บทที่ 194 หวังจะไปดูแลเจ้าพร้อมกับแสงจันทร์ (4)

บุหลันเคียงรัก

เทพีวั่งซูคนใหม่รับตำแหน่งมาเป็นปีที่หนึ่งแสนแล้ว เผ่าปีศาจโบราณทั้งหกที่เคยยอมศิโรราบให้กับแดนเทพก็เริ่มเคลื่อนไหว

ในฤดูหนาวของปีนั้น รัชทายาทของจักรพรรดิสวรรค์ดับสูญจากการลอบโจมตีของราชาชื่อหม่า สั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศ รัชทายาทดับสูญ ดาวจื่อเวยร่วงหล่น วังสวรรค์มีหิมะตกครั้งใหญ่ถึงครึ่งเดือน หลังครึ่งเดือนไปแล้ว จักรพรรดิสวรรค์ก็มีราชโองการให้ปราบเผ่าปีศาจโบราณให้สิ้น

รัชทายาทของจักรพรรดิสวรรค์เป็นผู้ที่มีคุณธรรมเมตตาน่าคบหา เหล่าเทพต่างก็ให้ความเคารพมาก แม้ว่าการลงไปปราบเผ่าปีศาจครั้งนี้จะเทียบกับการสั่งให้เหล่าเทพลงไปปราบมารทั้งหมดครั้งก่อนไม่ได้ แต่ทว่าผู้ที่ขันอาสาเองกลับมีมากมาย มหาเทพไป๋เจ๋อคือผู้ที่เข้ามาอาสาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย รัชทายาทคือศิษย์ที่เขาสั่งสอนมาและภาคภูมิใจที่สุด กอปรกับเขาเป็นพวกตัดสินใจเด็ดขาดกว่าจักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบันมากนัก อนาคตหากได้ครองราชย์จะต้องเป็นยุคที่สงบและเจริญรุ่งเรืองแน่นอน คิดไม่ถึงว่ากลับต้องมาดับสูญด้วยมือของราชา เรียกว่าทำให้เขาเดือดดาลมาก

หลังจากการไล่ฆ่าราชาชื่อหม่าแล้ว งานพิธีส่งวิญญาณรัชทายาทจักรพรรดิสวรรค์ก็จัดขึ้นท่ามกลางหิมะ เหล่านักดนตรีขุนนางบรรเลงเพลงโศกเศร้าจับใจบนสะพานแก้วสีเขียว ร่างของรัชทายาทจักรพรรดิสวรรค์กลายเป็นไอบริสุทธิ์สลายไปนานแล้ว เพราะจักรพรรดิสวรรค์อาลัยอาวรณ์ จึงเชิญให้เทพีวั่งซูใช้หิมะตระกูลจู๋อินแช่แข็งผมปอยหนึ่งของรัชทายาทเอาไว้

เสียงบรรเลงเพลงโศกเศร้าดังมาราวกับเสียงลม เหล่าเทพต่างแทบทนฟังไม่ไหว สายตากลับมองไปยังเทพีวั่งซูที่อยู่ข้างสะพาน

เทพีวั่งซูองค์ปัจจุบันมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวมีชื่อขึ้นมาเพราะเรื่องทะเลหลีเฮิ่น ใช้ฐานะอง์หญิงตระกูลจู๋อินรับตำแหน่งเทพีวั่งซูแล้ว ส่วนเทพฝูชางตระกูลหวาซวีผู้เป็นคู่หมั้นก็มายุ่งกับงานตำแหน่งสวรรค์ ดึงดันรับตำแหน่งเฟยเหลียนเสียเอง ตอนนั้นโด่งดังไปทั่ว ยังดีที่พวกเขาขี่รถไล่พระจันทร์ไม่เคยมีปัญหาอะไร กลับยังคล่องแคล่วกว่ารุ่นก่อนเสียอีก เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าเทพจึงค่อยๆ เบาบางลงไป

