มอมอตกใจจนเข่าอ่อน “พระสนม บ่าวไม่ทราบจริงๆ นะเจ้าคะ! เมื่อครู่ฮองเฮาหยิบกริชขึ้นมา บ่าวก็ยังตกใจอยู่นาน หากบ่าวทราบว่าฮองเฮามีมีดอยู่ในมือ ต่อให้โดนโบยจนตายก็จะไม่ยอมให้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเด็ดขาด! หากเกิดอันใดขึ้นกับฝ่าบาท บ่าวมิต้องตกตายตามไปหรือ มิใช่ว่าบ่าวไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “ลุกขึ้นเถิด หลังจากที่ฮองเฮาเข้าตำหนักซือฝามาแล้ว อยู่ที่ห้องขังตลอดหรือไม่ เคยออกมาสักครั้งหรือไม่ หรือมีใครมาหาบ้างหรือไม่”
มอมอลุกขึ้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “…คราเมื่อถูกขังได้สามวัน ขุนนางของสำนักพระราชวังสองสามคนเคยมาที่นี่เจ้าค่ะ ได้พาฮองเฮากลับตำหนักเฟิงจ๋าเพื่อพิสูจน์หลักฐาน ให้ฮองเฮาชี้บอกสถานที่ซ่อนดินปืนด้วยองค์เอง…พระนางเคยออกจากตำหนักซือฝาไปคราหนึ่งจริงๆ เจ้าค่ะ”
“ระหว่างทางไปตำหนักเฟิงจ๋า ได้พบผู้ใดหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นถาม
มอมอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ร้องไปพูดไปว่า “…ไม่มีเจ้าค่ะ ต่อให้เจอผู้ใดกลางทาง กลางวันแสกๆ เช่นนั้น ทั้งคนติดตามฮองเฮาก็เป็นขโยง จะส่งของมีคมเช่นนั้นอย่างโจ่งแจ้งได้อย่างไร”
เช่นนั้นก็อาจจะมีคนมอบให้ที่ตำหนักเฟิงจ๋า
ตั้งแต่เกิดเรื่องฮองเฮาขึ้น ตำหนักเฟิงจ๋านอกจากนางกำนัลสองสามคนที่เฝ้าประตูด้านนอกสุดแล้ว คนอื่นๆ ถูกจับเข้าคุกก็จับเข้าคุก ถูกปรับตำแหน่งก็ปรับ รวมถึงไป๋ซิ่วฮุ่ยก็ด้วย ทั่วทั้งตำหนักรกร้างไร้ผู้คน น่าจะมิใช่คนของตำหนักเฟิงจ๋าที่ทำ…อวิ๋นหว่านชิ่นตากระตุก “วันนั้นตอนที่ฮองเฮาพิสูจน์หลักฐาน พวกเจ้าได้ติดตามไปด้วยตลอดหรือไม่”
มอมอลังเลครู่หนึ่ง “ตอนที่ใกล้จะกลับ ฮองเฮาบอกว่าอยากจะไปดูต้นไม้ที่ปลูกไว้ที่เรือนหลังของตำหนักจะได้ถือโอกาสดูตำหนักเฟิงจ๋าด้วยสักครา บอกว่าหาโอกาสอีกก็ยากแล้ว ท่านก็รู้ แม้ฮองเฮาจะถูกขังอยู่ที่ตำหนักซือฝา แต่นางยังไม่ได้ไปสำนักพระราชวัง ซ้ำฝ่าบาทก็ยังมิได้มีพระราชโองการถอดถอนตำแหน่งนาง นางก็ยังคงเป็นฮองเฮาอยู่ เรื่องภายในวังล้วนไม่แน่นอน เรื่องลดขั้นก่อนแล้วค่อยเลื่อนตำแหน่งให้ทีหลังมีให้เห็นอยู่มากมาย ทุกเรื่องต้องเหลือทางให้ผู้อื่นรอดบ้าง จะเด็ดขาดตัดเยื่อใยไปเลยมิได้ ไม่แน่ว่าภายหน้าอาจได้พบกันอีก พวกบ่าวจึงมิกล้าปฏิเสธอย่างรุนแรงเกินไป คิดไปคิดมา อย่างไรเสียก็มิได้ออกจากตำหนักเฟิงจ๋า มิใช่เรื่องใหญ่อันใด จึงอนุโลมให้ จากนั้นพวกเรารออยู่ที่ตำหนักใหญ่ ฮองเฮาอยู่ที่เรือนพักหนึ่ง ไม่นานนัก เวลาเพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น”
เวลาเช่นนี้ยังจะมีอารมณ์มาชมดอกไม้?
