ตอนที่ 369

The Divine Nine Dragon Cauldron

เฉินคงยิ้มและมองรอบๆ เขาปรากฏตัวอย่างสง่างาม

 

ตอนนั้นเองเขาก็มองผ่านซือหยู เขายิ้มอย่างไม่แยแส

 

“เจ้ามาหาใครกัน?”

 

ผู้คนทั้งหมื่นคนเงียบกริบ

 

ทุกคนมองตามสายตาเฉินคงไปทางซือหยู

 

ซือหยูยังคงเยือกเย็นแม้จะมีสายตานับหมื่นคู่จ้องมอง เขามองเก้าอี้เมฆาหิมะอย่างอ่อนโยน เขาพูดสั้นๆแต่หนักแน่น

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อเซี่ยนเอ๋อ เพื่อนางคนเดียวเท่านั้น”

 

เขามาจากดินแดนห่างไกลผ่านเทือกเขามากมาย ทั้งหมดก็เพื่อได้เจอเซี่ยนเอ๋อ

 

…เพียงเท่านั้น

 

เหล่าผู้คนนับหมื่นเบิกตากว้าง ในการจับคู่เมื่อหกวันก่อน เฟิงเซี่ยนได้หมั้นหมายกับเฉินคงไปแล้ว และนี่ยังถูกตัดสินจากจ้าววิหคเพลิงด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีข้อโต้แย้งใด

 

แต่ในตอนนี้เฉินคงเพิ่งจะเคลื่อนไหว

 

เฟิงเซี่ยนคือผู้หญิงของเฉินคง

 

การที่เฉินคงออกมาจากเก้าอี้เมฆาหิมะที่เป็นของเฟิงเซี่ยนนั่นอธิบายได้ทุกอย่าง

 

และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเฟิงเซี่ยนให้เฉินคงได้ใช้เก้าอี้เมฆาหิมะโดยเจตนาหรอกรึ? นางทำเช่นนี้ก็เพื่อจะได้บอกทั้งโลกว่านางจะไม่แต่งงานกับใครอื่นนอกจากเฉินคง

 

ซือหยูเผยความตั้งใจที่จะท้าทายเฉินคงต่อหน้าทุกคนตั้งแต่เริ่ม!

 

“เขาบ้าไปแล้วรึ? เขากำลังจะสู้กับเฉินคงเพราะสตรีคนเดียว!”

 

หญิงสาวคนหนึ่งเบิกตากว้าง

 

“มีแต่จะทำให้ตัวเองอับอายเท่านั้น ทุกงานชุมนุมวิหคเพลิงก็มักจะมีคนเช่นนี้อยู่บ้าง”

 

เหล่าศิษย์สตรีที่แก่กว่าส่ายหน้า

 

“เช่นนั้นรึ? สำหรับข้า ข้าว่าการที่เขากล้าท้าทายเฉินคงต่อหน้าทุกคนนั้นแสดงให้เห็นถึงความกล้าเหนือผู้ใดของเขา แค่ความกล้าหาญอย่างเดียวก็เหนือกว่ายอดฝีมือทั้งหมดที่นี่แล้ว!”

 

 

เฉินคงยิ้มและพูดอย่างเรียบเฉย

 

“เปลี่ยนเป็นคนอื่นเถอะ เจ้าไม่คู่ควรกับนาง”

 

แม้ดูเหมือนเขาจะแนะนำด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้เหมือนคนที่จะแนะนำแม้แต่น้อย มันราวกับคำสั่งเสียมากกว่า

 

เขาฝืนชิงคู่หมั้นของซือหยูไปและยังสั่งให้ซือหยูไม่ชิงนางกลับมาอีกรึ?

 

ซือหยูเยือกเย็นราวกับวารีไร้คลื่น

 

“เซี่ยนเอ๋อคือผู้หญิงของข้า”

 

แม้จะเป็นประโยคเดียว มันก็ดุร้าย หนักแน่น และเกรี้ยวกราด

 

ความกล้าเช่นนี้สั่นคลอนผืนปฐพี ความเยือกเย็นที่มองเฉินคงด้วยความเหยียดหยามได้ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหวอย่างมาก

 

ในโลกใบนี้ ยังมีคนที่กล้าต่อกรกับเฉินคงอยู่อีกหนึ่งคน!

