เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการลอบโจมตีของคนเหล่านี้ มู่เฉียนซีชักกระบี่มังกรเพลิงออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อกระบี่มังกรเพลิงเปล่งแสงกวาดออกไปนั้น ใบหน้าของโจรเหล่านั้นก็เผยให้เห็นอาการตระหนกตกใจ
“พรวด!”
ความเร็วของมู่เฉียนซีจัดได้ว่ารวดเร็วเย้ยฟ้าดิน กระบี่มังกรเพลิงของนางแทงเข้าไปในหัวใจของโจรผู้หนึ่งในนั้น
เมื่อถูกกระบี่มังกรเพลิงโจมตีเข้าใส่จุดสำคัญ จุดจบของโจรผู้นั้นคือถูกกระบี่มังกรเพลิงกลืนกินวิญญาณ
— ตุบ! —
หนึ่งในมิตรสหายของโจรเหล่านั้นตาย… สีหน้าของเหล่าโจรเปลี่ยนไปอย่างมากในทันใด หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น “ระวังตัวด้วย กระบี่ของเจ้าเด็กหนุ่มนี่ชั่วร้ายมาก”
“ได้…!”
ปรมาจารย์ภูตระดับเก้าผู้หนึ่งสามารถฆ่าสังหารบุคคลระดับราชาได้อย่างสบาย ๆ นี่เป็นสิ่งที่เหล่าคนที่มีพลังอยู่ในระดับต่ำยากที่จะจินตนาการถึงได้
“มังกรวารีพิฆาต!” มู่เฉียนซีตะโกนก้อง
พื้นทะเลตรงที่พวกเขาอยู่นั้น เสมือนว่ากำลังจะแข็งตัว กระบี่มังกรเพลิงที่เร่าร้อนปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าของพวกเขาแล้วในเวลานี้
กระบี่มังกรเพลิงกำลังร้องเรียกและหลอกล่อให้ผู้เป็นนายของมันต่อสู้ได้อย่างไร้การควบคุม เพื่อปลดปล่อยมันออกมา มันคิดจะทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นโรงฆ่าสัตว์ของมัน มู่เฉียนซีกุมกระบี่มังกรเพลิงในมือไว้แน่น เจ้ากระบี่เล่มนี้ช่างชั่วร้ายอย่างยากที่จะหาสิ่งใดมาเทียบ โชคดีที่จิตใจของนางนั้นมั่นคง อีกทั้งนางยังมีพลังจิตที่เข้มแข็งเพียงพอ มิเช่นนั้นคงได้กลายเป็นทาสของเจ้ากระบี่จอมตะกละนี้เป็นแน่แท้ และคงไม่พ้นโดนมันควบคุมโดยสมบูรณ์
แน่นอนว่าพวกโจรเหล่านี้ถูกมู่เฉียนซีจัดการอย่างรวดเร็วราวกับนางเพียงดีดลูกคิด หึ ๆ สำหรับนางแล้วนั้น พวกเขาเป็นเพียงแค่คนระดับราชากลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้น่าเกรงกลัวอะไรมากนัก
มู่เฉียนซีแค่นเสียง “คนเรือ เดินทางต่อได้เลย”
เวลานี้คนเรือหยุดมองมู่เฉียนซีด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาเองก็อายุมากแล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้ที่อายุยังน้อยมีความสามารถอันแข็งแกร่งเข้าขั้นวิปริตถึงเพียงนี้ ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะจากไปนั้น ก็ได้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น มีกลุ่มชายชุดสีขาวมุ่งหน้าเข้ามาที่ตรงด้านหน้าของนาง พวกเขาเดินบนผิวน้ำ!
