บทที่ 129 เรื่องใหม่ที่น่ากลุ้ม Ink Stone_Romance
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ไม่กี่หน้าไม่มากที่เหลืออยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ปรากฏผู้หญิงในจดหมาย
จดหมายของอาจารย์ถึงขนาดไม่เคยเอ่ยถึงตนเองสักประโยค กระทั่งบ่นสักประโยคก็ไม่มี เหมือนกับข้างกายไม่เคยมีนางลูกศิษย์คนนี้
รูปนี้เรียกว่าสตรีไม่ได้ เป็นได้เพียงเด็กหญิง
คุณหนูจวินยื่นมือลูบใบหน้าของตนเองโดยไม่รู้ตัว
ฉู่จิ่วหลิงหน้าตาเป็นอย่างไรนะ? นางก็จำได้ไม่ชัดแล้ว แต่ความคิดนี้แล่นผ่านไปเพียงแวบเดียว เห็นชัดมากว่าภาพวาดนี้ไม่ใช่นาง
ภาพวาดภาพนี้เด็กผู้หญิงอายุเพียงสี่ห้าขวบ
ตอนที่นางติดตามอาจารย์ อายุสิบปีแล้ว
คุณหนูจวินมองภาพวาดอย่างละเอียด หากบอกว่าเหมือน…
มือนางลูบดวงตาทั้งคู่ของภาพวาด
ดวงตาคู่นี้เหมือนอาจารย์
นี่คือ บุตรของอาจารย์?
อาจารย์แต่งงานแล้วยังมีลูกด้วย? แต่หากมีบ้านมีลูก ทำไมยังร่อนเร่อยู่ข้างนอก ไม่เคยเอ่ยถึง ยิ่งไม่เคยกลับไป?
ใต้หล้านี้ยังมีคนไม่อยากอยู่ด้วยกันกับครอบครัวของตนเองด้วยหรือ?
คุณหนูจวินคิ้วขมวด มองภาพวาดนี้อีกทีหนึ่ง พลิกอีกหน้า
หน้าต่อไปยังคงเป็นภาพวาด ยังคงเป็นภาพวาดเด็กผู้หญิงคนนี้ เพียงแค่อายุมากขึ้นหลายปี ราวเจ็ดแปดปี
คุณหนูจวินเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว พลิกผ่านไปข้างหลังอีกครั้งติดๆ
หน้าแล้วหน้าเล่า
ราบสิบปี
ราบสิบเอ็ดสิบสองปี
ราวบสิบสามสิบสี่ปี
พลิกอีกครั้งก็หยุดชะงัก บนหน้ากระดาษว่างเปล่าไปหมด
ไม่มีแล้ว? คุณหนูจวินอึ้งไปแล้ว พลิกไปข้างหลังอย่างไม่เชื่ออีกครั้ง จนกระทั่งหน้าสุดท้ายของจดหมาย ไม่มีสิ่งใดเลย ว่างเปล่าไปหมด
อ่านจบแล้วรึ
คุณหนูจวินลูบจดหมายเศร้าสร้อยอยู่บ้าง
จดหมายที่ดูไปแล้วหนาปึก ทำไมเร็วปานนี้ก็อ่านจบแล้วเล่า
นางก้มศีรษะมองกระดาษขาวในจดหมาย
ไม่มีแล้ว ครั้งนี้ไม่มีแล้วจริงๆ….
จมูกแสบขึ้นมาอย่างไม่รู้สามเหตุ มีน้ำตาร่วงหล่นบนกระดาษขาว พริบตาซึมกระจายออก
“คุณหนู”
เสียงหลิ่วเอ๋อร์ดังมาจากด้านนอก คุณหนูจวินพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งกะพริบตาเงยหน้าขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้มองนาง แต่มองจดหมายฉบับหนึ่งที่อยู่ในมือ
“คุณหนู เป็นจดหมายของท่านหมอเฒ่าเฝิงที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ” นางเอ่ย ดูชื่อด้านบน ถึงเงยหน้าส่งมา
ท่านหมอเฒ่าเฝิง?
