บทที่ 289 ความประหลาดใจที่แท้จริง
“พี่ใหญ่อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้าจะยอมมอบธงให้ท่านแต่โดยดี”
เซียวปิงเมื่อรู้ตัวว่าต้องพบกับเฉาพั่วเถียน เขาก็ส่งเสียงพูดตะกุกตะกัก ละทิ้งจิตวิญญาณแห่งนักสู้ และส่งมอบธงประจำเรือให้แก่เด็กหนุ่มผมทองด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ฉายขึ้นบนหน้าจอใหญ่ ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
นี่มันอะไรกัน?
เซียวปิงจะยอมแพ้ง่ายๆ อย่างนี้เองหรือ?
นี่คือครั้งแรกตั้งแต่เริ่มศึกชิงธง ที่มีผู้เข้าแข่งขันขอยอมแพ้ด้วยตนเอง
ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในการแข่งขันครั้งก่อนหน้าเลยสักครั้ง
ต่อให้รู้ตัวว่าพ่ายแพ้ แต่ส่วนใหญ่แล้วบรรดาผู้เข้าแข่งขันจะมีจิตวิญญาณแห่งนักสู้และยินดีสู้ตายถวายชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งคำสรรเสริญ
ถ้าต้องแพ้ ก็เป็นความพ่ายแพ้ที่น่าภูมิใจ
มันคือความพ่ายแพ้ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณมือกระบี่
พฤติกรรมของเซียวปิงจึงน่าอับอายมากเกินไป
เขามั่นใจว่าตนเองจะสู้เฉาพั่วเถียนไม่ได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
แต่ดูจากสีหน้าของเฉาพั่วเถียนแล้ว เขาไม่ได้ติดใจเลยสักนิดเดียว
เพราะเขาคืออัจฉริยะจากเมืองไป๋หยุน รอยยิ้มด้วยความพึงพอใจจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“อยากจะยอมรับความพ่ายแพ้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
หลินอี้ถามออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
เซียวปิงเป็นเด็กหนุ่มร่างอ้วนผิวขาวแต่ตัวสูง ไว้ผมสีดำยาวสลวย ใบหน้าจัดได้ว่าหล่อเหลาดูดีแบบผู้มีฐานะ เขาคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ถูกต้อง ในเมื่อรู้ตัวดีว่าสู้ไม่ได้ แล้วจะดิ้นรนให้เหนื่อยแรงไปทำไม? ข้าน้อยเพียงทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นสำหรับพวกเราเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายแต่อย่างใด”
หลินอี้ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่เคยพบเจอผู้เข้าแข่งขันคนใดประพฤติตัวแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
เฉาพั่วเถียนพยายามรักษาท่าที ทั้งที่ในความเป็นจริงกำลังรู้สึกมีความสุขล้นอก การทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้ได้โดยไม่ต้องต่อสู้ นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น เซียวปิงในสายตาของเขาจึงไม่ได้ถือว่าย่ำแย่เกินไปนัก
“ผู้ที่มองสถานการณ์ตามความเป็นจริง มักตัดสินใจได้ดีเสมอ ถือว่าเจ้าเลือกได้ดี”
แล้วเด็กหนุ่มผมทองก็นำธงประจำเรือของเซียวปิงกลับไปที่เรือไป๋หยุน
ในทางกลับกัน เซียวปิงยืนอยู่ที่หัวเรือ ‘บดขยี้หลินเป่ยเฉิน’ และค่อยๆ ยิ้มรับแสงตะวัน
เรือรบทั้งสองลำแล่นห่างออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
เซียวปิงไม่สนใจสีหน้าที่บอกถึงความอับอายและโกรธแค้นของผู้ติดตามทั้ง 4 คน พูดออกมาว่า “ฮ่าฮ่า แม้แต่ตัววายร้ายจอมเจ้าเล่ห์อย่างเฉาพั่วเถียน ก็ยังต้องหลงกลข้าแล้ว…ทำไมพวกเจ้าทั้งสี่คนถึงทำหน้าเหมือนบิดามารดาเสียชีวิตอย่างนั้นเล่า? มาเถอะ ยังเหลือเวลาอีกเยอะ เราเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ดีกว่า…”
สมาชิกกลุ่มทั้ง 4 คนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องมองเด็กหนุ่มร่างอ้วนด้วยสายตาเหยียดหยาม
พวกเขาไม่รู้เลยว่าเซียวปิงจะเป็นคนที่ไร้ยางอายถึงเพียงนี้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่เข้าร่วมกลุ่มด้วยหรอก
จะถอนตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
พวกเขาทั้ง 4 คนได้แต่ต้องจำยอมทนรับความอับอายขายหน้าที่เกิดขึ้น
เซียวปิงยิ้มกริ่ม หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากในอกเสื้อ พูดว่า “พวกเจ้าดูให้ดี นี่คืออะไร?”