เหล่าเทพมีผู้ที่เคยเห็นนาง และก็มีผู้ที่ไม่เคยเห็นนาง ตอนนี้ได้เห็นนางสวมใส่ชุดขาวงดงดามเป็นประกาย ทั้งยังคลุมผ้าคลุมไหล่สีม่วงอ่อนเอาไว้ด้วย เห็นเพียงแค่เงาหลังก็ยังงดงามหยาดเยิ้มมากแล้ว ยิ่งพอเหลียวหลังกลับมา ใบหน้าก็มีผ้าพู่สีเงินปิดทับไว้ชั้นหนึ่ง เป็นความเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก กลับไม่ได้คล้ายกับเทพีวั่งซูที่เยือกเย็นผอมบางในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย เหล่าเทพทั้งหลายต่างอดที่จะมองไม่ได้

เสวียนอี่นำผมยาวของรัชทายาทจักรพรรดิสวรรค์ผนึกไว้ในผลึกน้ำแข็งโปร่งใสอย่างระวัง เล็บมือปั้นดอกเจี๋ยเกิ่งขึ้นมา นางทำได้อย่างประณีตมาก ถึงได้ส่งไปให้จักรพรรดิสวรรค์ที่ก้มหน้าน้ำตาไหล ตอนนี้เขาดูไปแล้วราวกับเป็นเทพธรรมดาที่เสียใจเพราะสูญเสียบุตรชายไป ดวงตาของเขาบวมแดงจากการร้องไห้

เสียงบรรเลงเพลงโศกเศร้าดังกระหึ่มของเหล่าเทพขุนนางนักดนตรีบนสะพานดังจนนางปวดหัว นางลงไปจากสะพานแล้วเดินวนไปรอบๆ ไม่รู้ว่าไท่เหยาอยู่ที่ไหน ตอนนั้นเรื่องที่ปราบเทพเสื่อมเป็นมาร นางรับน้ำใจจากเขาไว้ยังไม่ทันมีโอกาสได้ตอบแทน คราวนี้รัชทายาทดับสูญ จึงต้องไปปลอบใจเขาบ้าง

ผ่านสะพานแก้วที่เต็มไปด้วยหิมะแล้ว กลับพบเงาร่างไท่เหยาในชุดคลุมใหญ่ตัวยาวยืนอยู่ใต้ต้นสนหมื่นปี จื่อซียืนอยู่ข้างกายเขา ศิษย์พี่หญิงผู้นี้ตอนนี้รู้จักแต่งตัวแล้ว ชุดกระโปรงดอกบัวสีขาวงาช้างทำให้นางเหมือนดอกชาภูเขาที่สูงโปร่ง

เสวียนอี่กำลังจะเข้าไปทักทาย พลันเห็นไท่เหยาหันกลับมากางแขนออกแล้วกอดเทพธิดาที่งดงามราวดอกชาภูเขาไว้ในอ้อมอก นางชะงักไป เห็นได้ชัดว่าจื่อซีเองก็ตกใจมาก แต่ก็ไม่กล้าผลักออกรุนแรงนัก ได้แต่กล่าวออกมาเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ไท่เหยา?”

ไท่เหยากล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ากับรัชทายาทอายุห่างกันเกือบหนึ่งแสนปี เขาปฏิบัติกับข้าเสมือนพี่ชายเสมือนบิดา ข้าเคยคิดว่าเมื่อเขาขึ้นครองราชย์แล้ว ข้าจะเป็นมือซ้ายมือขวาให้เขา และจะต้องทำอย่างสุดความสามารถ ทำให้ใต้หล้าเจริญรุ่งเรือง แต่น่าเสียดาย…”

จื่อซีถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เรื่องทุกเรื่องในโลกไม่แน่นอน โชคดีหรือหายนะต่างก็มาอย่างคาดไม่ถึง แต่ก็นับว่าสามารถปราบราชาชื่อหม่าได้แล้ว แก้แค้นให้กับองค์รัชทายาท ศิษย์พี่ไท่เหยาอย่าโศกเศร้านักเลย”

ไท่เหยาพยักหน้าช้าๆ “จื่อซี เจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่ได้ไหม เจ้าอยู่ด้วย ข้าก็คงสงบใจลงได้บ้าง”

ใบหน้าของจื่อซีแดงขึ้น แล้วมองไปรอบๆอย่างไม่สงบใจนัก นางกับศิษย์พี่คนนี้แม้ว่าจะไปมาหาสู่กันมาก แต่ว่าเขาเป็นผู้ที่งามสง่าดั่งบัณฑิต ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมาเลย นางจึงเพียงมองว่าเป็นความรักเฉกเช่นพี่ชายเท่านั้น แต่เมื่อมากะทันหันอย่างคราวนี้ นางกลับไม่ทันได้ตั้งตัว ได้แต่นิ่งแข็งค้างอยู่ที่เดิม ไม่ขยับ