ไม่มีเรื่องไม่เข้าวัด ไม่มีข่าวถึงเป็นข่าวดีที่สุด
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
คุณหนูจวินแววตาเคร่งเครียดเล็กน้อยยื่นมือรับจดหมายไป
……………………………………….
“อาจารย์! จริงแท้แน่นอน!”
ด้านในห้องเจ้าสำนักว่างโล่งของสำนักแพทย์หลวง เสียงท่านหมอเกิ่งสะท้อนก้อง
เสียงของเขาแม้ดังกลับไม่ได้ทำให้ห้องนี้ครึกครื้นขึ้นมา กลับกันยิ่งแลดูเงียบเหงา
เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้วมองเขา
“เกิดเรื่องแล้วจริงรึ?” เขาเอ่ย ในดวงตาความตื่นเต้นบางส่วนผ่านไป แต่สีหน้ายังคงรักษาความนิ่งสงบไว้
เขาไม่อาจไม่รักษาความนิ่งสงบ หลังเคยมีความหวังกี่ครั้งก็ผิดหวังเท่านั้นครั้ง และทุกสิ่งนี้ก็เพราะโรงหมอจิ่วหลิง
ตั้งแต่แรกสุดรอโรงหมอจิ่วหลิงเป็นอริกับท่านหมอทั้งหลายของเมืองหลวง จนถึงตั้งตาคอยโรงหมอจิ่วหลิงถูกบรรดาชาวบ้านเหยียดหยาม จนถึงวาดหวังให้โรงหมอจิ่วหลิงเกี่ยวพันกับหายนะของเชื้อพระวงศ์ถูกฮ่องเต้พาลพิโรธ จนถึงตายไปเสียในหายนะโรคร้ายฝีดาษ จนถึงเสียชื่อเสียงย่อยยับในมือลู่อวิ๋นฉี การตั้งตาคอยทุกครั้งท้ายที่สุดล้วนผิดหวัง
ไม่ว่าหายนะฟ้าหรือภัยพาลคน โรงหมอจิ่วหลิงล้วนไม่ล้มลงเช่นนั้นอย่างที่พวกเขาปรารถนา
ช่วงก่อนหน้านี้ลำบากนักถึงไล่คุณหนูจวินคนนี้วิ่งหนีหางจุกตูดไปจากเมืองหลวงได้ โรงหมอจิ่วหลิงที่ไม่มีหมอเทวดารักษาการณ์อยู่ยังนับเป็นโรงหมอโรงยาอันใด ครั้งนี้โรงหมอจิ่วหลิงในที่สุดก็จะจบสิ้นแล้วสินะ?
เจียงโหย่วซู่สีหน้าตื่นเต้นเตรียมเรียกคืนอาณาเขตของตนเองกลับมาใหม่อีกครั้ง ผลสุดท้ายสิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือองค์ชายองค์หญิงชนชั้นสูงที่เชิญเขาไปรักษายังคงไม่มาก ยังคงชี้เรียกท่านหมอทั้งหลายที่โรงหมอจิ่วหลิงเคยชี้แนะเหล่านั้น
นอกจากนี้หมอหลวงมากมายนักรวมถึงท่านหมอคนอื่น เวลาที่สั่งยาถึงขั้นจะสั่งยาของโรงหมอจิ่วหลิง
ในโรงหมอจิ่วหลิงยังคงมีการค้าขายทุกวันเหมือนเดิม แม้คุณหนูจวินรวมถึงผู้ดูแลใหญ่ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ที่เมืองหลวง แต่ยังมีแม่นางอีกคนหนึ่งรักษาการณ์
แม่นางคนนี้จะไปพบคนที่ถือใบสั่งยาที่ต้องการยาทุกคน แม้นางไม่ใช่หมอ แต่นางจะพบผู้ป่วย พบหมอที่สั่งยา รับฟังคำอธิบายอาการของโรคจากท่านหมอ ฟังเองแล้ว นางถึงส่งยามา
ในโรงหมอจิ่วหลิงคุณหนูจวินไม่อยู่ ยาที่ยังคงอบต่อเนื่องไม่ขาดก็มาจากมือของแม่นางผู้นี้
แม่นางผู้นี้ไม่ใช่คุณหนูจวิน แล้วก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของคุณหนูจวิน เพียงเรียกตนเองว่าเป็นเสมียนบัญชี
ยาที่เสมียนบัญชีคนหนึ่งทำออกมาเป็นของจริงหรือของปลอมกัน?