คนผู้หนึ่งจ้องมองมาที่กระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อยแต่จิตใจกลับโหดเหี้ยมนัก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังใช้กระบี่กลืนวิญญาณที่ชั่วร้ายเช่นนี้ ช่างเป็นความหายนะอย่างใหญ่หลวงเสียจริง”
ดวงตาของเขานั้นแหลมคม เขารู้ว่าพวกศัตรูเหล่านั้นที่ได้ถูกมู่เฉียนซีเข่นฆ่าไป เหลือเพียงแต่ร่างที่ว่างเปล่าเท่านั้นเอง แทบจะไร้ซึ่งจิตวิญญาณ
บนร่างของคนชุดขาวเหล่านี้มีกลิ่นยาที่มู่เฉียนซีรู้สึกคุ้นชินจนไม่อาจจะคุ้นไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เจ้าพวกนี้เป็นคนจากหุบเขาหมอเทวดา นางกล่าวอย่างเกียจคร้าน “โจรพวกนี้เข้ามาหาเรื่องข้าเอง พวกเขาคิดที่จะปล้นข้า หรือว่าเจ้าจะยังให้ข้ามีเมตตาอย่างใหญ่หลวงปล่อยพวกมันไปรึ ?”
คนเรือพยักหน้า รีบกล่าวว่า “ใช่แล้วนายท่าน เรื่องเป็นเช่นนี้จริง ๆ คุณชายอายุน้อยผู้นี้ทำไปเพื่อปกป้องตนเอง” “เจ้าอายุยังน้อย ข้าคิดว่าคงควบคุมกระบี่มารเล่มนั้นไม่อยู่ เกรงว่าหลังจากนี้ไปจะถูกกระบี่มารเล่มนี้ควบคุมจนกลายเป็นปีศาจที่ชอบเข่นฆ่าผู้คน กระบี่เล่มนี้ข้าจะช่วยเจ้าดูแลมันให้เอง” ชายชุดขาวกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง ขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็จับจ้องมองไปที่กระบี่มังกรเพลิง
นี่เป็นกระบี่ยาวที่ผุพังขึ้นสนิมเล่มหนึ่ง แต่ที่ปลายอันแหลมคมสีแดงของมันนั้นยังมีความสามารถในการดูดวิญญาณอยู่ ทำให้เขารู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ธรรมดา
มู่เฉียนซียิ้มเยาะพลางคิดอยู่ในใจ ‘เหอะ! คิดที่จะแย่งชิงกระบี่ก็จะแย่งชิงเลยงั้นรึ ? ทำมาเป็นกล่าววาจาดูดีบอกว่าช่วยดูแลให้ น่าขันจริง!’
ราชาหมื่นพิษนั้นกล่าวไว้ไม่มีผิด หุบเขาหมอเทวดาล้วนเป็นแต่พวกจอมปลอมลวงโลก
มู่เฉียนซี “ของของข้า เหตุใดจะต้องให้เจ้าเก็บไว้ด้วย ?”
ลิ่วล้อที่อยู่ด้านข้างของศิษย์พี่สี่ (บุรุษชุดขาวที่กล่าวกับมู่เฉียนซี) ได้กระโดดออกมากล่าวต่อว่า “เจ้าเด็กหนุ่มปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเยี่ยงเจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับศิษย์พี่สี่ของเรารึ ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์พี่สี่ของพวกเราเป็นใคร ?”
สุนัขรับใช้ที่อยู่ด้านข้างของศิษย์พี่สี่อีกคนหนึ่ง กระโดดออกมาพลางกล่าวสำทับ “ใช่แล้ว ใช่ ๆ!”
มู่เฉียนซี “อะไรของพวกเจ้า ? ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ข้านั้นไม่รู้จัก ดังนั้นข้าจะไม่ส่งกระบี่ของข้าให้เขาเก็บรักษาเด็ดขาด หลีกไป! ข้ายังต้องรีบเดินทางต่อ”
“เจ้า…”
ศิษย์พี่สี่ยิ้ม กล่าวว่า “ในเมื่อคุณชายน้อยเช่นเจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วย เช่นนั้นข้าก็ทำอะไรไม่ได้ แต่คุณชายน้อยเอ๋ย เจ้าจงระวังไว้ให้ดี อย่าได้ถูกกระบี่มารควบคุมจิตใจเข้าล่ะ ประเดี๋ยวจะเสียศูนย์เปล่า ๆ”
เรือได้พามู่เฉียนซีออกไปจากที่ตรงนั้น ศิษย์น้องที่อยู่ด้านข้างของศิษย์พี่สี่พร่ำบ่นขึ้นมา “ศิษย์พี่สี่ เจ้าเด็กหนุ่มนั่นกล้าทำตัวไร้มารยาทกับท่าน เหตุใดท่านถึงปล่อยเขาไปง่าย ๆ เพียงแค่เราฆ่าเขาเสีย กระบี่เล่มนั้นก็เป็นของท่านแล้วมิใช่หรือ ?”
