ตอนที่ 290 เกี่ยวข้าวสาลี
ตอนที่ 290 เกี่ยวข้าวสาลี

“เจ้าสี่ล่ะ?” พี่รองจ้าวไม่อยากพูดถึงปัญหานี้แล้ว เรื่องที่พ่อกับแม่ลำเอียงรักเจ้าหกมากกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ยังจะพูดอะไรอีก

“พี่ยังไม่รู้จักเจ้าสี่อีกเหรอ ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ปีที่แล้วไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมี ปีนี้ภรรยาของเจ้าสี่ก็จัดการเทปุ๋ยเคมีลงทุ่งข้าวสาลีไปนิดหน่อยแล้ว ข้าวโพดก็ใส่ไปนิดหนึ่งเหมือนกัน ตอนที่ปลูก แม้แต่ปุ๋ยคอกยังใส่ไปนิดเดียวเอง พึ่งพาเทวดาเลี้ยงปากท้องอย่างสมบูรณ์เลยแหละ” ระหว่างที่พูดพี่สามจ้าวก็ยิ้มไปด้วย “เจ้าสี่นี่นะ ผมว่ายิ่งอยู่ก็ยิ่งใช้ชีวิตง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีลูกชายก็ยังไม่ร้อนใจอะไรเลย พวกเราเทียบไม่ติดเลยแหละ”

“น้องสาม นายอยากใส่ปุ๋ยเคมีก็ใส่ไปสิ มันจะทำไมกันเชียว นายเองก็มีเงิน ไม่เหมือนกับพวกเราที่ไม่มีเงินสักหน่อย” พี่สะใภ้รองจ้าวได้ยินก็เดินเข้ามาพูดคุย

พี่สามจ้าวกลัวว่าคนอื่นจะพูดว่าเขามีเงิน “พี่สะใภ้รอง ผมมีเงินที่ไหนกันล่ะ พี่คงไม่รู้ เจ้าหกให้ผมขายเต้าหู้ด้วยราคาขายส่งนะ หักเงินทุนไปแล้วจะได้สักเท่าไรกันเชียว!”

พี่สะใภ้รองจ้าวยิ้ม “นายร้องไห้เพราะความจนให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ ต่อให้นายได้เงินน้อยกว่านี้ ก็ไม่ได้เหมือนพวกเราที่พึ่งพาจากที่ดินแค่นี้ ปุ๋ยเคมีนี้ ต่อให้พวกเราอยากใส่ก็ไม่มีปัญญาหรอก! ตอนที่ปลูกใส่ไปนิดหน่อยก็พอแล้ว ถ้าให้ใส่ตลอดคงไม่ไหว ข้าวสาลีของพวกเราตอนที่ปลูกก็ใส่ไปนิดหน่อยเหมือนกัน แถมยังเหลือไว้อีกครึ่งถุงด้วย คิดไว้ว่าจะไว้ใส่ตอนรดน้ำข้าวสาลีอีกนิดหน่อย แค่นี้ก็ได้แล้ว เก็บเกี่ยวได้เท่าไรก็เท่านั้นแหละ”

พี่รองจ้าวพยักหน้า “ใช่ ปุ๋ยเคมีนั่นเปิดถุงแล้วด้วย พวกเขาบอกว่าถ้าเปิดถุงแล้วก็เก็บไว้นานไม่ได้ คงใส่ในทุ่งข้าวสาลีทั้งหมดนั่นแหละ เก็บข้าวสาลีให้มากหน่อยจะได้มีแป้งขาวกิน ถ้าไม่ได้ผลปีหน้าก็ไม่ใส่แล้ว”

“ฉันว่าสภาพรวงข้าวสาลีนั่นไม่ค่อยดีเท่าไรเลย” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “นี่เหลืออีกหนึ่งเดือนก็เก็บเกี่ยวแล้ว จะเกี่ยวได้เหรอ?”

พี่สามจ้าวเอ่ย “ใครจะไปรู้ล่ะ ยังไม่เคยปลูกกันทั้งนั้น ผมว่าแล้วว่าเจ้าหกหลับหูหลับตาพูด นี่ถ้ามันเก็บเกี่ยวไม่ได้ขึ้นมาไม่เท่ากับหลอกคนอื่นเหรอ!”