สมาชิกร่วมกลุ่มทั้ง 4 คนมองไปยังสิ่งของที่อยู่ในมือหัวหน้ากลุ่มด้วยแววตาตกตะลึง
นั่นมันธงประจำเรือของพวกเขาไม่ใช่หรือ?
เกิดอะไรขึ้น?
เซียวปิงอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ธงที่ข้ามอบให้แก่เฉาพั่วเถียนมันเป็นของปลอม ธงประจำเรือของจริงอยู่ที่นี่ต่างหาก นี่แน่ะ ข้าสามารถส่งเจ้าเด็กหัวทองนั่นออกไปได้โดยไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ พวกเจ้าไม่คิดจะชื่นชมข้าบ้างหรือไง? เห็นสีหน้ามีความสุขของเฉาพั่วเถียนตอนที่ได้รับธงปลอมหรือไม่? ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี ฮ่าฮ่าฮ่า ทำไมข้าถึงได้ฉลาดอย่างนี้นะ?”
สมาชิกร่วมกลุ่มของเซียวปิงพร้อมใจกันเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเซียวปิงจะใช้ลูกไม้นี้
“แล้วทำไมท่านถึงไม่บอกพวกเราก่อน?”
หนึ่งในผู้ติดตามถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
เซียวปิงกลอกตามองบนและถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้านะ แต่ฝีมือการแสดงของพวกเจ้าย่ำแย่ยิ่งกว่านางคณิกาหน้าใหม่ในหอนางโลมอีก เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพวกเจ้ากำลังโกหก สู้ปล่อยให้ข้าจัดการเองคนเดียวไม่ดีกว่าหรือ?”
จังหวะนั้น สมาชิกกลุ่มทั้งสี่คนก็เริ่มกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง
“แต่ว่า…ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวเฉาพั่วเถียนก็ต้องรู้อยู่ดีว่านั่นเป็นธงปลอม เราคงปิดบังเขาไปไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก พี่เซียว”
ผู้ติดตามอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
เซียวปิงยักไหล่และยิ้มกว้าง “ข้าไม่ได้จะปิดบังเขาไปตลอดชีวิตสักหน่อย เอาไว้ครั้งหน้าที่พวกเราเจอกัน ข้านี่แหละที่จะบดขยี้เฉาพั่วเถียนเอง…”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่บดขยี้ไปตั้งแต่เมื่อสักครู่เลยล่ะขอรับ?”
เด็กหนุ่มผู้ร่วมกลุ่มคนที่สามถามด้วยความพิศวง
เซียวปิงตอบว่า “เจ้านี่มันโง่เหลือเกิน กลุ่มของเฉาพั่วเถียนบัดนี้กำลังได้ใจ เก็บชัยชนะมาต่อเนื่อง นั่นหมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่ามีแต่ต้องให้พวกเขาตัดกำลังกับพวกหลินเป่ยเฉินก่อนเท่านั้นเราถึงค่อยลงมือ เพราะต่อให้ข้าสามารถบดขยี้เฉาพั่วเถียนได้ก็จริง แต่พวกเจ้ามีปัญญาจัดการผู้ติดตามทั้งสี่คนของเขาหรือ? เห็นไหมล่ะว่ามีแต่ต้องรอให้พวกเขาถูกตัดกำลังจนอ่อนแอลงก่อนเท่านั้น พวกเจ้าถึงจะมีโอกาสเอาชนะได้“
สมาชิกร่วมกลุ่มของเซียวปิงทั้ง 4 คนต่างก็หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
นี่คือการดูถูกพวกเขาชัดๆ
แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของเซียวปิงมีเหตุผล
เด็กหนุ่มร่างอ้วนพูดต่อไปว่า “บัดนี้ พวกเรานั่งภูดูเสือกัดกันก่อนดีกว่า รอจังหวะที่เฉาพั่วเถียนกับหลินเป่ยเฉินต่อสู้กันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส นั่นแหละโอกาสของพวกเราก็มาถึงแล้ว…อะฮิอะฮิอะฮิ”
ยิ่งพูด เซียวปิงก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และอดไม่ได้ที่จะยกมือเท้าสะเอว หัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
คำพูดทุกคำของเด็กหนุ่มร่างอ้วนถูกส่งผ่านออกมาทางหน้าจอการถ่ายทอดสดที่ท่าเรือ
บรรดาคนดูได้แต่อึ้งกิมกี่
ก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองครั้งนี้ คงมีแต่หลินเป่ยเฉินเท่านั้นที่มีความไร้ยางอายไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ที่ไหนได้ ความไร้ยางอายของเซียวปิงกลับไม่ได้น้อยหน้าเจ้าแกะดำสักนิด
พวกเขามีความเจ้าเล่ห์แสนกลไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
มักทำในสิ่งที่คนธรรมดาคิดไม่ถึง
บัดนี้ มีสมาชิกกลุ่ม ‘บดขยี้หลินเป่ยเฉิน’ คนหนึ่งเอ่ยถามออกมาว่า “แล้วถ้าพวกเราต้องพบเจอหลินเป่ยเฉินก่อนพวกของเฉาพั่วเถียนล่ะขอรับ?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ เหล่าคนดูก็ได้แต่พยักหน้าว่าถามได้ดี
ถูกต้อง
แผนการทั้งหมดที่เซียวปิงวางเอาไว้ ขึ้นอยู่กับว่าเฉาพั่วเถียนต้องพบเจอเรือร้านขายอัญมณีหลิวไคของหลินเป่ยเฉินก่อนพวกเขาเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพวกเขาเองที่ต้องเผชิญหน้าหลินเป่ยเฉินก่อนเฉาพั่วเถียนเล่า เมื่อถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรกันดี?