 

“พยายามไปก็ไร้ประโยชน์”

 

เฉินคงส่ายหน้าและยิ้ม เขาเดินผ่านซือหยู

 

ในสายตาอันอ่อนโยนนั้น เขาไม่ได้เห็นซือหยูหรือใครอื่น เขาเห็นแต่เพียงฟ้าดิน

 

นั่นก็เพราะเขาตัดสินว่าทุกสิ่งอยู่ใต้เขา

 

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครเลยที่จะสู้กับเขาได้ สิ่งเดียวที่หยุดเขาได้คือทั้งจักรวาล

 

การโต้วาทีสั้นๆของทั้งสองทำให้บรรยากาศของที่นี่หม่นหมองลงอย่างมาก

 

“ตามจริงแล้วซือหยูมีพรสวรรค์เหนือผู้คน รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินคงเลย”

 

“แต่ก็น่าเสียดายที่เขาเกิดช้ากว่าไม่กี่ปี เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตามทันเฉินคงในตอนนี้ไปตลอดชีวิต”

 

เหล่าหญิงสาวหลายคนประทับใจกับซือหยู แต่พวกนางก็แอบเห็นใจเขา

 

ในตอนนี้ เหล่าบุรุษผู้โดดเด่นจากทุกมุมของทวีปได้มารวมตัวกันแล้ว

 

พวกเขาเพียงแค่รอการมาถึงของจ้าววิหคเพลิงเท่านั้น หลังจากนางมาถึง เหล่าชายหนุ่มจะเลือกคนที่ชอบและประลอง

 

ถ้าหากมีมากกว่าหนึ่งคนที่ชอบคนเดียวกัน พวกเขาจะต้องตัดสินว่าใครเหนือกว่า ผู้ที่มีพลังมากกว่าจะได้หญิงสาวที่ต้องการไปครอง

 

โฮก—

 

ทันใดนั้น เสียงร้องของวิหคเพลิงก็ดังก้องนภา

 

แสงสีสดใสเปล่งประกายจากส่วนลึกของดินแดนวิหคเพลิง

 

ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว

 

“ท่านจ้าวคณะ!”

 

ศิษย์สตรีนับหมื่นโค้งคำนับทันที

 

คนนับหมื่นที่ทำความเคารพนั้นน่าตกใจ มันทำให้ที่นี่ดูยิ่งใหญ่

 

เหล่าชายหนุ่มแสดงความนับถือ เพราะแสงนี้คือตัวแทนของจ้าวแห่งวิหคเพลิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในทวีป

 

แสงนี้เป็นตัวแทนของคนที่ไร้เทียมทานและสง่างาม…ผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด

 

จ้าวแห่งวิหคเพลิง!

 

แสงสาดส่องทั่วทุกพื้นที่บดบังแสงตะวันจันทรา

 

ราวกับว่านี่คือแสงเดียวของฟ้าดิน!

 

แสงอันตระการตาทำให้ทุกคนมิอาจมองได้ตรงๆ ซือหยูหรี่ตามองและใช้พลังดวงตา เขาแทบจะมองผ่านแสงนั้นไปไม่ได้

 

แสงนั้นคือสตรีวัยกลางคนที่แต่งงานแล้วผู้ทั้งสง่างามและงดงาม

 

แม้นางจะอายุเกินกว่าสี่สิบปี ผิวของนางก็สดใสเรียบลื่น และนางยังมีรูปร่างที่ดี

 

นางสวมสุดที่ประดับตกแต่งด้วยสีทั้งสี่อย่างเรียบง่ายและดูสูงส่ง

 

ทุกการเคลื่อนไหวของนางละเอียดอ่อน สุขุม และยิ่งใหญ่

 

ซือหยูตกอยู่ในภวังค์เมื่อเห็นนาง

 

ช่างเป็นสตรีที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! ความสง่างามของนางนั้นไม่มีใครเทียบได้เลย!

 

นางไม่ได้มีใบหน้าที่สวยงามอย่างเซี่ยจิงหยูและไม่ได้อ่อนเยาว์และงดงามอย่างเซี่ยนเอ๋อ แต่ก็ยากที่จะพบสตรีอย่างนางที่ละเอียดอ่อนและสง่างามได้ถึงเพียงนี้

 

พรึ่บ–

 

แสงศักดิ์สิทธิ์หายไป เหลือแต่เพียงเงา ฟ้าดินกลับมาเป็นดังเดิม

 

จ้าววิหคเพลิงหายตัวไป

 

แต่เสียงนางก็ดังมาจากที่นั่งของผู้ชม

 

“มีการเปลี่ยนแปลงกฎเล็กน้อยในครั้งนี้ สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่านโปรดเบาใจ!”