คำพูดนี้พี่สะใภ้สี่จ้าวก็กำลังบ่นฉอด ๆ กับพี่สี่จ้าวเช่นกัน “ที่ดินใหญ่ขนาดนี้เอามาปลูกข้าวสาลีแล้ว นี่ถ้าเก็บได้หญ้าแค่กำมือเดียว ก็เท่ากับโดนน้องหกหลอกแล้วนะ!”

“เขาก็ไม่ได้ใช้มีดบังคับคุณสักหน่อย เขาไม่ได้บอกให้คุณปลูก แต่คุณยินดีที่จะปลูกเอง คุณจะโทษใครได้!” พี่สี่จ้าวกล่าว

พี่สะใภ้จ้าวสี่และพี่สี่จ้าวทะเลาะกันจนแอบรู้สึกเหนื่อยแล้ว เพราะทุกครั้งที่ทะเลาะกันพี่สี่จ้าวก็จะทะเลาะแค่เพียงครึ่งเดียวแล้วหยุดลง ปล่อยให้หล่อนอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หล่อนต้องกลั้นใจเก็บไว้ในอกอยู่หลายวัน เป็นความรู้สึกที่อึดอัดมาก!

ตอนนี้หล่อนเองก็คิดได้แล้ว หล่อนทะเลาะกับสามีแบบนี้มีแต่จะทำให้ตัวเองโกรธตายเสียเปล่า ๆ หล่อนยังอยากมีชีวิตมากขึ้นอีกหลายวันนะ!

จ้าวเหวินเทาคิดไม่ถึงว่าการที่เขาไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมีจะทำให้เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนไม่ค่อยมีเงิน และอยู่ในช่วงที่พืชผลยังไม่สุกงอม ต่อให้มีความคิดมากมายแต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด อีกอย่างหลังจากนี้ก็จะถึงเวลารดน้ำให้ข้าวสาลีแล้ว จึงไม่มีเวลามาทะเลาะเรื่องพวกนี้แล้วด้วย

ข้าวสาลีดูดน้ำเยอะมาก ยุ่งยากกว่านิดหน่อยเมื่อเทียบกับพืชผลอย่างอื่น หลังจากรดน้ำเสร็จแล้วข้าวสาลีก็จะเติบโตขึ้น รวงข้าวสาลีก็จะสุกแก่ขึ้นทุกวัน รอจนกระทั่งเดือนกรกฎาคม ทุ่งข้าวสาลีสีเขียวชอุ่มก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองทั้งผืน เมื่อลมพัดโชยก็จะเกิดเป็นคลื่นข้าวสาลีสีทองอร่าม นี่คือปรากฏการณ์แห่งการเก็บเกี่ยว ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกตื่นเต้นเกินกว่าจะหาสิ่งใดทัดเทียม

ทุกครอบครัวต่างก็เดินรอบ ๆ ทุ่งข้าวสาลี เพื่อดูว่าเมล็ดข้าวสาลีเติบโตหรือไม่ เมื่อได้เวลาแล้วก็เริ่มทำการเกี่ยวข้าวสาลี

ตอนนี้ยังไม่มีเครื่องเก็บข้าวสาลี อีกอย่างสถานที่แห่งนี้ก็ไม่มีเครื่องจักรแบบนี้ด้วย ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่พื้นที่การผลิตข้าวสาลีเป็นหลัก ทุ่งนาก็ไม่ได้เรียบจึงไม่สามารถเชื่อมให้เป็นผืนเดียวกันได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถใช้เครื่องจักรและทำได้เพียงแค่ใช้กำลังคน ทว่าทุกคนต่างก็คุ้นชินแล้ว นำเคียวไปลับคมให้คมสักหน่อย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็ลงไปเกี่ยวข้าวสาลีที่ทุ่งข้าวสาลีกันหมด