ศิษย์พี่สี่ “พวกเราหุบเขาหมอเทวดาเป็นแบบอย่างให้แก่สำนักอื่น จะไปแย่งชิงของจากเด็กหนุ่มที่เพิ่งพ้นภาวะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไรเล่า ? แต่ข้ากังวลว่ากระบี่เล่มนั้นจะมีผลร้ายต่อหนุ่มน้อยผู้นั้น ข้าจึงจะต้องทำให้เขายอมมอบกระบี่เล่มนั้นให้แก่ข้าด้วยความยินยอมพร้อมใจ”
พวกเขาหัวเราะก่อนจะกล่าว “ศิษย์พี่สี่ของเราเก่งกาจนัก ต้องมีวิธีเป็นแน่แท้”
หากมู่เฉียนซีได้ยินคํากล่าวเหล่านี้ของพวกเขา นางจะต้องปรบมือดัง ๆ พร้อมร้องออกมาว่า ‘เยี่ยม’ อย่างแน่นอน
ศิษย์พี่หลายคนของหุบเขาหมอเทวดาช่างจอมปลอมมากกว่าคนก่อน ๆ เข้าไปทุกที ร้ายกาจจริง ๆ
เส้นทางที่มู่เฉียนซีและคนของหุบเขาหมอเทวดาไปนั้น เป็นทางที่มุ่งไปยังหน้าผาทะเลชัน เรือสามารถเข้าเทียบท่าได้เพียงแค่ที่เกาะร้างเท่านั้น มู่เฉียนซีให้ค่าตอบแทนแก่คนเรือด้วยเงินทองมากมาย มู่เฉียนซีนำแผนที่ม้วนไม้ไผ่ที่นางถือครองอยู่ออกมา แผนที่ทั้งสองนี้มันช่างเป็นนามธรรมเกินไป ถึงต่อให้นำแผนที่ทางทะเลของทั้งทวีปเซี่ยโจวมาดูเทียบกัน ก็ยังไม่อาจที่จะอ่านอะไรออกมาได้เลย
ดูเหมือนว่าหากนางไม่มีแผนที่ม้วนไม้ไผ่ม้วนที่สาม อะไร ๆ ก็คงจะไม่ได้การ
…
โรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเกาะร้างถูกมู่เฉียนซีเหมาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เมื่อศิษย์พี่สี่และเหล่าศิษย์น้องจากหุบเขาหมอเทวดามาถึงแล้วและได้รับข่าวนี้ พวกเขาจึงอยากที่จะพบกับผู้ที่เหมาโรงเตี๊ยม
“เหล่าคุณชายโปรดรอสักครู่นะขอรับ ข้าจะไปแจ้งคุณชายผู้นั้นให้ประเดี๋ยวนี้” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมกล่าวกับคนจากหุบเขาหมอเทวดาอย่างนอบน้อม คนเหล่านี้แม้อายุยังน้อย แต่แต่ละคนนั้นแผ่พลังระดับจักรพรรดิ เขาจึงไม่กล้าละเลย
ทันใดนั้น ศิษย์พี่สี่เห็นเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยเดินลงบันไดมาอย่างเกียจคร้าน เขาอึ้งไปเล็กน้อย เป็นเจ้าหนุ่มที่พบก่อนหน้านี้นั่นเอง
ศิษย์พี่สี่ “เจ้าหนุ่ม เราพบกันอีกแล้ว”
มู่เฉียนซี “อืม ช่างบังเอิญจริง พวกเจ้าเรียกหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ ?”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าพักที่นี่คนเดียวนั้นสิ้นเปลืองเงินทองอยู่บ้าง ข้ายินดีที่จะจ่ายเป็นสองเท่าเพื่อที่จะเข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้”
มู่เฉียนซีเริ่มทราบแล้วว่าคนเหล่านี้มากันทำไม นางกล่าวอย่างหยิ่งยโสว่า “ข้าผู้นี้ดูเหมือนคนขาดเงินหรือ ? ข้าเหมาโรงเตี๊ยมนี้เอาไว้แล้ว พวกเจ้าไปหาเข้าพักที่โรงเตี๊ยมอื่นเถอะ”