 

เร็วมาก! ทุกคนตกตะลึง!

 

ซือหยูสัมผัสรังสีพลังที่ปล่อยออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ราวกับว่านางเคลื่อนไหวมายังที่นั่งคนดูในทันทีทันใด

 

แข็งแกร่ง! คนคนนี้แข็งแกร่งมาก

 

“เปลี่ยนแปลงรึ?”

 

เหล่าผู้คนสีหน้าเคร่งเครียด

 

“เราต้องยึดถือการตัดสินใจของจ้าววิหคเพลิงเป็นหลัก”

 

พวกเขามาเพื่องานจับคู่ พวกเขาจะกล้าทำให้จ้าววิหคเพลิงไม่พอใจได้อย่างไร?

 

“เตรียมการประลอง การประลองแรก การประลองคัดเลือก”

 

“ในบรรดาพวกเจ้าหลายร้อยคน มีแค่ร้อยลำดับแรกเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เลือกสตรีที่เจ้าต้องการ เมื่อเจ้าเลือกแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด”

 

เสียงของจ้าววิหคเพลิงนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมสดชื่น

 

เหล่ายอดฝีมือล้วนอยากจะต่อสู้

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำเพื่อสตรี วพกเขาก็อยากจะแสดงพลังที่แท้จริง เพื่อที่พวกเขาจะได้สร้างชื่อในทวีป

 

“เทียนฟาง ต่อไปเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว”

 

จ้าววิหคเพลิงชี้แนะ

 

“ค่ะ ท่านอาจารย์!”

 

มู่เทียนฟางตอบรับและหยิบผีเสื้อหยกร้อยห้าสิบชิ้นออกมา วิหคเพลิงอันงดงามและหมายเลขถูกสลักอยู่บนผีเสื้อหยก

 

ผัเสื้อหยกถูกมอบให้กับเหล่ายอดฝีมือทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบคน

 

หมายเลขของซือหยูคือหนึ่งร้อยห้าสิบ

 

“หนึ่งกลุ่มจะมีสิบคน ทุกคนที่ชนะสองครั้งจะได้เป็นร้อยลำดับแรก ยิ่งมีลำดับสูงเท่าใดก็มีโอกาสมากกว่าที่จะได้เลือกสตรีที่เจ้าชอบ”

 

หรืออีกอย่างก็คือจะมีการประลองเป็นกลุ่มย่อย ถ้ามีใครเอาชนะได้หมดก็จะอยู่ในอย่างร้อยสิบห้าลำดับแรก และมีโอกาสได้เลือกสตรีที่ชื่นชอบ

 

แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสิบห้าลำดับแรกจะเกิดอะไรขึ้นกัน? จะแบ่งตัดสินลำดับกันอย่างไร?

 

“แบ่งกลุ่มตอนนี้! กลุ่มแรกโปรดเตรียมตัว”

 

มู่เทียนฟางสั่งการ

 

ซือหยูมองออกไปและเห็นซงหลวนอยู่ในกลุ่มแรก

 

กระบี่ปีศาจซงหลวน กระบี่ของเขาอยู่ที่ใดกัน?

 

ร้อยดินแดนนั้นรกร้างขาดแคลน ดังนั้นจึงยากที่นามของซงหลวนจะเป็นที่รู้จักในทวีป

 

ส่วนเรื่องที่เขาเก่งกาจในเรื่องใด คนนอกไม่มีทางได้รับรู้

 

พวกเขารู้เพียงอย่างเดียวว่านามของชายคนนี้คือกระบี่ปีศาจ

 

แต่เขาไม่เคยพกกระบี่เลย

 

ซือหยูมองดูการต่อสู้เงียบๆอย่างคาดหวัง

 

“การประลองแรก ซงหลวนจากร้อยดินแดนปะทะหลิวกังจากสำนักห่าวหลานแห่งร้อยดินแดน”

 

หลิวกังเป็นอำมฤตระดับสอง

 

ซงหลวนขึ้นลานประลองด้วยความอิ่มเอิบใจ เขามองหลิวกังและพยักหน้าชมเชย

 

“ข้าได้ยินชื่อเจ้ามาก่อน เจ้าคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในร้อยดินแดน แต่อยู่ภายนอกตำหนักเฉินเทียน”

 

ตำหนักเฉินเทียนรับยอดฝีมือในร้อยดินแดนไว้ทั้งหมด แต่ก็มีผู้ที่โดดเด่นอีกหลายคนที่ไม่คิดจะเข้าตำหนักเฉินเทียนด้วยเหตุผลบางประการ

 

หลิวกังคือหนึ่งในนั้น

 

หลิวกังแสดงความนับถือ

 

“ซงหลวน เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว!”