รวงข้าวสาลีและใบข้าวสาลีล้วนมีความคม โดยเฉพาะข้าวสาลีที่ปลูกช่วงฤดูใบไม้ผลิ หากโดนบาดก็จะเจ็บมาก ทุกคนจึงสวมใส่เสื้อแขนยาว รอบคอพันด้วยผ้าพันคอ และยังใส่หมวกฟางทับ อาวุธครบมือ เดือนกรกฎาคมอันร้อนผ่าวนี้เป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อน การเกี่ยวข้าวสาลีในทุ่งข้าวสาลีที่ลมไม่ถ่ายเทจึงทำให้ทุกคนเหงื่อไหลราวกับฝนตก

การเก็บเกี่ยวคือความสุข แต่ความลำบากในการเก็บเกี่ยวก็นับว่าลำบากจริง ๆ

จ้าวเหวินเทาไม่ได้ลำบากขนาดนั้นแล้ว เขาจ้างคนที่ไม่ได้ปลูกข้าวสาลีมาช่วยเกี่ยวข้าวให้ ไม่ต้องสนใจเรื่องอาหาร หนึ่งคนทำงานได้เงินหนึ่งหยวนต่อวัน ทุกคนต่างก็แย่งกันทำ เดือนกรกฎาคมนอกจากเก็บข้าวสาลีแล้วก็ยังไม่ต้องรีบร้อนเก็บเกี่ยวพืชผลอื่น ๆ เงินส่วนนี้จึงเท่ากับได้มาแบบฟรี ๆ!

“หนึ่งหยวนมากไปหน่อยนะ” ลุงจ้าวกล่าว “ห้าเหมาก็พอแล้ว”

“เกี่ยวข้าวสาลีมันทรมานมากเลยนะ” จ้าวเหวินเทากล่าว

จ้าวเหวินเทามีประสบการณ์ลงนาแล้ว เขาเกี่ยวได้ไม่ถึงหนึ่งคันนาก็ทนไม่ไหวแล้ว อย่ามองว่าเขาทนความลำบากเพื่อการค้าขายได้ แต่เขาก็ทนความลำบากในการทำนาไม่ได้อยู่ดี

เจ้าตัวไม่คิดว่าเงินส่วนนี้มากมายอะไร ลุงจ้าวย่อมไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น

การเก็บเกี่ยวข้าวสาลีสิ้นสุดในสามวัน จากนั้นก็ขนไปที่ลานตีข้าวเพื่อตีเมล็ดข้าวออกมา เดือนกรกฎาคมเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดและเป็นฤดูฝนด้วย ต้องรีบนำข้าวสาลีทั้งหมดไปตากให้แห้งภายในยุ้งก่อนที่ฝนจะตก ไม่เช่นนั้นก็จะแตกหน่อ เท่ากับทำงานเหนื่อยเปล่า!

เมื่อเทียบกับการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงที่ยังต้องทำเวลาเก็บผลผลิตอื่น คนที่ปลูกข้าวสาลีต่างก็ไม่กล้าล่าช้า เมื่อถึงช่วงพักกลางคืนก็ต้องมานวดข้าว ถึงอย่างไรการนวดข้าวด้วยกำลังคนก็ช้ามากอยู่ดี

จ้าวเหวินเทาคิดว่าทำแบบนี้ไม่ได้ อากาศก็ไม่แน่นอน ถ้าฝนตกขึ้นมาก็เท่ากับเหนื่อยเปล่า เขาจึงไปหาจางหมิงที่สถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรในเมือง เพื่อเช่าเครื่องนวดข้าว

ถ้าให้ซื้อ ราคาคงแพงเกินไป อีกอย่างเงินส่วนนี้ใครจะเป็นคนจ่าย หากจ้าวเหวินเทานำกลับมาให้คนในหมู่บ้านยืม แล้วถ้ามีคนยืมเขาก็จะกลายเป็นคนโง่ที่ตามคนอื่นไม่ทัน เขาจึงทำการเช่าเครื่องนี้ไปก่อน กลับถึงหมู่บ้านใครใช้ก็จ่ายค่าเช่า

จางหมิงก็ใช้เส้นสายนำเครื่องนวดข้าวมาสองเครื่องจากที่อื่น จ้าวเหวินเทาเช่ากลับมา โชคดีที่เครื่องนวดข้าวนี้ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง ไม่เช่นนั้นคงยุ่งยาก

