้รวบรวมความจริงของฟ้าดินที่มองเห็นในจิตใจได้อย่างแจ่มชัด แต่เหตุใดซือหยูจึงไม่รู้สึกถึงสิ่งอื่นนอกจากความอิสระในการไร้สิ่งกีดขวางเล่า์
ซือหยูไตร่ตรอง
ฝุ่นตกสู่ผิวกาย
สายลมเย็นพัดพาผมเรียวยาว
เหล่าวิหคเกาะเหนือศีรษะ
วิกาลรุ่งสางแยกตัวตนอยู่ต่อหน้าวารี แสงตะวันตระหง่านฉาบร่าง แต่ดวงตาของเขามิได้กระพริบแม้แต่ครั้งเดียว
เขาตกอยู่ในภวังค์ คิดถึงอยู่กับหนทางอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินที่ไร้ซึ่งสิ่งใด
“เจ้าเป็นใคร? แอบเข้ามาในดินแดนวิหคเพลิงของข้าแล้วหมายตาหนทางอันยิ่งใหญ่งั้นรึ?”
ทันใดนั้นเสียงแหลมๆก็ดึงซือหยูจากโลกแห่งความอิสระกลับสู่ความจริง
บรรยากาศสุนทรีย์ที่อยู่ในจิตใจหายไปทันที
“มันจบแล้วรึ? ดูเหมือนข้าจะยังไม่ได้สิ่งที่ข้าต้องการเลย”
ซือหยูถอนหายใจ
ซือหยูลุกขึ้นช้าๆและออกจากกระโจมอย่างไม่เต็มใจ
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ เจ้าเป็นใคร?”
นางตะโกนใส่เขาอย่างไม่พอใจ
นางสวมชุดยาวไร้รอยตัดเย็บและมีใบหน้ารูปไข่ ใบหน้านางควรจะสง่างามและอ่อนโยน แต่คำพูดอันแข็งกระด้างของนางนั้นขัดกับใบหน้ายิ่งนัก
ฟึ่บ–
ทันใดนั้นมู่เทียนฟางก็รีบเข้ามาจากด้านนอก นางถือผลไม้วิญญาณที่เตรียมไว้เพื่อซือหยู
“สตรีวิหคเพลิงยู่หลิง!”
มู่เทียนฟางเงียบกริบ นางคุกเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้นและก้มทำความเคารพ
คนคนนี้คือสตรีวิหคเพลิงลำดับสองแห่งคณะหยุนเซี่ยง ยู่หลิง!
พลังของนางเป็นรองเพียงเฟิงเซี่ยนเท่านั้น!
นางมีพลังอำมฤตระดับสี่ขั้นต้น!
“หัวหน้ามู่ อธิบายกับข้าเดี๋ยวนี้!”
ยู่หลิงไม่พอใจแต่นางก็ไม่วู่วาม เพราะอย่างไรมู่เทียนฟางก็เป็นศิษย์อย่างไม่เป็นทางการของจ้าววิหคเพลิง และนางยังต้องนับถือมู่เทียนฟางอยู่บ้าง
มู่เทียนฟางยืนขึ้นด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“รายงานสตรีวิหคเพลิงยู่หลิง เขาคือเจ้าตำหนักหยินหยู ผู้ชนะของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ข้าให้โอกาสของตัวเองกับเขาเพื่อให้ได้เข้ามายังกระโจมหลงลืม ถ้าเขาทำให้ท่านไม่พอใจ โปรดยกโทษให้เขาเถอะ”
เอ๋? สตรีวิหคเพลิงยู่หลิงไม่พอใจ นางตะคอก
“ไร้สาระ! ดินแดนวิหคเพลิงคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นานมาแล้วที่ไม่มีบุรุษมาค้างคืน การให้เขาอยู่ที่นี่ค้างคืนนับว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงของคณะวิหคเพลิง!”
มู่เทียนฟางฝืนยิ้มและโค้งคำนับ
“ท่านพูดถูก ข้ามิได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”
“เจ้าไม่ได้แค่ไม่ไตร่ตรองไม่ใช่รึ? เจ้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยลานตระเวนควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี ถ้าเจ้าทำลายกฎเสียเองเยี่ยงนี้ เจ้าก็มีความผิด รอให้ข้าไปรายงานจ้าววิหคเพลิงก่อนเถอะ!”