ระยะเวลาครึ่งก้านธูปก็เพียงพอที่จะเกิดเรื่องขึ้นได้มากมาย
กำแพงเรือนหลังตำหนักเฟิงจ๋ามีประตูข้างเล็กๆ เชื่อมไปสู่ด้านนอก หากมีคนเข้ามาพบฮองเฮาสองต่อสองก็มิใช่เรื่องยากอันใด
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “เอาล่ะ เจ้าไปเถิด เรื่องนี้ก็อย่าได้แพร่งพรายออกไป”
มอมอรีบพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองพระสนมม่อคราหนึ่งแล้วรีบจากไป
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นมอมอเดินไปไกลแล้ว ก็เดินออกจากตำหนักซือฝาพร้อมกับอวิ๋นหว่านชิ่นเพื่อไปยังตงกงอย่างช้าๆ เห็นนางยังคงครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ก็อดจะเอ่ยขึ้นมิได้ว่า “เจ้ามิต้องคิดมากแล้ว สวรรค์มีตา หลายปีก่อนนางเกือบจะวางยาฉินอ๋องให้ตาย ยามนี้ก็นับว่าได้รับกรรมที่ก่อแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางคราหนึ่ง ไม่ได้พูดอันใด
เมี่ยวเอ๋อร์มองท่าทางนางออกจึงเอ่ยถามว่า “ทำไมล่ะ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่านางมิใช่คนที่ทำร้ายฉินอ๋อง”
“ตอนที่ฉินอ๋องถูกทำร้ายในคราเด็ก เป็นช่วงที่พระสนมเอกเฮ่อเหลียนกำลังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท มีโอรสให้ก็ยิ่งได้หน้าเข้าไปใหญ่ ทำพวกสนมนางในต่างอิจฉาริษยา” อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “นอกจากสายตาฮองเฮาที่คอยจดจ้องสองแม่ลูกไว้ตลอดแล้ว น่าจะมีสนมอีกมิใช่น้อยๆ ที่ตอนนั้นกำลังไม่พอใจพระสนมเอกเฮ่อเหลียน ซ้ำยังแอบเอายาพิษเข้าวังมา เกรงว่าต้องสงสัยทุกคนไว้ก่อน”
อย่างเช่นพระมเหสีรองเหวย ลางสังหรณ์บอกนางว่าไม่น่าจะเป็นพระนางได้
ในตอนนั้นพระนางเข้าวังมาแล้ว แม้จะมิใช่พระสนม แต่ฐานันดรก็สูงกว่าเฮ่อเหลียนหลายขั้น อีกทั้งพระนางยังตั้งครรภ์แล้วด้วย
นอกจากนี้ ดูๆ จากการกระทำและท่าทางที่หาเรื่องตบตีกับเฮ่อเหลียนมาสิบกว่าปีแล้วนั้น ครานั้นนางก็น่าจะโอหังอวดดีต่อเฮ่อเหลียน มีอันใดขวางหูขวางตาก็ไปหาเรื่อง
เมี่ยวเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น “ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น เจี่ยงซื่อนั่นคงจะตั้งใจพูดให้เจ้าหวาดระแวง ให้จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ ให้เจ้าไม่สบายใจไปตลอดชีวิต”
ที่เมี่ยวเอ๋อร์พูดมาก็ถูก ดูจากนิสัยที่ไม่ยอมให้ผู้ใดได้มีชีวิตที่สงบสุขของเจี่ยงซื่อแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะทำคนไม่สบายใจก่อนตายได้
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้กล่าวอันใดอีก
พอถึงทางแยกเล็กๆ เมี่ยวเอ๋อร์ก็ถามขึ้นว่า “เจ้าจะไปตงกงหรือไม่”
ขาที่กำลังจะเดินไปทางอารามฉางชิงก็พลันชะงัก อวิ๋นหว่านชิ่นหันกลับมา มองสวนป่าในตงกงที่เรียงกันเป็นทิวแถว
ไม่กี่เพลาก่อนพึ่งจะเอ่ยปากไว้ว่าจะไม่ไปเหยียบตงกงอีก แต่พระองค์เป็นคนรับมีดแทนนางไว้ ช่างเถิด…มิอาจให้ใครมาว่านางได้ว่าเป็นคนใจดำอำมหิต ไปดูสักหน่อยว่าไส้ของพระองค์ไหลออกมาหมดหรือยัง
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดนานก็เบี่ยงเท้าตามเมี่ยวเอ๋อร์ไปตงกงด้วยกัน
ณ ลานในตำหนักซงหยวนของตงกง
