บทที่ 193 หวังจะไปดูแลเจ้าพร้อมกับแสงจันทร์ (3)

บุหลันเคียงรัก

เสวียนอี่คิดไม่ถึงเลยว่า วันเวลาอันแสนอิสรเสรีอยากทำอะไรก็ทำเหล่านั้นจะต้องลากไปอีกนานมากหลังจากนั้น

บางทีอาจเพราะนางไม่ใช่เทพมังกรจู๋อินที่เพิ่งจะถือกำเนิดจริงๆ หลังจากที่เกล็ดมังกรเกล็ดแรกขึ้นมาแล้ว เกล็ดมังกรที่เหลือก็งอกเร็วขึ้นกว่าเดิมมากหลายเท่า ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งหมื่นปีก็มีเกล็ดงอกขึ้นมาใหม่จนครบหมด

แล้วจากนั้น นางก็ถูกเทพีวั่งซูเชิญไป

นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เสวียนอี่ได้เห็นนาง ใต้ต้นจินกุ้ยที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลภายในตำหนักเหวินหวาวันหนึ่งในสารทฤดู เทพีวั่งซูที่เคยเยือกเย็นงดงามเหนือธรรมดาดูอ่อนล้าลงไปหลายเท่า ข้างหูมีผมขาวแซมออกมา

นางที่ดูอ่อนแออย่างนี้ คงไม่ใช่เพราะเทพเฟยเหลียนหรอกนะ เสวียนอี่คิด แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป

เมื่อมอบตราประทับให้เสวียนอี่แล้ว เทพีวั่งซูก็ราวกับได้ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งลง กล่าวเสียงเบาว่า “ในที่สุดก็รอองค์หญิงมาได้เสียที ข้าจะได้ไปจากวังวั่งซูสถานที่อันน่าปวดใจนี้เสียที”

เห็นเสวียนอี่มองนางอยู่เงียบๆ ใบหน้านางพลันปรากฏรอยยิ้มยินดีออกมา “ตอนเฟยเหลียนยังมีชีวิตอยู่นั้น ข้าไม่มีความคิดใดๆ แต่เมื่อเขาดับสูญไปเพราะช่วยข้า ข้ากลับเอาแต่คิดถึงเขาทุกวัน องค์หญิง ตอนนี้ข้าอิจฉาท่านมากที่สามารถอยู่กับคู่รักและรักกันได้ เป็นวั่งซูดีๆ ล่ะ ลาก่อน”

…หมายความว่าเมื่อเทพเฟยเหลียนดับสูญไปแล้วนางถึงได้รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นนางจะต้องเป็นผู้ที่เสียใจที่สุดในใต้หล้านี้แน่นอน

เสวียนอี่มองเงาร่างผอมบางหายลับไปนอกตำหนักเหวินหวาเงียบๆ ตอนนี้นางฉุกนึกถึงเทพเฟยเหลียนที่นิสัยมุทะลุอารมณ์ร้อน ผมขาวไปทั้งศีรษะเมื่อนานมาแล้ว พลันรู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น

ไท่เหยาที่รับตำแหน่งงานอยู่ตำหนักเหวินหวา เอาหนังสือรับตำแหน่งวั่งซูมาให้นางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องหญิง แต่ไหนแต่ไรมาวั่งซูขี่พระจันทร์มักจะมีเทพเฟยหลียนคอยนำทางอยู่ข้างหน้า แต่ว่าหลายปีมานี้เทพีวั่งซูปฏิเสธจะใช้เฟยเหลียนคนใหม่ ตอนนี้จึงยังหาผู้ที่เหมาะสมไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น…เรื่องยุ่งยากอย่างนี้ให้เหล่าเทพขุนนางเหล่านั้นของวังวั่งซูจัดการไป เจ้าไม่ต้องกังวล ไปใส่พลังเทพให้คางคกเงินสามขา[1]ก่อนเถอะ”

ครั้งที่แล้วไปวังวั่งซู เป็นตอนที่นางยังอยู่ในตำหนักหมิงซิ่ง ผ่านไปหลายปี ที่นี่ก็ยังคงเหมือนเดิม