‘ร่ำรวยมาจากไหนกัน! มีเงินทองแล้วหน้าใหญ่ใจกว้างนักหรือไร ? เจ้าหนุ่มผู้นี้วอนเสียแล้ว เห็นทีคงต้องสั่งสอนให้เขาทราบเอาไว้ว่าในใต้หล้านี้ อย่างไรเสียการใช้กำลังก็ใช้ได้ผลดีที่สุด’ ศิษย์พี่สี่คิด
เวลานี้คนของหุบเขาหมอเทวดาบางคน เตรียมเอาด้านแข็งกร้าวของพวกเขาเข้าสู้แล้ว ทว่าศิษย์พี่สี่ได้ห้ามปรามเอาไว้
“คุณชายน้อย เมื่อออกมาผจญภัยด้านนอก การมีมิตรสหายเพิ่มมามักดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมามิใช่หรือ ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะออกมาฝึกตน บางทีพวกเราอาจจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้อยู่บ้าง”
มู่เฉียนซี “ก็ใช่ ข้านั้นออกมาเพื่อท่องเที่ยวเพื่อฝึกประสบการณ์ ไม่ได้นำสิ่งของใดติดตัวมาด้วยมากนัก ทว่าเงินทองนั้นข้าพกมาเพียงพออย่างแน่นอน รู้จักมิตรสหายเอาไว้สักสองสามคนก็ไม่เลว พวกเจ้าเองก็ดูเหมือนจะมีพลังความสามารถที่ดี หากต่อไปนี้ข้าออกทะเล พวกเจ้าตามข้ามาเป็นลูกน้องข้าก็แล้วกัน”
“ช่างกล้ากล่าววาจาอวดดีนักนะเจ้าหนุ่ม เจ้าสถานะอะไร พวกเราสถานะอะไรเจ้ารู้แล้วหรือถึงได้กล้ากล่าววาจาเช่นนี้” หนึ่งในลิ่วล้อของศิษพี่สี่กล่าวต่อว่ามู่เฉียนซี สำนักนิกายระดับสองของพวกเขานั้นดูถูกทุกสิ่งอย่างในเซี่ยโจว ไฉนเลยจะยอมให้เด็กหนุ่มไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามากดขี่ข่มเหงพวกเขาได้ มู่เฉียนซี “ในเมื่อพวกเจ้าไม่เต็มใจ เช่นนั้นก็เชิญไปตามทางของพวกเจ้าได้เลย ข้าไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรอยู่แล้ว”
ศิษย์พี่สี่รีบกล่าว “อย่าผิดใจกันเลยเจ้าหนุ่ม ข้าคิดว่าเจ้านั้นใจดีมาก ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนน้องชายของข้าผู้หนึ่ง ทะเลนี้อันตรายยิ่งนัก พวกเราได้ร่วมฝึกฝนด้วยกัน เป็นความคิดที่ดีแล้ว”
“เหอะ! ในเมื่อพวกเจ้ารับปากแล้ว เช่นนั้นก็เข้าอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้กันได้ตามสบาย อยากกินอะไรก็กิน ข้านั้นมีเงิน”
ในใจของพวกเขาหุบเขาหมอเทวดา เจ้าหนุ่มตรงหน้าเป็นผู้ที่หยิ่งยโสโง่เง่าไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางของโลกภายนอก อีกทั้งยังชอบดูแคลนพวกเขานัก ส่วนศิษย์พี่สี่นั้น เขาก็คิดเช่นกันว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้อวดดี ทว่าเพื่อที่จะสืบความลับของกระบี่เล่มนั้น เขาจึงยอมทนปั้นหน้าเป็นมิตรไปก่อน
ผลสุดท้ายแล้วเหล่าศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดาซึ่งเป็นสำนักนิกายระดับสอง ก็ได้กลายมาเป็นลูกน้องคอยรับใช้มู่เฉียนซี
.
.
.