แล้วเสียงพูดของเซียวปิงก็ดังออกมาจากหน้าจอขนาดใหญ่ว่า “เราจะโชคร้ายขนาดนั้นได้อย่างไร? ความเป็นไปได้มันต่ำมากเลยนะ แต่เอาเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ …ข้าเซียวปิงคนนี้สัญญากับเซียวซางผู้เป็นน้องชายเอาไว้แล้ว ว่าจะแก้แค้นให้เขาให้จงได้ ข้าจะทำให้หลินเป่ยเฉินต้องกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ข้าต้องทำได้แน่นอน เพราะว่าข้ายังมีของสิ่งนี้อยู่อีกเหลือเฟือ…”
พูดจบแล้ว เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็หยิบธงประจำเรือของปลอมออกมาจากด้านในอกเสื้ออีกกำมือใหญ่ มันเป็นผืนธงที่ทำเลียนแบบธงประจำเรือได้อย่างแนบเนียน นับดูแล้วมีจำนวนกว่าสิบผืนเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกร่วมกลุ่มของเซียวปิงหรือแม้แต่กลุ่มคนดูที่รับชมการถ่ายทอดสด ต่างก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
เซียวปิงไม่คิดที่จะอับอายเลยจริงๆ ใช่ไหม?
แม้แต่เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นี่คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ตลอดการแข่งขันที่ผ่านมาหลายรอบก่อนหน้านี้ เซียวปิงประพฤติตัวอยู่ในกรอบระเบียบดีทุกอย่าง
แล้วอยู่ดีๆ ทำไมเขาถึงได้เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคนนะ?
เซียวซางนั่งหลบอยู่ด้านหลังบิดา ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
บิดาของเขามีใบหน้าเครียดคล้ำ มุมปากกระตุกอยู่ตลอดเวลา ปรารถนาจะทะลุเข้าไปในหน้าจอเพื่อจัดการสั่งสอนบุตรชายคนโตให้หราบจำ
ในเวลาเดียวกันนี้ ฮูหยินใหญ่ตระกูลเซียวซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้า ก็มีสีหน้าที่เหนื่อยหน่ายใจเป็นอย่างยิ่ง
ทำไมเจ้าเด็กอ้วนถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้?
ช่างเหมือนกับบิดาของเขาไม่มีผิดเลยจริงๆ
…
บนเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค
ลมทะเลโชยพัดดาดฟ้าเรือ
“คุณชายหลิน ต้องยอมรับเลยว่าตลอดการแข่งขันที่ผ่านมา ท่านมีพรสวรรค์หลายอย่างที่พวกเราไม่คาดคิดมาก่อน”
หวังซินอวี่มีสีหน้าเคร่งเครียด
นางเป็นเด็กสาวหน้าตางดงาม ใบหน้าไม่เคยประดับรอยยิ้ม แต่ก็ได้รับความเคารพจากทุกๆ คนที่พบเจอเสมอ
หวังซินอวี่ยกกระบี่ขึ้นมาประสานมือทำท่าคำนับและกล่าวต่อ “ครั้งนี้ ข้าขอเสนอให้กลุ่มของพวกเราจับคู่ต่อสู้กันตัวต่อตัว ฝ่ายไหนที่สามารถเอาชนะได้จาก 3 ใน 5 ก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด ผู้แพ้ต้องยอมมอบธงประจำเรือออกมาและแล่นเรือจากไปแต่โดยดี”
ในมุมมองของเด็กสาว นี่คือโอกาสดีที่จะเอาชนะพวกของหลินเป่ยเฉิน
เนื่องจากดูตามสถิติการแข่งขันที่ผ่านมา แม้ว่านางอาจจะไม่สามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้ก็จริง แต่ผู้ติดตามของนางมีฝีมือสูงส่งกว่าผู้ติดตามของหลินเป่ยเฉิน และจะต้องเอาชนะพวกเขาได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน
หลินเป่ยเฉินเอียงศีรษะคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบว่า “ตกลง”
เขาเห็นด้วย
เพราะเขาคิดว่าเด็กสาวผู้นี้… ช่างยุติธรรมดีเหลือเกิน