เสวียนอี่วนเวียนอยู่รอบนอกตำหนักรอบหนึ่ง ภายในกระถางดอกไม้สี่ขาใบใหญ่ เดิมทีเต็มไปด้วยทรายจันทราของเทพเฟยเหลียน แต่เมื่อเขาดับสูญไปแล้ว ทรายจันทราก็หายไปด้วย ในกระถางดอกไม้จึงว่างเปล่า

ใช่แล้ว นางกับฝูชางเคยสู้กันระยะประชิดที่นี่ ผมเปียของนางถูกเขาดึงไว้ คางของเขาเองก็ถูกนางกัดจนแตก หนำซ้ำยังเตะถีบหน้าอกเขาหลายครั้งด้วย

ตอนนั้นเขายังเป็น ‘พวกใจแคบมีแค้นต้องชำระ’ ของตระกูลหวาซวีอยู่เลย

เหล่าเทพธิดาขุนนางนำทางนางเข้าไปในตำหนักใหญ่แล้ว กลับพบว่าที่พื้นปูไปด้วยอิฐสีขาวดำสองสี ยาวไประยะหนึ่งถึงได้แยกจากกัน ทางอิฐสีดำแยกออกไปทางตำหนักสีดำสนิททั้งหลังแห่งหนึ่ง ทางอิฐสีขาวเองก็แยกไปยังตำหนักสีขาวราวกับสร้างจากแสงจันทร์แห่งหนึ่ง

จุดตัดกันของทางเดินกว้างขวางคือประตูบานยักษ์บานหนึ่ง เหล่าเทพธิดาและขุนนางต่างแนะนำกับนางอย่างเคารพว่า “เทพีวั่งซูเชิญดู วังฉางเยี่ยทางด้านนี้คือที่พำนักของเทพเฟยเหลียน ส่วนวังเย่ว์หวานี้คือที่พำนักต่อจากนี้ไปของเทพี หลังประตูบานนี้คืออยู่ของคางคกเงินสามขา เมื่อเทพีใส่พลังเทพเข้าไปแล้ว มันก็จะกำเนิดขึ้นจากพลังเยือกเย็นของเทพี หน้าที่ของวั่งซูไม่ได้ยาก ทุกคือยามโหย่ว[2]ออกไปไล่พระจันทร์ ยามเหม่า[3]ไล่พระจันทร์กลับมา คางคกเงินสามขามีนิสัยซุกซน เทพีอย่าให้มันกระโดดลงไปจากรถก็พอ”

พลันได้ยินเทพีวั่งซูคนใหม่คนนี้กล่าวถามอย่างเกียจคร้านว่า “พวกเจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่า ขี่รถไปอย่างไร ต้องไปจากทางไหนไปที่ไหน แล้วจะต้องไปเร็วแค่ไหน”

เหล่าเทพธิดายิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่คือหน้าที่ของเทพเฟยเหลียน เทพีไม่ต้องกังวล”

ไม่ใช่บอกว่ายังไม่มีเทพเฟยเหลียนคนใหม่หรือ เสวียนอี่คร้านจะกล่าวอะไรอีก อย่างไรรอให้ฟ้ามืดลงแล้ว หากพระจันทร์ยังไม่ขึ้นก็จะโทษนางไม่ได้

ตำหนักที่อยู่ของคางคกสามขาถูกเปิดออก ภายในตำหนักสีน้ำเงินเข้ม ไม่มีอะไรอยู่เลย มีเพียงสระหยกเขียวรอบนอกยาวหลายสิบจั้งอยู่แห่งหนึ่ง ภายในสระมีแสงสลัว เต็มไปด้วยแสงจันทร์ คางคกเงินสามขาสว่างไสวอยู่ในนั้นและกระโดดไปมา ราวกับรับรู้ถึงพลังเทพเยือกเย็นบนร่างของเสวียนอี่ได้ มันจึงรีบกระโดดมาหานางอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์สว่างไสวเกลี้ยงเกลาอย่างไรมันก็ยังคงเป็นคางคกตัวหนึ่งอยู่ดี เสวียนอี่จับหัวของมันอย่างรังเกียจ นางใส่พลังเทพลงไปแล้วรีบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ พระจันทร์ที่ถูกกระทบกระเทือนจมลงไปในแสงจันทร์อย่างอ่อนแอ มันนิ่งอย่างหาได้ยากยิ่ง