เสวียนอี่ยืนอยู่หลังต้นไม้ครู่หนึ่ง ครั้นลองคิดตรองดูอย่างละเอียดแล้ว นางก็หมุนตัวแล้วบินหลีกออกไปไกลเบาๆ กระทั่งหิมะสักปุยยังไม่สะเทือน

อย่างนี้ก็ดี ให้เป็นอย่างนี้ต่อไป

ออกไปจากสวนดอกไม้เล็ก เสวียนอี่แหงนมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม นางผ่อนลมหายใจออกมา ท่านพ่อ พี่ชายของนางและฝูชางต่างอาสาไปปราบราชา ตอนนี้คิดว่าคงยังวุ่นวายอยู่ที่โลกเบื้องล่าง นับๆ ดูแล้วนางไม่ได้พบพวกเขามาหลายเดือนแล้ว ตำแหน่งเฟยเหลียนในยามค่ำคืนก็ให้เหล่าเทพขุนนางของวังฉางเยี่ยรับแทนไปก่อน อึดอัดอย่างน่าประหลาด

นางพิงกระถางดอกไม้แล้วปั้นหิมะสีขาว ปั้นเป็นฝูชางหิมะในชุดพิธีการของเทพเฟยเหลียน แล้วยังปั้นชิงเยี่ยนหิมะที่มีต่างหูไม่ห่างกายด้วย

“ศิษย์น้องหญิงเล็ก!”

เสียงยินดีของเหยียนสยาดังขึ้นในวังสวรรค์ที่เต็มไปด้วยเพลงบรรเลงอย่างโศกเศร้า ช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย เสวียนอี่หันไปมอง จึงเห็นนางปรี่มา สีหน้ากู่ถิงด้านหลังเขียวแล้ว

“เจ้ามาปั้นหิมะลำพังคนเดียวอีกแล้ว” เหยียนสยาเข้าไปใกล้แล้วมองมนุษย์หิมะในมือของนาง พลางกล่าวหยอกล้อว่า “ที่แท้ก็คิดถึงศิษย์น้องฝูชางแล้ว”

กู่ถิงไล่ตามมาด้านหลัง ประคองไหล่นางไว้แล้วกล่าวเสียงสั่น “อย่าวิ่ง สองร้อยปีคือช่วงที่อันตรายที่สุด”

เหยียนสยาที่อีกแปดร้อยปีถึงจะได้เป็นแม่กลับไม่ได้รู้สึกสำนึกอะไร นางยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่เป็นไร ท่านอย่ากังวลไปก่อนนัก ท่านแม่บอกแล้วว่า ตอนที่นางตั้งครรภ์ข้า คืนก่อนให้กำเนิดท่านยังไปรำหมัดอยู่เลย ข้าก็น่าจะเหมือนนาง”

หากว่านางรำหมัดก่อนให้กำเนิดจริงๆ กู่ถิงรู้สึกว่าตนเองยอมกระโดดลงไปในรูที่ยังใส่ดินไม่หมดทางทิศตะวันตกสุดนั่นดีกว่า

เสวียนอี่ปั้นมนุษย์หิมะกลมๆ ตัวน้อยสองคนส่งให้เหยียนสยา นางชอบมาก ถือเล่นในมืออยู่นานทันใดนั้นเหยียนสยาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “ใช่แล้ว เจ้าเห็นศิษย์พี่จื่อซีไหม หลายปีมานี้นางไปไหนมาไหนตามลำพังเสมอ ได้ยินว่าฝ่ายอาญามีเทพมากมายที่สารภาพรักกับนาง แต่นางกลับปฏิเสธไปทั้งหมด นางยัง…เอ่อ ยังไม่ลืมเซ่าอี๋หรือ”

เสวียนอี่เอียงคอคิด “ข้าว่าไม่ใช่”

เหยียนสยาถอนหายใจ “แต่ข้าว่าเหมือนนะ ข้าจะต้องดึงนางขึ้นมาจากหลุมให้ได้”

ทุกวันนี้นางรับตำแหน่งในตำหนักเหวินหวาเหมือนกัน เทพส่วนมากที่ได้พบเจอก็มักจะเป็นเทพที่นุ่มนวลสง่างามดุจบัณฑิตเสียมาก สรุปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ดูดีกว่าเซ่าอี๋มาก

“ข้าจะไปหานาง” เหยียนสยาหมุนตัวแล้วเริ่มวิ่งไป “เดือนหนึ่งข้าจะแนะนำให้นางหนึ่งคน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่สำเร็จ!”

ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จจริงๆก็ได้ เสวียนอี่คิดเงียบๆ แล้วปั้นกู่ถิงที่ใบหน้าเป็นสีเขียว

เสียงเพลงโศกเศร้าบนสะพานกระจกสีเขียวค่อยๆ แผ่วเบาลงไป ลมหิมะเสียงดังพัดไปมาภายในวังสวรรค์ที่กว้างขวาง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงย่ำหิมะเข้ามาใกล้ เสวียนอี่กำลังใจจดจ่อใช้นิ้วมือปั้นดอกชาที่ริมใบหูของจื่อซีหิมะ ไม่ได้เงยหน้าขึ้น

เสียงย่ำหิมะมาหยุดข้างกายห่างออกไปสามฉื่อ ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ที่ไม่ได้ยินมานานก็พลันดังขึ้น “ไม่ได้สวมชุดพิธีการ ยากที่จะเชื่อฟัง”

เจ้านี่ช่วงนี้ชอบเล่นลอบโจมตีเป็นพิเศษ

เสวียนอี่ยิ้มตาหยีแล้วหันกลับมา มองไปยังเทพบุตรในชุดนักรบสีขาวอย่างประหลาดใจ มองไปแล้วช่างไม่ได้สง่างามบริสุทธิ์เอาเสียเลย บนชุดนักรบสีขาวย้อมไปด้วยเลือดปีศาจที่แห้งกรังแล้วมากมาย ทั้งยังเต็มไปด้วยฝุ่นดิน คิดว่ารัดเกล้าหยกคงแตกอีกแล้ว ผมยาวจึงระลงมาบนบ่า เขาฉีกเอาแขนเสื้ออย่างลวกๆ มามัดไว้

เขาจะต้องยังไม่ทันได้กลับไปวังเทพบูรพาก็มาหานางก่อนเป็นแน่

เสวียนอี่ทิ้งมนุษย์หิมะแล้วเดินไปหาเขาสองก้าว พร้อมกับย่นจมูกอย่างรังเกียจ “สกปรกจริงๆเลย”

ฝูชางตบหน้าผากนางเบาๆ ทันใดนั้นองค์หญิงที่เมื่อครู่ยังทำสีหน้ารังเกียจอยู่กลับมุดเข้ามาในอก ก่อนจะปีนขึ้นไปบนร่างเขาอย่างกับลิง เขาจึงใช้แขนประคองเอาไว้

“ข้าไม่ชอบเห็นท่านต้องวิ่งเทียวไปเทียวมาอย่างนี้เลย” นางใช้เล็บแคะเอารอยเลือดตรงคิ้วของเขาออกเบาๆ “ท่านไม่ต้องเป็นเฟยเหลียนแล้ว”

เขาไม่ทำ ก็ไม่มีทางให้เทพคนอื่นทำ

ฝูชางตบศีรษะนางเบาๆ “ไปเถอะ ใกล้ยามโหย่วแล้ว”

องค์หญิงมังกรใช้ปลายนิ้วลูบใบหน้าที่มีรอยเลือดติดอยู่ทุกจุดโดยไม่กล่าวอะไร เขาจับพู่เงินเล็กออกไป แววตาของนางมีเพียงความอ่อนโยน ไม่มีความเสียใจอีกแล้ว

เป็นอย่างนี้ดีมากแล้ว พอแล้ว

เขาจูงมือนางออกไปจากวังสวรรค์ที่เริ่มมีหิมะโปรยลงมา คืนนี้ยังต้องไปขับรถไล่พระจันทร์อีก เฟยเหลียนนำทาง วั่งซูจูงพระจันทร์ ราตรีที่ยาวนาน อยู่เคียงข้างกัน เป็นช่วงเวลาอันแสนพิเศษของเขาและนาง

————– จบตอนพิเศษ————–