“กินไปแล้วจะตายหรือไม่น่ะ?” มีคนคลางแคลงเสียดสี
เผชิญหน้ากับความคลางแคลง แม้นางคนนี้แหงนหน้ากินยาที่คนผู้นี้ต้องการซื้อลงไปทันที ทำผู้คนตกใจสะดุ้ง
“ข้าไม่ตายวันหนึ่ง ยาของโรงหมอจิ่วหลิงก็ไม่ขายเจ้าวันหนึ่ง” นางเอ่ยเด็ดขาดฉับไว
นี่ดุร้ายเสียยิ่งกว่าคุณหนูจวินตอนแรกเสียอีก
นี่มีจิตใจช่วยโลกช่วยประชาสักนิดที่ไหน เปิดโรงหมอโรงยาแห่งหนึ่งก็เหยียบขึ้นฟ้าเสียแล้ว คนที่ใจกล้าไม่ถ่มน้ำลายใส่หน้านางหรือ
แต่เจียงโหยวซู่ประเมินความกล้าของชาวบ้านเมืองหลวงสูงไปแล้ว คงเป็นถูกคุณหนูจวินลับฝนจนไม่เหลือความกล้าแล้ว ทั้งยังเสพติดการขายหน้าเช่นนี้อีกด้วย แม้เด็กสาวตรงหน้าไม่ใช่หมอเทวดา คนที่ถูกด่าหนึ่งประโยคก็วิ่งตุปัดตุเป๋ถูกไล่ไปแล้ว
ไม่มีเหตุผลโดยแท้
กินพวกเจ้าให้ตายเสียสิ้นเรื่อง
เจียงโหย่วซู่คิดถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้นยืนหงุดหงิดอยู่บ้าง
“แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ยาอื่น” ท่านหมอเกิ่งเอ่ย “เป็นหน่อฝี”
“จริงแท้แน่นอนหรือ?” เจียงโหยว่ซู่ขมวดคิ้วเอ่ย
ท่านหมอเกิ่งเศร้านิดๆ
“อาจารย์หรือท่านไม่เชื่อข้า เชื่อโรงหมอจิ่วหลิงหรือ?” เขาเอ่ย
เจียงโหย่วซู่สบถทีหนึ่ง ใครอยากเชื่อมันกัน
“ข่าวยังปิดอยู่ แต่ข้าสืบมาแล้ว เพราะหน่อฝีนี่ ฝั่งนั้นเด็กตายไปแล้วไม่น้อยกว่าเจ็ดแปดคน” ท่านหมอเกิ่งกดเสียงเอ่ยอีกครั้ง “ด้านนั้นหากไม่ใช่ทางการปิดไว้คงโกลาหลแล้ว”
ถึงกับตายไปมากปานนี้? บอกตั้งนานแล้วว่าหน่อฝีอะไรนี่พึ่งไม่ได้สักนิด
เจียงโหย่วซู่ดวงตาทอประกายวิบวับ
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ ถึงกับยังปิดไว้ได้หรือ?” เขาเสียงเข้มเอ่ย
ท่านหมอเกิ่งพยักหน้า
“คนแซ่เฝิงนั่นกดไว้นะ กัดฟันบอกท่าเดียวว่านี่เป็นกรณีเฉพาะ” เขาเอ่ยเสียงเบา “ยังบอกว่าหน่อฝีเดิมก็คือพิษ สภาพร่างกายของเด็กทั้งหลายไม่เหมือนกัน อาจเกิดเรื่องได้ การเกิดเรื่องนี้อาจด้วยเหตุจากหน่อฝี หรืออาจเพราะมีโรคอื่นอยู่ที่ตัวก็ได้ ไม่อาจบอกว่าเคยปลูกฝีก็เพราะหน่อฝีเป็นเหตุ ต้องตรวจสอบก่อนถึงวินิจฉัยได้”
เจียงโหย่วซู่หัวเราะหยัน
“เขาย่อมต้องปิดไว้ ทุกสิ่งวันนี้ของเขาล้วนอาศัยสิ่งนี้ได้มา คนอย่างไรก็ไม่ยินดีเสียไป ไม่ยอมรึ” เขาเอ่ย “แต่เขาไม่ยอม พวกเรายังไม่ยอมรึ ครอบครัวของเด็กที่ตายเหล่านั้นก็ไม่ยอม ข้าจะไปเรียกร้องความยุติธรมแทนคนที่น่าสงสารเหล่านี้”
ท่านหมอเกิ่งดวงตาเป็นประกายวิบวับ