เหล่าเทพธิดาขุนนางนำชุดพิธีการวั่งซูมาแล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เทพี เชิญท่านอาบน้ำแต่งตัว ใกล้จะถึงยามโหย่วแล้วเจ้าค่ะ”

ผ้าเบาบางสีอ่อนห่อลงบนร่าง พู่เงินอันเล็กบังสายตา เสวียนอี่ส่องกระจกอยู่นาน เทพีวั่งซูคนก่อนแต่งตัวอย่างนี้ และถูกเรียกว่าเยือกเย็นเหนือธรรมดา เมื่อนางมาสวมแล้วไม่รู้ทำไม กลับเพิ่มความงดงามเย้ายวนเข้ามาด้วย

เหล่าเทพธิดาขุนนางผูกตราประทับเทพไว้บนข้อมือนาง ออกไปจากวังเย่ว์หวา ราชรถไล่พระจันทร์ก็เตรียมไว้แล้ว มันเป็นรูปทรงครึ่งวงกลม ไม่มีผนังรถ เสวียนอี่ก้าววขึ้นรถ เห็นคางคกเงินสามขากระโดดไปมาอยู่ที่พื้น นางเพียงกวาดตามองไป มันก็พลันเหี่ยวเฉาทันที แล้วลงไปหดตัวอยู่ข้างเท้านางอย่างเชื่อฟังไม่ขยับ

“เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นคางคกเงินสามขาเชื่อฟังอย่างนี้” เหล่าเทพธิดาขุนนางหัวเราะขึ้นมา ก็จริง ตระกูลจู๋อินมาเป็นวั่งซูช่างเป็นการใช้คนได้ไม่เหมาะกับงานเลยจริงๆ

เสวียนอี่เท้าคางมองไปยังแสงอัสดงสีแดงบนขอบฟ้าอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อย นางตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้นางจะพกหนังสือขึ้นมาอ่านบนรถด้วย

ภายในวังฉางเยี่ยพลันมีเทพขุนนางมากมายห้อมล้อมเทพบุตรในชุดพิธีการสีดำสนิทองค์หนึ่งเดินออกมา เหล่าเทพธิดาขุนนางข้างรถรีบโค้งคารวะอย่างนอบน้อม เสวียนอี่ถลึงตาใส่เขา ปากก็อ้าออกอย่างตะลึง นางนิ่งไปราวกับไก่ไม้ มองไปยังเทพบุตรที่คุ้นตาในชุดเทพเฟยเหลียนผู้นี้ก้าวขึ้นมาบนรถอย่างสง่างงาม จากนั้นพลันมาย่อตัวลงข้างกายนาง ผ้าปิดตาสีเงินที่มีพู่ห้อยลงมาถูกเขาใช้มือเปิดออก เขามองพิจารณานางเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ชุดนี้หากไม่ได้ไล่พระจันทร์อย่าใส่”

นางยื่นมือออกไปประคองใบหน้าเขาแล้วมองทั้งซ้ายขวา ก่อนจะกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม ท่านไม่ไปเป็นนักรบ กลับมาเป็นเทพเฟยเหลียนหรือ” แล้วยังไม่ยอมบอกนางล่วงหน้าด้วย

ฝูชางกดนางลงนั่งกับเบาะด้วยรอยยิ้ม “สักครู่ค่อยพูด ข้าเสียเวลาตลอดทั้งบ่ายถึงได้รู้ว่าจะต้องเป็นเฟยเหลียนอย่างไรเชียวนะ”

ทั้งบ่าย! มาถึงวังวั่งซูนี่ก่อนนางจะถึงเสียอีก เจ้าคนหลอกลวง ก่อนหน้านี้พานางไปส่งที่เขาจงซาน บอกว่าจะมาหานางทุกวัน สุดท้ายสามสี่วันถึงจะมาหานางครั้งหนึ่ง กว่านางจะมีเกล็ดมังกรขึ้นได้เต็มตัว โลกเบื้องล่างก็มีอสูรร้ายออกอาละวาดอีก นางเกือบจะไม่ได้เจอหน้าเขามาหนึ่งปีแล้ว เขากลับมาเป็นเทพเฟยเหลียนโดยไม่บอกไม่กล่าว

