องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 310 รอคนนอกเมือง
คนเราต่อให้โหดเหี้ยมขนาดไหน เมื่อต้องลงมือกับตัวเอง ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางโหดเหี้ยมขนาดนี้
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมองหนานกงเย่อย่างชื่นชมนับถือ
นางเล่าให้ฟังเพียงครั้งเดียว แต่เขากลับจำมันได้
ในอนาคต เขาผู้นี้จะต้องกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแน่นอน!
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปพลางเอ่ยว่า “น่าจะเป็นอย่างนั้นเพคะท่านอ๋อง”
“อืม”
หนานกงเย่เองก็ไม่ได้คิดจะเข้ามาจัดการเรื่องนี้และบอกชัดเจนแล้วว่าจะกลับ แต่เว่ยหลินชวนมารั้งพวกเขาไว้ ขอให้ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ช่วยตรวจหลักฐาน
เมื่อถูกรั้งไว้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงจำเป็นต้องอยู่ต่อ ในขณะที่หนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากการสอบสวน เว่ยหลินชวนก็รู้สึกเหมือนกันว่านี่คือการสะกดจิต แต่เขายังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด จึงทำได้เพียงตรวจสอบที่จวนอ๋องเซี่ยวจวิ้น
หลังจากตรวจสอบจนครบทุกคนแล้วก็ยังไม่ได้ผลสรุปอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นยืนสังเกตผู้คนที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด คนเหล่านี้ล้วนขลาดกลัว เพราะต่างก็เกรงว่าจะพูดอะไรผิดจนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
หลังจากตรวจไม่พบอะไร เว่ยหลินชวนก็พบว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ดังนั้นจึงยอมให้ฉีเฟยอวิ๋นและคนอื่นๆ กลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปจากที่นั่นพร้อมกับอวิ๋นหลัวฉวน พร้อมกันนั้นที่ด้านหลังก็มีกลุ่มคนติดตามอวิ๋นหลัวฉวนมาด้วย ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลึกๆ ว่าแม้พวกนางจะเป็นสตรีมีครรภ์เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็เปรียบเทียบกันไม่ได้อยู่ดี
“ท่านพี่เสียนเฟย ท่านคิดว่าท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นตายได้อย่างไรเจ้าคะ” อวิ๋นหลัวฉวนไม่กลัวการเห็นคนตาย แม้ว่านางจะอายุยังน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยฆ่าใครเลย แม้แต่การตีฝ่าวงล้อมในสนามรบนางก็เคยทำมาแล้ว
เพียงแต่ว่าตอนนั้นอวิ๋นหลัวฉวนเพิ่งจะอายุสิบขวบ นางเคยไปต่อสู้ต้านกองกำลังศัตรูกับท่านอ๋องหย่งจวิ้นผู้เป็นบิดา แต่ไม่คิดว่าจะถูกซุ่มโจมตี ในเวลานั้นอีกฝ่ายมีเยอะกว่า พวกเขาจึงทำได้แค่ต้องฝ่าวงล้อมออกมาเท่านั้น
แต่พวกเขาตีฝ่าวงล้อมและพ่ายแพ้หลายครั้งจนมีผู้คนล้มตายมากมาย
อวิ๋นหลัวฉวนขันอาสา นางบอกว่านางออกไปได้และยังบอกอีกว่าจะต้องทำหน้าที่สำเร็จอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าท่านอ๋องหย่งจวิ้นไม่เต็มใจ แต่ในเวลานั้นไม่มีใครพร้อมไปกว่านี้ ถ้าไม่ออกไปก็คงจะต้องตายด้วยกันที่นั่น
อ๋องหย่งจวิ้นเห็นแก่ตนเองและสั่งให้รองแม่ทัพคนหนึ่งพาอวิ๋นหลัวฉวนฝ่าวงล้อมออกไป อย่างไรก็อยากให้พวกเขาออกไปให้ได้
อวิ๋นหลัวฉวนกับรองแม่ทัพออกไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็ถูกขัดขวางเอาไว้ รองแม่ทัพถูกจับกุม อวิ๋นหลัวฉวนฉวยโอกาสพาคนไปสร้างความวุ่นวายและตีฝ่าออกไป ในที่สุดนางก็พาคนอีกสี่คนไปถึงกองทัพใหญ่ จากนั้นจึงเคลื่อนกำลังพลไปช่วย
หลังจากนั้นอ๋องหย่งจวิ้นก็รอดพ้นจากความยากลำบาก ทั้งหมดเป็นเพราะความห้าวหาญของอวิ๋นหลัวฉวน
แม้ว่าอวิ๋นหลัวฉวนจะยังเด็ก แต่นางกลับมีประสบการณ์การสู้รบมากกว่าคนเป็นแม่ทัพเสียอีก
