ตอนที่ 366 ขโมยจุมพิตจากจิ่วเยี่ย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“ไม่จำเป็นแล้ว” จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้แน่น

มู่เฉียนซีหาวพลางกล่าวว่า “ข้าง่วงแล้ว ขอนอนก่อนสักหน่อยเถอะนะ”

จิ่วเยี่ยนั้นจนปัญญา เขาจุมพิตลงบนหน้าผากของนางเบา ๆ  ต่อให้ไร้หัวใจมากกว่านี้อีกเพียงเท่าใด เขาก็ยังไม่ยอมที่จะปล่อยมือไปจากนาง  อย่างไรเสียนางก็เป็นของเขา ผู้ใดก็มาแย่งไปไม่ได้ เขานั้นมีเวลาที่จะทำให้มู่เฉียนซีมอบหัวใจให้แก่เขาด้วยความเต็มใจ …และไม่ใช่เหมือนดังเช่นตอนนี้ ที่ได้เอาหัวใจใส่กุญแจไว้ในมุมที่มืดมิดที่สุด เมื่อมู่เฉียนซีตื่นขึ้นมา จิ่วเยี่ยยังคงนอนอยู่ข้าง ๆ นาง เขาไม่ได้จากไปไหนเลย

ในก้นบึ้งหัวใจของนางเกิดอาการตกตะลึงอยู่บ้าง นางคุ้นชินเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษผู้ที่ยากจะควบคุมได้

มู่เฉียนซีมองใบหน้าเย็นชาและงดงามราวกับงานศิลปะชั้นเยี่ยมนั้น พลันรู้สึกว่าการมองใบหน้าบุรุษผู้นี้ช่างน่ารื่นรมย์เสียจริงเชียว ราวกับว่าสามารถชมดูได้ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเพียงพอ

ทั้งชีวิต!

ความคิดนี้ทำให้มู่เฉียนซีตกใจอย่างมาก หรือว่าตัวนางนั้นจะคิดอะไรเลยเถิดไปไกลกับจิ่วเยี่ย

ใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบ ความแข็งแกร่งที่แกร่งนักจนบางเวลาน่าหมั่นไส้ และยังมีความรักความทะนุถนอมที่เขามอบให้ เขาคอยปกป้องตามใจนางอย่างที่สตรีใดก็ไม่อาจมีโอกาสเช่นนี้ได้

เขานั้นช่างดีต่อนางเหลือเกิน ดีมากเสียจริง หัวใจของนางนั้นแน่นอนไม่ได้ทำจากหิน ดังนั้นไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลยก็แปลกแล้ว

นางไม่อยากจะยอมรับความรู้สึกแปลก ๆ นี้ แต่ทว่า…

มู่เฉียนซีอดไม่ได้แล้ว นางลอบจุมพิตลงไปบนริมฝีปากที่งดงามนั้นของเขา การทำเช่นนี้กับบุคคลแข็งแกร่งอย่างจิ่วเยี่ย มันจักต้องระวังเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นเดี๋ยวเจ้าก้อนน้ำแข็งผู้นี้จะต้องคิดบัญชีหนี้ที่แสนยืดเยื้อกับนางอีกมากโข

มู่เฉียนซียิ้ม  กล่าวเบา ๆ ว่า “จิ่วเยี่ย… ถ้าหากรอจนข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้ว เจ้าก็ยังคงทำให้ข้าชอบเช่นนี้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นเจ้าก็เป็นของข้าแน่แล้ว ตอนนี้ข้าขอประทับตราเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”

หลังจาก ‘ประทับตรา’ เสร็จเรียบร้อย มู่เฉียนซีก็นอนหลับต่อไป

ในเวลานี้เอง จิ่วเยี่ยที่นอนอยู่ด้านข้างของนางนั้น ลืมตาที่เหมือนดั่งน้ำแข็งเยือกเย็นขึ้นมา นิ้วของเขาเคลื่อนไปแตะริมฝีปากบางอย่างเบามือ ต่อมาไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะทำสิ่งใด เขาลอบจุมพิตนาง…

จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีอย่างเงียบ ๆ  ฉับพลันนั้นเขารู้สึกจนปัญญา

“สตรีโง่” เขากล่าวเสียงแหบแห้ง

เขารู้ดีว่านางนั้นชอบพอในตัวเขาจึงลอบครอบครองเขาอย่างเผด็จการ แต่ทว่ามันยังห่างกับที่เขาต้องการอีกไกลอยู่นัก

ไม่เป็นไร… เขาสามารถรอได้! ……

คนของหุบเขาหมอเทวดาบางคนนั้น บ้างก็ไปสำรวจในเขตทะเล บ้างก็อยู่ที่เมืองตงตู

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม ทั้งสามนั้นไปไหนกันหมดแล้ว ? แต่ละคนเมื่อไปถึงเซี่ยโจวกลับหายตัวไปกันหมด ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวสักข่าว”

“ผู้อาวุโสทั้งสาม พวกเขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่ จึงได้…”

“ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าพวกเหล่าศิษย์พี่นั้นได้พบเจอกับอันตรายอะไรเข้าหรือไม่ ?”

“ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา จะพบพานอันตรายในที่ธุรกันดารที่ไม่มีแม้แต่ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิสักคนหนึ่ง นั่นเป็นไปไม่ได้เลย” ผู้อาวุโสสามกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจ

ผู้อาวุโสสามสะบัดแขนเสื้อก่อนจะกล่าว “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเจ้าตัวบาปสามคนนั่นแล้ว  เวลานี้ส่งคนไปหาตัวเจ้าเด็กนั่นก่อนเถอะ แผนที่ไม่ครบถ้วนก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ถูกต้องได้”

“ขอรับ”

ครานี้หุบเขาหมอเทวดาเคลื่อนกำลังขนาดใหญ่เสียแล้ว แม้แต่บุคคลระดับจักรพรรดิก็มีมาด้วย

ผู้อาวุโสสามขมวดคิ้วเล็กน้อย พลันแผ่พลังจิตซ่านออกมาเพราะเขารู้สึกว่าเวลานี้มีคนกําลังจับตาดูพวกเขาอยู่

มู่เฉียนซีเห็นเช่นนั้นรีบดึงพลังจิตของตนเองกลับมา  ช่างอันตรายนัก เกือบจะถูกจับได้แล้วเชียว เมื่อขึ้นถึงระดับจักรพรรดิแล้ว ความแตกต่างระหว่างจักรพรรดิขั้นสูงสุดระดับเก้านั้น ไม่ใช่ว่าแตกต่างกันแค่เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ  นางนั้นเพียงแค่สามารถรับรู้ทิศทางของพวกเขาได้ แต่ไม่อาจที่จะลอบฟังได้ถึงสิ่งที่พวกเขาสนทนากัน  รวมถึงไม่รู้ด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นนำม้วนไม้ไผ่ที่ระบุข้อมูลแผนที่มาด้วยหรือไม่  แต่ถึงแม้ว่าพวกนั้นจะพกมันมาด้วย เมื่อพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิ มันก็เหมือนกับว่าตนเองนั้นจะไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปใช้กำลังแย่งชิงมา

พวกเขามาแล้ว และต้องไม่ยอมปล่อยจวินโม่ซีไปอย่างแน่นอน เหตุใดนางถึงได้ลืมให้เจ้าเชียนอ้าวเซี่ยหาข่าวของจวินโม่ซีเตรียมเผื่อไว้  แต่ถ้าหากว่ามู่เฉียนซีในวันนี้ อยากที่จะให้หอเชียนอินนั้นรับเรื่องก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร

เมื่อหาจุดที่พวกเขาอยู่พบแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้รับการต้อนรับอย่างเคารพนอบน้อม  คนเหล่านั้นถือเอามู่เฉียนซีเป็นท่านผู้นำรองของหอเชียนอินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าตามหาบุรุษผู้หนึ่ง…”

มู่เฉียนซีบอกรายละเอียดเกี่ยวกับจวินโม่ซีไปรอบหนึ่ง ผู้ดูแลผู้นั้นจึงกล่าวขึ้น “แม่นางมู่ มีกลุ่มคนชุดขาวกลุ่มหนึ่งให้ราคาสูงมากเพื่อให้หาข่าวนี้ขอรับ”

มู่เฉียนซีถามขึ้น “พวกเจ้ารับทำงานนี้แล้วรึ ?”

พวกเขากล่าว “ใช่ขอรับ พวกนั้นให้ราคาสูงเป็นอย่างมาก”

“อืม ข้าให้เป็นสองเท่า จงจัดการก่อกวนพวกเขา อย่าให้พวกเขาหาคนผู้นั้นพบ” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงแข็ง

“คำสั่งของแม่นางมู่นั้น พวกเรารับฟังอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องจ่ายสองเท่านั้นมิต้องหรอกนะขอรับ” ผู้ดูแลกล่าวขึ้น

ล้อกันเล่นแล้ว!  สตรีผู้นี้คือผู้ที่ท่านผู้นำหอเชียนอินของพวกเขาสนใจมากที่สุด ต่อให้ขัดต่อกฎทางธุรกิจพวกเขา อย่างไรพวกเขาก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งนาง

มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว ถามขึ้น “ทำเช่นนี้จะไม่ดีเอาหรือไม่ ?”

“ไม่เป็นไรเลยขอรับ พวกเราสามารถทำแบบเทวดาไม่รู้ผีไม่เห็นได้” “อืม ถ้าเช่นนั้นก็… เส้นทางที่คนของหุบเขาหมอเทวดาไปสำรวจทางทะเล เอามาให้ข้า”

พวกเขาตะลึงงัน จากนั้นหนึ่งในผู้ดูแลกล่าวอย่างเป็นกังวล “แม่นางคิดจะออกทะเลหรือขอรับ ? ท้องทะเลแถวนี้นั้นอันตรายนัก มีคนเลวไม่น้อยอยู่บนทะเลและบนเกาะนะขอรับ”

บนบกแห่งทวีปเซี่ยโจวที่กว้างใหญ่นั้นมีความสงบสุขเป็นอย่างมาก เพราะมีแคว้นใหญ่ต่าง ๆ และสำนักนิกายระดับหนึ่ง—สำนักอวิ๋นเยียนคอยดูแลอยู่  แต่ทะเลนั้นอันตรายเกินไป คนของหุบเขาหมอเทวดาสามารถเดินทางท่องไปในทะเลได้ ก็เพราะว่าพวกเขานั้นมีพลังที่แข็งแกร่ง

“ไม่เป็นไร ข้ารู้ดี” เมื่อไม่สามารถใช้กำลังเข้าแย่งแผนที่มาได้ มู่เฉียนซีจึงวางแผนว่าจะไปดูที่ทะเลว่านางจะสามารถหาเบาะแสอะไรได้หรือไม่

“อื้ม”

ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้ห้ามมู่เฉียนซี ทว่าทันทีที่นางออกไป พวกเขาก็ได้ไปรายงานต่อท่านผู้นำหอเชียนอินของพวกเขาทันที  ถ้าหากว่าแม่นางมู่เป็นอะไรไปขึ้นมา พวกเขาจะต้องถูกลงโทษจนตายอย่างแน่นอน