 

ทุกคนที่อยู่ในร้อยดินแดนต่างรู้สึกซงหลวนว่าเป็นตำนานที่ต้องแหงนหน้ามอง

 

แต่ในตอนนี้ เขาที่กำลังจะรู้กับซงหลวนนั้นกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง

 

“หากพวกเรามีโอกาสได้ประลองกัน ก็แสดงพลังมาเถอะ”

 

ซงหลวนยิ้ม

 

หลิวกังตื่นเต้น

 

“ขออภัยด้วยซงหลวน โปรดเมตตาข้า”

 

ซงหลวนยืนมือไพล่หลังราวกับมองคนในรุ่นที่ต่ำกว่า เขาดูเจียมตัวและอัธยาศัยดี

 

“ใช้พลังทั้งหมดที่เจ้ามี นี่คือการประลอง เจ้าไม่ต้องออมมือ”

 

หลิวกังหายใจเบาๆและเปิดฉากการโจมตี

 

“ฝ่ามือแผ่นศิลายักษ์!”

 

เขาตะโกนและใช้วิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นกลาง พลังของมันไม่อ่อนแอเลย

 

ซงหลวนยืนมือไพล่หลังอยู่ที่เดิม เขาไม่โต้ตอบ

 

ผั่วะ–

 

ฝ่ามือซัดเข้าใส่ซงหลวน พลังของฝ่ามือทำให้เกิดคลื่นลมรุนแรง

 

แต่ซงหลวนก็ยังยืนนิ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลย

 

ราวกับว่าหลิวกังโจมตีมนุษย์หิน

 

ยอดฝีมือหลายคนประหลาดใจ

 

แม้เขาจะเป็นอำมฤตระดับสี่ เขาก็ต้องได้รับผลจากการโจมตีของอำมฤตระดับสองอยู่บ้างในสถานการณ์ที่ไร้การป้องกัน

 

ซงหลวนทำอะไรกัน? การโจมตีไม่มีผลกับเขาแม้แต่นิดเดียว!

 

เหล่าคนดูจ้องมองเขาและเห็นชั้นอากาศโปร่งใสรอบกายซงหลวน

 

การโจมตีของหลิวกังถูกคลื่นลมนั้นยกเลิก

 

“เขาใช้พลังวิญญาณป้องกันตัว!”

 

บางคนเริ่มรับรู้

 

“สมกับเป็นอำมฤตระดับสี่ พลังวิญญาณอย่างเดียวก็เหนือกว่าพลังโจมตีแล้ว ยากที่จะผ่านชั้นพลังวิญญาณนั่นได้”

 

ซือหยูมองเขาหัวจรดเท้า

 

“นี่น่ะรึกระบี่ปีศาจ! พลังวิญญาณน่ากลัวยิ่งนัก!”

 

ในสายตาคนนอก ซงหลวนเพียงแค่ปล่อยพลังวิญญาณของอำมฤตระดับสี่ออกมา แต่ซือหยูนั้นเห็นรายละเอียดที่ลึกยิ่งกว่า

 

ซงหลวนปล่อยพลังวิญญาณออกมาแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

 

ยังมีพลังวิญญาณที่น่ากลัวอีกมากซ่อนอยู่ในร่างของเขา

 

พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมานั้นยังไม่ถึงหนึ่งในสามที่เขามี!

 

ในบรรดาอำมฤตระดับสี่ด้วยกัน พลังวิญญาณระดับนี้นับว่าขัดต่อบัญชาสวรรค์ยิ่งนัก

 

ไม่แปลกใจเลยที่ซงหลวนที่ดูอ่อนโยนจะซุกซ่อนพลังไว้ลึกล้ำเช่นนี้

 

“วิชาของเจ้าแข็งแกร่งดุดัน แต่วิธีใช้ของเจ้ายังไม่ชำนาญนัก เจ้าเพียงแสดงพลังของมันออกมาได้แปดในสิบส่วนเท่านั้น หลังจากที่เจ้าลงไป ลองปรับให้ดีกว่านี้แล้วเจ้าจะต้องเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน”

 

ซงหลวนให้ความเห็น

 

หลิวกังตื่นเต้นและทำความเคารพ

 

“ข้าจะจำคำชี้แนะนี้ให้ขึ้นใจ”

 

“เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าลงไป”

 

ซงหลวนแกว่งแขนเสื้อเบาๆ

 

ภาพประหลาดปรากฏขึ้น

 

แม้มือของซงหลวนจะว่างเปล่าไร้อาวุธ เขาก็ปล่อยพลังกระบี่ออกมาและส่งหลิวกังลงไปจากลานประลองได้อย่างแผ่วเบา!