ยู่หลิงไม่อ่อนโอน
มู่เทียนฟางทำได้แค่รับไว้อย่างเงียบเชียบ
“ตอนนี้เจ้าก็ไปได้แล้ว หันหน้าเข้าหากำแพงซะ!”
เสียงของยู่หลิงแข็งกระด้าง
มู่เทียนฟางลังเลอยู่ชั่วครู่และไม่พอใจเล็กน้อย
เพราะอย่างไรสตรีวิหคเพลิงก็เป็นศิษย์ของจ้าววิหคเพลิงที่มิได้ทำหน้าที่ดูแลอะไร แต่นางก็เป็นสตรีวิหคเพลิงลำดับสองที่มีตำแหน่งสูงส่ง ดังนั่นมู่เทียนฟางจึงต้องยอมอ่อนข้อ
แต่การสั่งให้มู่เทียนฟางหันหน้าเข้าหากำแพงนั้นเป็นการลงโทษที่มิได้อยู่ในอำนาจของยู่หลิง
“ข้าเข้าใจความผิดพลาดของตัวเองแล้ว ข้าจะไปหาจ้าววิหคเพลิงเอง”
มู่เทียนฟางตอบกลับ
ยู่หลิงหรี่ตา
“เจ้าได้เสียใจบ้างหรือไม่?”
ซือหยูมองดูด้วยแววตาเย็นชา แม้มู่เทียนฟางจะยอมนางหลายต่อหลายครั้ง นางก็ยังคงก้าวร้าว
“เจ้าน่ะ ถ้าเจ้าอยากจะลงโทษนาง ทำไมไม่ลงโทษนางพร้อมกับเฟิงเซี่ยนไปด้วยเล่า? เมื่อคืน ใครกันที่ให้เจ้าตำหนักเฉินคงอยู่ในคณะวิหคเพลิง?”
ซือหยูถาม
ยู่หลิงไม่พอใจเล็กน้อย แต่นางก็กลับมาเย็นชาในทันที นางหันมาตอบราวกับไม่ได้ยินว่าซือหยูพูดอะไร
“ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าพูด หุบปากไปซะ”
ซือหยูยิ้มเยาะ
“ข้านึกว่าเจ้าจะหัวโบราณและเข้มงวด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นแค่เศษขยะที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่านะ”
“แม้เจ้าจะไม่กล้าทำอะไรเฟิงเซี่ยน เจ้าก็ใช้ตำแหน่งเจ้าเพื่อแสดงอำนาจที่นี่ ทำให้เรื่องมันลำบากต่อหัวหน้ามู่รึ?”
ซือหยูเดินเข้าไปขวางมู่เทียนฟาง
“ข้าคือผู้ชนะของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ตามธรรมเนียมปกติ ข้าถูกเชิญให้มาที่นี่ แล้วข้าจะผิดอะไร? แต่เจ้าตำหนักเฉินคงปรากฏตัวที่นี่อย่างไร้เหตุผล เจ้าก็ไม่รายงานเฟิงเซี่ยน แต่เจ้ากลับตั้งใจสร้างปัญหาให้กับหัวหน้ามู่งั้นรึ?”
ยู่หลิงสีหน้าหม่นหมอง เขาไม่สนใจซือหยูและจ้องมู่เทียนฟาง
“มู่เทียนฟาง อย่าคิดว่าเพราะเจ้าเป็นศิษย์ของจ้าววิหคเพลิงแล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้นะ! ในดินแดนวิหคเพลิงแห่งนี้ เจ้ากล้าร่วมมือกับคนนอกเพื่อข่มเหงข้า รึ?”
“เรื่องมันจะไม่จบเช่นนี้แน่”
ตั้งแต่ที่นางมา นางตั้งใจหาเรื่องมู่เทียนฟาง เมื่อใดกันที่พวกซือหยูข่มเหงนางรึ?
แม้นางจะเป็นฝ่ายผิด นางก็สวนกลับแบบข้างๆคูๆและบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนรังแกนาง
นางพูดจบก็เดินเข้าไปยังกระโจมหลงหลืม นางเดินผ่านซือหยูแต่ก็ไม่ได้มองตาเขาเลย