ราชรถขับแหวกทะเลเมฆไป ขับไล่ไปตามรอยที่พระอาทิตย์ทิ้งเอาไว้ไป ชุดพิธีการสีดำราวน้ำหมึกของฝูชางสะบัดพลิ้ว ความมืดมิดราวกับแผ่ออกมาจากร่างของนางทีละน้อย ชะล้างแสงอัสดงที่สว่างไสวนั่นจนหมดไป

มือข้างหนึ่งลอบจับไปที่แขนเสื้อของเขาจากด้านหลัง เขาหันกลับไป เทพีวั่งซูคนใหม่ที่ห่อด้วยผ้าบางสีอ่อนได้มายืนข้างกายเขาแล้ว

“ไม่เป็นนักรบแล้วหรือ” นางถามเขาเบาๆ อีกหนึ่งคำรบ

ฝูชางส่ายหน้า “ข้าจะมาถึงยามโหย่วของทุกวัน”

เหนื่อยเกินไปแล้ว เสวียนอี่ก้มหน้าลงแล้วกุมมือของเขาเอาไว้

พู่สีเงินอันเล็กนั้นสั่นไหวเบาๆ ด้านล่างของมันคือริมฝีปากอิ่มเอิบงดงามเย้ายวน ชุดพิธีการของวั่งซูพอนางใส่แล้ว ไม่ได้เห็นความเยือกเย็นเหนือธรรมดาเลยสักนิด กลับกลายเป็นเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนดึงดูดใจอย่างน่าประหลาดแทน ผ้าบางสีอ่อนที่ห่อเอาไว้แทบจะแนบไปกับร่างของนาง

เขาไม่ยินดีจะให้เทพคนอื่นได้อยู่เป็นเพื่อนกับนางทุกวันจริงๆ และไม่หวังจริงๆ ว่าจะยอมให้นางในรูปลักษณ์เช่นนี้ถูกเทพองค์ใดเห็นเข้า เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันช่างแสนสั้นและผ่านไปเร็ว แต่อย่างน้อยต่อไปพวกเขาก็จะได้อยู่ด้วยกันทุกคืน เข้ามารับตำแหน่งที่เกี่ยวกับฟ้าดินเช่นนี้ ผ่านมาหลายปีอย่างนี้แล้ว ใจของเขาก็ยังคงหาญกล้าเช่นนี้ได้ ดูท่าเขาคงไร้ทางช่วยแล้วจริงๆ

ฝูชางเอาเส้นผมและพู่เงินที่พันเข้าด้วยกันออก พลางถามว่า “ในเมื่อเป็นเทพีวั่งซู แล้วทำไมไม่ดูคางคกเงินสามขา”

หากว่าพระจันทร์กลิ้งลงไปจากรถวันแรกล่ะก็ นั่นคงจะแย่มาก

เสวียนอี่ชี้ไปด้านหลัง คางคกเงินสามขาที่น่าสงสารถูกหิมะจู๋อินแช่แข็งเอาไว้บนรถ ดวงตาสีเงินทั้งสองมีน้ำตาไหลออกมา

ฝูชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดถึงความเหลวไหลแล้ว นางชนะเป็นที่หนึ่งเสมอ

ท้องฟ้ามืดแล้ว แสงจันทร์ราวกับน้ำค้าง ไม่นาน ขอบฟ้าก็ค่อยๆ ถูกแสงอรุณสาดจนเป็นสีราวน้ำหมึกจางๆ

คืนวันแรกผ่านไปอย่างสงบ เทพีวั่งซูคนใหม่กับตัวแทนเทพเฟยเหลียน สามารถไล่พระจันทร์ได้สำเร็จ นอกจากคางคกเงินสามขาที่ได้รับบาดเจ็บทางจิตใจตัวนั้นแล้ว ดวงตาของมันมีน้ำตาไหลออกมาเต็มฟ้าทั้งคืน

[1]คางคกเงินสามขา : หมายถึง พระจันทร์

[2]ยามโหย่ว : ช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 น. – 18.59 น.

[3]ยามเหม่า : ช่วงเวลาตั้งแต่ 05.00 น.- 06.59 น.