 

กระบี่ของเขาอยู่ที่ใดกัน?

 

ส่วนการประลองต่อๆไปก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าดูชมอีก

 

ซงหลวนเพียงใช้แค่กระบวนท่าเดียว เมื่อเขาโบกมือ เขาก็ปล่อยพลังกระบี่ออกมาส่งอีกฝ่ายลงจากลานประลอง

 

ไม่ว่าจะเป็นอำมฤตระดับสองหรือสามก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

เขาชนะยอดฝีมือที่แข็งแกร่งทุกคนในกระบวนท่าเดียว!

 

ยังมีช่องว่างที่ยากจะก้าวข้ามระหว่างอำมฤตระดับสี่และระดับสาม ช่องว่างนั้นกว้างเกินไป!

 

“กลุ่มแรก ซงหลวนชนะทุกการประลอง!”

 

“กลุ่มต่อไป เตรียมตัวให้พร้อม!”

 

ด้วยระบบเช่นนี้ การประลองดำเนินต่อไปตามลำดับ

 

การประลองงระหว่างอำมฤตระดับสามนั้นน่าตื่นตา การประลองต่อๆไปล้วนคุ้มค่าที่ได้รับชม ตลอดการประลองก็จะมีเสียงกรีดร้องของเหล่าหญิงสาวดังขึ้น

 

แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นการประลองของอำมฤตระดับสี่ การประลองจะจบอย่างรวดเร็วดั่งกลุ่มแรก

 

การประลองของระดับที่ต่างกันนั้นไม่น่าอภิรมย์สักเท่าใดนัก

 

ซือหยูมองดูการประลองของพวกอำมฤตระดับสี่อย่างตั้งใจ

 

แต่ก็น่าเสียดายที่เมื่อพวกเขาต่อสู้ พวกเขาเอาชนะศัตรูในกระบวนท่าเดียวอย่างง่ายดายเสียทุกครั้ง

 

เฉินคง เว่ยฉีหลิน และหลิวลี่ก็ไม่ต่างกัน

 

เพิ่มเติมไปกว่านั้น เฉินคงไม่ได้ลงมืออะไรเลย เพราะว่าไม่มีใครเต็มใจจะสู้กับเขา ทุกคนที่ขึ้นลานประลองล้วนยอมแพ้

 

เพราะเฉินคงนั้นไร้เทียมทาน ใครกันจะสู้เขาได้?

 

“กลุ่มสุดท้าย”

 

ถึงคราวของซือหยู

 

“การประลองแรก หยินหยูจากอาณาจักรทมิฬปะทะกับหลี่ชานหมิงแห่งหอสดับหิมะ”

 

หลี่ชานหมิงอายุยี่สิบปีและเป็นอำมฤตระดับสาม

 

เทียบฐานพลังกันแล้ว เขาเทียบเท่ากับจางซือยี่ที่เป็นมหาบุตรลำดับสี่

 

พวกเขามีพลังต่างกันเพียงเล็กน้อย

 

พรึ่บ–

 

ซือหยูกับหลี่ชานหมิงบินขึ้นลานประลอง

 

“จำเป็นที่พวกเราต้องประลองกันหรือไม่?”

 

ซือหยูยืนมือไพล่หลัง

 

ด้วยฐานพลังอย่างเดียวซือหยูก็เหนือกว่าเขาแล้ว

 

“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากสู้เล่า? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเฉินคงที่จะทำให้ข้ายอมแพ้โดยไม่ได้สู้รึ?”

 

หลี่ชานหมิงหยิบอาวุธออกมาจากข้างหลัง น่าประทับใจยิ่งนักที่มันเป็นธนู!

 

ใบหน้าเขามั่นใจ เขาพูดอย่างโอหัง

 

“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีฝีมือด้านธนู ข้าไม่พอใจที่ได้ยินเช่นนั้น ข้าต้องสู้กับเจ้า!”