แคว้นซูรื่อนั้นอยู่ติดทะเล ในทะเลนั้นมีของล้ำค่ามากมาย ถึงแม้ว่ามันจะมีอันตรายเป็นอย่างมาก แต่กลับมีคนลงไปท่องทะเลเสี่ยงชีวิตผจญภัยเพื่อค้นหามัน หลังจากที่มู่เฉียนซีเปลี่ยนไปใส่อาภรณ์แบบบุรุษเรียบร้อยแล้ว นางจึงไปที่ท่าเรือและจ้างเรือลำหนึ่งมา

คนเรือต้อนรับนางอย่างอบอุ่น เขากล่าวถามขึ้นว่า “คุณชายออกทะเลครั้งนี้คงจะออกไปฝึกตนเป็นแน่ มิทราบว่าจะไปที่แห่งใดหรือขอรับ ?”

“หน้าผาทะเลชัน” มู่เฉียนซีกล่าวชื่อสถานที่แห่งหนึ่งออกมา ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่คนของหุบเขาหมอเทวดาไปสำรวจมากที่สุด

“หน้าผาทะเลชัน ที่แห่งนั้นมีสมบัติล้ำค่ามากมายเลยขอรับ  คุณชายตาถึงจริง ๆ เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางกันเลย”

เรื่องที่เป็นสิ่งปกติธรรมดาอย่างที่สุดบนทะเลแห่งนี้ก็คือ…การปล้น คนที่ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ในทวีปเซี่ยโจวมักจะหนีลงไปอยู่ในทะเลและหาหนทางรอดชีวิตด้วยการปล้นคนที่ลงทะเลไปผจญภัย  หากพวกเขาสามารถปล้นชิงสิ่งมีค่าจากศิษย์ของสำนักใหญ่ได้ ก็จะได้รับเงินก้อนโต

ใบหน้าของคนเรือนั้นซีดเผือด พวกโจรที่ทำอาชีพเช่นนี้มีกฎอยู่ว่า พวกเขาจะไม่ลงมือกับคนธรรมดาทั่วไป  มิเช่นนั้นก็ไม่มีคนกล้าแล่นเรือ แล้วพวกเขาจะไปปล้นใคร ?

“เจ้าหนู นำเอายาเม็ดและหยกวิญญาณที่เจ้านำติดตัวไว้ออกมาทั้งหมด แล้วพวกเราจะไม่ฆ่าเจ้า”

ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้อยู่ในระดับราชา ถือว่าไม่อ่อนแอเกินไปนัก มู่เฉียนซีเองก็ไม่ได้พูดพร่ำให้มากความ นางลงมือทันที

“ผนึกมังกรวารี!”

มังกรวารีลำตัวยาวตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำทะเล

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

ความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีทำให้พวกนั้นประหลาดใจยิ่งนัก “ปรมาจารย์ภูตระดับเก้า เจ้าหนุ่มผู้นี้อายุยังน้อยนัก กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สวรรค์เล่นตลกแล้ว!”

คนอื่น ๆ ก็พากันกล่าวขึ้น “ฮ่า ๆ ๆ อายุเท่าไรนั้นข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเราได้เจอกับแพะตัวอ้วน ๆ เข้าแล้ว”

อายุเพียงเท่านี้แต่เป็นปรมาจารย์ภูตระดับเก้า เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องเป็นอัจฉริยะที่ทางสำนักให้ความสำคัญในการเลี้ยงดูฝึกฝนเป็นอย่างมากแน่นอน หากไม่ใช่แพะตัวอ้วน ๆ แล้วจะเป็นอะไรไปได้ ?

ตรงจุดนี้พวกเขาไม่ได้คาดเดาผิดไป ทรัพย์สมบัติที่ติดตัวมู่เฉียนซีมานั้น มีมากเสียจนพวกเขาไม่คิดไม่ฝันถึงว่าจะมากเช่นนี้ แต่ก็ต้องมาดูกันว่าจะสามารถปล้นมันไปได้หรือไม่

การที่จะปล้นผู้นำตระกูลมู่นั้น มันง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหนกันเล่า ?!

.

.

.