เครื่องนวดข้าวสองเครื่องถูกนำมาใช้ ใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็นวดข้าวสาลีออกมาได้แล้ว หลังจากได้เมล็ดข้าวออกมาก็นำไปตากไว้ที่ลานนวดข้าว หากฝนไม่ตก แสงอาทิตย์ในเดือนกรกฎาคมแค่สองวันก็ทำให้ข้าวสาลีแห้งแล้ว

ทุกคนเห็นความเร็วนี้ ต่างก็ทยอยเข้ามาสอบถาม จ้าวเหวินเทาจึงบอกไปตรง ๆ ว่าเช่ามา และบอกด้วยว่าหนึ่งวันเช่ามาเท่าไร

“พวกนายอย่าเสียดายเงินส่วนนี้เลย ถ้าฝนตกขึ้นมาข้าวสาลีนี้คงเสียเปล่า รีบนวดข้าวออกมาแล้วเอาไปตากให้แห้งเถอะ!” จ้าวเหวินเทาพูดเตือนทุกคนด้วยความหวังดี

พี่สามจ้าวตอบกลับเป็นคนแรก เขาจ่ายเงินเสร็จก็นำเครื่องนวดข้าวไป เขาก็ใช้เครื่องนวดข้าวสองเครื่องเช่นกัน ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็เป็นพี่รองจ้าวและพี่สี่จ้าว ทั้งสามครอบครัวใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน คนอื่น ๆ ที่ปลูกข้าวสาลีก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว ต่างก็เข้ามาขอยืม เครื่องนวดข้าวถูกใช้ตลอดทั้งคืนไม่หยุดพัก ระยะเวลาสองวันทุกคนก็นวดข้าวจนเสร็จ ส่วนที่เหลือก็คือนำมาตากแดด ความหนักอึ้งภายในใจจึงถูกปล่อยวางลงเล็กน้อย

จ้าวเหวินเทานำเครื่องนวดข้าวไปคืนในเมือง ระหว่างนั้นก็นำข้าวสาลีสองถุงที่ถูกแปรรูปออกมาเป็นแป้งขาวและรำข้าวสาลีนำกลับมาด้วย สิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นอาหารให้กระต่าย หมูและไก่ได้

ด้วยความเร่งรีบ ทำให้ทุกคนสามารถนำข้าวสาลีเก็บเข้ายุ้งได้ก่อนที่ฝนจะตกหนัก เห็นฝนที่ตกหนักราวกับน้ำตกอยู่ด้านนอก ทุกคนต่างก็รู้สึกโชคดีที่ใช้เครื่องนวดข้าว ไม่เช่นนั้นคงเหนื่อยเปล่า!

ฝนตกหนักเช่นนี้จ้าวเหวินเทาก็ไม่ได้ขับรถออกไปขายของ ถือโอกาสบดแป้งขาวออกมาพอดี ลองดูสักหน่อยว่ารสชาติแป้งขาวที่ปลูกเองจะเป็นเช่นไร

“ภรรยา คุณอยากกินอะไรครับ พวกเราทำบะหมี่หรือห่อเกี๊ยวดี?” จ้าวเหวินเทาถามภรรยา

เย่ฉูฉู่ “ห่อเกี๊ยวแล้วกันค่ะ จะได้กินไส้เกี๊ยวไปด้วย”

“ได้เลย! งั้นพวกเราห่อเกี๊ยวกันนะ” จ้าวเหวินเทาไปนวดแป้ง

ส่วนเย่ฉูฉู่สวมเสื้อฝนไปตัดกุยช่ายที่ปลูกในสวนบ้านตัวเอง เด็ดมะเขือยาวสองผลและพริกมาด้วย หลังจากกลับมาก็ทำไส้เกี๊ยวไว้สองอย่าง คือไส้กุยช่ายผสมไข่ไก่และมะเขือยาวผสมพริก

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อะไรที่ทุ่นแรงได้ก็ใช้เถอะอย่าเสียดายเงินเลย เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายนะ

ไหหม่า(海馬)