ฉีกั๋วกงหอบอวิ๋นหลัวฉวนไปสู้รบด้วยตั้งแต่นางเพิ่งเริ่มเดินได้ บางครั้งฉีกั๋วกงก็กระเตงนางไว้ที่หน้าอกตอนที่เขาอยู่บนหลังม้า
นางไม่กลัวการฆ่าคน ตรงกันข้าม นางกลับไม่ชอบการต่อสู้กับผู้คนที่เมืองหลวง อย่างเช่นจวินเซียวเซียว
ที่แค่เห็นก็ปวดหัว
แม้กระทั่งการเห็นคนตายอยู่บนพื้นในจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นเมื่อครู่นี้ นางก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าในสายตาของอวิ๋นหลัวฉวนเต็มไปด้วยคำถาม และมองหน้านางอย่างนั้นครู่หนึ่ง
นางอายุเพียงสิบกว่าปี แต่มองเรื่องการฆ่าคนเป็นเรื่องน่ายินดี เมื่อพูดถึงก็พูดออกมาได้ง่ายๆ กร้าวๆ ชวนให้นึกชื่นชมอยู่ในใจ
“ไม่ใช่การฆ่าตัวตายหรอกหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นถามกลับ
อวิ๋นหลัวฉวนเบิกตากว้าง “ไม่ได้บอกว่าโดนสะกดจิตจนตายหรอกเหรอ”
“เขาตายอย่างไร ไม่ใช่ว่าตายเพราะมีดหรอกหรือ”
“ก็ใช่ เช่นนั้นท่านพี่เสียนเฟยคิดว่าใครเป็นคนฆ่าท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นจนตาย”
“ไม่รู้สิ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของอ๋องเซี่ยวจวิ้น แต่อวิ๋นหลัวฉวนไม่อยากจะเก็บงำใดๆ ทั้งนั้น
“ข้าคิดว่าจะต้องเป็นฝีมือของสหายหรือญาติคนไหนสักคนของไป๋ซู่ซู่แน่ แม้ว่าจะเกิดเรื่องกับทุกคนในตระกูลของไป๋ซู่ซู่ และผู้เป็นพ่อก็ตายไปแล้ว
แต่นางก็ยังมีเพื่อนสี่ห้าคนที่ไว้ใจได้เสมอ
ข้าเคยเจอไป๋ซู่ซู่ นางวางตัวดีมากและเป็นสหายกับมู่เหมียนจวิ้นจู่ด้วย แต่ว่ากันว่านางมีชีวิตไม่ดีนักตอนที่อยู่ที่เรือน พอแต่งงานกับอ๋องเซี่ยวจวิ้น ท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นก็ปฏิบัติกับนางไม่ดี ทุบตีจนนางเสียลูก คนในตระกูลของนางก็มาเกิดเรื่องท้องก่อนแต่งกับท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นอีก
นางอภิเษกมาสี่ปี ได้ยินว่านางต้องทนทุกข์มาถึงสี่ปี ถ้าข้าเป็นสหายของนาง ข้าจะบิดศีรษะท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นให้หลุดเสียเลย
แต่ข้าได้ยินมาว่ามู่เหมียนอาศัยอยู่ในจวนอ๋องเย่ของพวกเรา แสดงว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับมู่เหมียน”
ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็พบว่าอวิ๋นหลัวฉวนกำลังคิดจะล้างมลทินให้มู่เหมียน
“ไม่ใช่มู่เหมียนจริงๆ นั่นแหละ เมื่อวานมู่เหมียนอยู่ที่จวนอ๋องเย่”
ฉีเฟยอวิ๋นยังพูดอีกในขณะที่อ๋องตวนไม่พอใจ “ท่านคือพระชายารองแห่งจวนอ๋องตวน เหตุใดจึงนับตนเองรวมกับจวนอ๋องเย่เล่า”
อวิ๋นหลัวฉวนจึงเอ่ยว่า “ก็พูดไปงั้นเจ้าค่ะ”
อ๋องตวนหน้าบึ้ง ดูก็รู้ว่าไม่ใช่แค่พูดไปงั้น
หลังจากกลับไปถึงจวนอ๋องเย่ อวิ๋นหลัวฉวนก็คิดจะตามฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปข้างใน แต่อ๋องตวนเข้ามาขวางเอาไว้ “ข้าอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว ควรจะกลับได้แล้ว ไปกันเถอะ”
อ๋องตวนหันหลังและเดินออกไป อวิ๋นหลัวฉวนจึงจำเป็นต้องตามกลับด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นยืนมองอยู่ที่ประตูและเห็นเพียงกลุ่มคนเดินตรงไปที่จวนท่านอ๋องตวน
นางรอจนกระทั่งทุกคนจากไปแล้วจึงหันหลังตามหนานกงเย่เข้าไป
เมื่อเข้าไปฉีเฟยอวิ๋นจึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่การสะกดจิต แต่คือยาพิษ”
หนานกงเย่หยุดชะงักและหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น “แน่ใจหรือ”
“อื้ม”
เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นก็คิดว่าเป็นการสะกดจิต ถึงอย่างไรหนานกงเย่ก็เห็น อีกทั้งตอนที่มีพิธีแห่ขบวนศพฉีเฟยอวิ๋นยังเห็นคนสองคน นางเองจึงคิดไปว่าอาจจะมีคนถูกสะกดจิตจริงๆ