เจี่ยงอวี๋ สวีเหลียงหยวนและหลานเจาซวิ่นเดินไปเดินมากันด้วยความร้อนใจอยู่ด้านนอก ต่างชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในตำหนักกันไม่หยุด
ในที่สุด ขันทีคนสนิทของไท่จื่อก็เดินออกมา พวกนางสายตาพลันสว่างวาบ วิ่งเข้าไปหากันใหญ่
“ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนไปตำหนักซือฝายังดีๆ อยู่เลย บาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไร เจ็บตรงไหนเข้าหรือ”
“หม่อมฉันอยากเข้าไปดูฝ่าบาท…”
ขันทีได้รับคำสั่งจากเหยากงกงเอาไว้ จึงใช้ข้ออ้างที่เตรียมมาแล้วกล่าวเสริมเพิ่มไปอีกหน่อยว่า “พระสนมพวกท่านกลับกันไปก่อนเถิด ไท่จื่อปลอดภัยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ ยังทรงไม่อยากพบใครตอนนี้”
พวกนางเห็นไท่จื่อได้รับบาดเจ็บอย่างมีลับลมคมใน เตรียมจะถามอีกสองสามคำ เห็นขันทีรีบไล่จึงทำได้เพียงเดินกลับไปยังประตูตำหนักก็เจอเข้ากับพระสนมม่อและพระชายาฉินอ๋องเข้าตำหนักมาพอดี
ทั้งสองกลุ่มพบกันจึงหยุดฝีเท้าลง เจี่ยงอวี๋และคนอื่นๆ ถวายคำนับแก่พระสนมม่อ สายตากลับไปตกอยู่ที่อวิ๋นหว่านชิ่น
“พระชายาฉินอ๋องพึ่งจะไปตำหนักซือฝากับไท่จื่อมา เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดพระองค์จึงบาดเจ็บได้” เจี่ยงอวี๋มองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยความสงสัย
เมี่ยวเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ กล่าวกับขันทีตรงหน้าเสียงดัง “อันใดกัน กงกงมิได้บอกพระประสงค์ของฮ่องเต้ให้เหล่าสตรีของตงกงทราบหรือ”
ขันทีรีบจับชายผ้าขึ้นแล้วเดินลงมา กล่าวอย่างตื่นตะหนกว่า “บอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” แล้วหันไปบอกกับเจี่ยงอวี๋ว่า “ฮ่องเต้มีรับสั่งมิให้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เรื่องที่ไท่จื่อทรงบาดเจ็บ ทุกท่านก็อย่าได้ออกความเห็นใด ยิ่งมิควรเอาไปพูดกันภายนอก เชิญพระสนมรองกลับไปก่อนเถิด”
เรื่องที่ตำหนักซือฝาถูกปิดเป็นความลับแน่นหนา ยิ่งทำให้พวกนางสนมสงสัยใคร่รู้ยิ่งไปอีก
แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อพระราชโองการ หลานเจาซวิ่นดึงแขนเสื้อเจี่ยงอวี๋ “ช่างเถิดพระสนม กลับกันก่อนเถิด”
เจี่ยงอวี๋จึงได้ออกจากตำหนักซงหยวนไปกับหลานเจาซวิ่นและสวีเหลียงหยวน
ขันทีรู้จุดประสงค์ในการมาของพระสนมม่อ เห็นพวกเจี่ยงอวี๋เดินไปกันแล้วจึงได้พรูลมหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ขอพระสนมกลับไปทูลฝ่าบาทว่า หมอหลวงได้ห้ามเลือดของไท่จื่อแล้ว ล้างแผลทำแผลเรียบร้อย โชคดีที่ฉลองพระองค์ของฤดูหนาวหนาจึงเข้าเนื้อไปไม่ลึก พักรักษาตัวไม่กี่วันก็หายพ่ะย่ะค่ะ”
เมี่ยวเอ๋อร์พยักหน้า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ระวังให้มากหน่อย ระยะนี้ก็ดูแลรับใช้พระองค์ให้ดี ไท่จื่อเป็นถึงเสาหลักแห่งความแข็งแกร่ง อย่าให้บาดเจ็บได้”
ขันทีรับคำ เมี่ยวเอ๋อร์ถามไถ่อีกสองสามประโยคก็รีบกลับไปถวายรายงานแก่ฮ่องเต้ จึงไม่อยู่นาน อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิด ในเมื่อมาแล้วก็เข้าไปดูเสียหน่อย จึงคำนับส่งพระสนมม่อแล้วเข้าตำหนักซงหยวนไปด้วยกันกับขันที