“อาจารย์พวกเราจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม
“ไปบอกลู่อวิ๋นฉี ข้าจะยื่นคำร้องทุกข์แทนประชาชน” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
ร้องทุกข์เพื่อประชาชนทำไมต้องบอกลู่อวิ๋นฉี? ท่านหมอเกิ่งคิดเข้าใจอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องที่ปิดบังองครักษ์เสื้อแพรได้ ท่านหมอเกิ่งไปร้องทุกข์หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ย่อมต้องมีลู่อวิ๋นฉีเป็นพยาน
“อาศัยความแค้นของลู่อวิ๋นฉีกับคุณหนูจวิน เขาต้องดีใจนิ่งแน่” เจียงโหย่วซู่ลูบเคราหัวเราะหยันเอ่ย
เป็นเช่นที่เขาคาด เมื่อแจ้งชื่อตน องครักษ์เสื้อแพรของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือก็เชิญเขาเข้าไปอย่างนอบน้อม
“อาจารย์ คนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากองครักษ์เสื้อแพรไม่มีสักกี่คนนะขอรับ” ท่านหมอเกิ่งตกตะลึงที่ได้รับความโปรดปรานกดเสียงเบาเอ่ย
นี่ย่อมไม่ใช่เพราะวิชาแพทย์ของตนสูงส่งจนลู่อวิ๋นฉีในใจเกิดยำเกรง แต่เพราะพวกเขาล้วนเห็นคนผู้หนึ่งขัดตาเหมือนกัน
ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เจียงโหย่วซู่ในใจกระจ่างจุดนี้ยิ่ง
“ใต้เท้าลู่ทราบเจตนาที่ข้ามาหรือไม่?”
ดังนั้นเมื่อเขามองเห็นบุรุษผู้เย็นชา ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานคนนั้น จึงเอ่ยปากเข้าประเด็น
ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า
“ข้าทราบ” เขาเอ่ย “หน่อฝีเกิดเรื่องแล้ว”
เจียงโหย่วซู่พยักหน้าพอใจ
“แบ่งเบาภาระเจ้าแผ่นดิน ขบคิดเพื่อความสุขของประชาคือหน้าที่พวกเรา” เขาเอ่ย “ไม่อาจเพราะชื่อเสียงโหญ่โตที่ใครบางคนสร้างขึ้นมาก็ปล่อยให้เรื่องซึ่งเป็นพิษร้ายต่อชีวิตเช่นนี้เกิดขึ้นได้”
ลู่อว๋นฉีพยักหน้าอีกครั้ง
“ใช่” เขาเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากใต้เท้าแล้ว” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
แม้ลู่อวิ๋นฉีเกรงใจเขามาก แต่เผชิญหน้ากับบุรุษคนนี้ รวมถึงอยู่ในกรมสืบสวนฝ่ายเหนือแห่งนี้ ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอลา วันพรุ่งนี้ข้าจะกลับไปถวายฎีกา” เขาเอ่ย ประสานมือให้ลู่อวิ๋นฉี หมุนตัวจะจากไป
“ใต้เท้าเจียงรอประเดี๋ยว” ลู่อวิ๋นฉีเรียกเขาไว้ สีหน้ากับน้ำเสียงนิ่งสนิทเช่นเดิม “มีเรื่องต้องการให้ท่านช่วยพอดี”
ช่วยเรื่องอะไร?
เจียงโหย่วซู่มองเขาอย่างสงสัย
……………………………………….