แต่หลังจากที่ตรวจสอบ ฉีเฟยอวิ๋นจึงแน่ใจว่าเป็นการวางยา แต่ยาพิษนั้นแปลกมาก คนธรรมดาตรวจดูแล้วหาไม่พบ แต่นางมองออกด้วยการใช้ความสามารถในการตรวจจับ พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ จนเมื่อเจ้าของร่างตาย พิษจึงเริ่มกระจายออกไป
ดังนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงคิดถึงเพียงแค่คนจากหุบเขายาเท่านั้น
ทั้งสองคนมองหน้ากันและกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหนานกงเย่จึงพาฉีเฟยอวิ๋นกลับไป
“อวิ๋นอวิ๋นคิดว่าควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดีหรือ”
“หม่อมฉันก็ไม่รู้เช่นกัน แต่เวลานี้พวกเขายังไม่น่าจะไปไกล โอกาสที่ดีที่สุดคือต้องรอจนฟ้ามืดแล้วค่อยออกจากเมือง การนำคนตายไปด้วยไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่ว่าพวกเขาจะวางศพไว้นอกเมือง ซึ่งจะพาไปเมื่อไหร่ก็ได้
แต่อากาศร้อนแผดเผาเช่นนี้ พวกเขาจะซ่อนคนไว้ได้อย่างไร
ดังนั้นจึงต้องไปหลังจากจัดการเรื่องที่จวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นเรียบร้อยแล้ว
ส่วนเราก็ออกไปรอที่นอกเมืองจนกว่าจะถึงตอนนั้น”
หนานกงเย่นั่งลงมองฉีเฟยอวิ๋นโดยไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า “ท่านอ๋องทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะเพคะ”
“มีอะไรให้ต้องพูดอีก อวิ๋นอวิ๋นตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไร พูดไปก็ไร้ประโยชน์”
มีแสงประกายวาบในดวงตาของหนานกงเย่ แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ทันสังเกต เมื่อเห็นว่าเขาดูผิดปกตินางจึงจูบเขาไปหนึ่งที “ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ไม่”
หนานกงเย่เหยียดแขนออกไป “ข้าอยากฟังเรื่องของจักรพรรดิฮั่นอู่”
“…”
ฉีเฟยอวิ๋นกลุ้มใจ นางติดหนี้การอธิบายหรืออย่างไร
“ก็ได้ เช่นนั้นเราไปพักกันสักครู่ก่อนเถิด รอจนฟ้ามืดแล้วค่อยออกไป ระหว่างทางหม่อมฉันค่อยเล่าให้ฟัง ดีไหม”
“เช่นนั้นอวิ๋นอวิ๋นก็เข้านอนก่อนเถิด ข้าต้องมอบเสบียงอาหารก่อน”
หนานกงเย่ลุกขึ้นและคลายอาภรณ์ออก ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านอ๋อง นี่ยังไม่มืดเลยนะเพคะ”
“อีกเดี๋ยวก็มืดแล้ว”
หนานกงเย่ถอดอาภรณ์ออก เขากอดฉีเฟยอวิ๋นจากทางด้านหลังและพาตัวไปบนเตียง ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองที่ประตูและเห็นเงาของอาอวี่ผละจากไป
เมื่อม่านเตียงปิดลง ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าตอนนี้เป็นเวลากลางคืน
หลังจากพักผ่อนและกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงออกจากสวนดอกกล้วยไม้มาเยี่ยมมู่เหมียน
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นที่จวนอ๋องเซี่ยวจวิ้น ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่ามู่เหมียนจะกลับไปที่จวนกั๋วจิ้ว แต่กลายเป็นว่านางพักอยู่อย่างสบาย
ฉีเฟยอวิ๋นไปดูมู่เหมียนและคุยกับนางสองสามคำก่อนที่นางจะหลับไป
หนานกงเย่ยืนมองมู่เหมียนผล็อยหลับไปจากประตูเรือนอื่น เขาเรียกอาอวี่ให้มาอยู่ดูแลนางก่อนจะพาฉีเฟยอวิ๋นออกไปจากจวน
ทั้งสองออกไปจากเมืองและรออยู่ที่กำแพงนอกเมืองอยู่พักหนึ่ง มีคนออกมาจากเมืองไม่มากนัก แต่ไม่มีคนแก่หรือเด็กเลยสักคน
ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ “ท่านอ๋อง ทำไมไม่มีอะไรเลยล่ะ”
“รออีกเดี๋ยว”
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งก็มีใครคนหนึ่งแบกคนชราคนออกมาจากเมือง แต่คนที่อยู่บนหลังเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย
และคนแบกก็เป็นผู้หญิง อีกทั้งร่างกายยังผอมบางมาก
ทั้งสองคนไม่ได้ใส่ใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานหนานกงเย่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาและไล่ตามสองคนนั้นไป