บทที่ 290 ผลเสมอ
เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินยอมรับข้อเสนอ หวังซินอวี่ก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ดีมาก สมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ ของข้าประกอบไปด้วยหยวนรุ่ย ฉู่เถียนเจี๋ย เว่ยซีหลงและอู๋เป่ยหยาน ส่วนฝ่ายท่านจะเลือกให้ใครออกมาต่อสู้ก่อนหลังก็ได้ทั้งนั้น”
สีหน้าของเด็กสาวบอกชัดถึงความมั่นใจ
สมาชิกทั้ง 4 คนของกลุ่มนางล้วนแล้วแต่เป็นลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งทั้งสิ้น
ขณะที่อยู่ในสถาบัน พวกเขาต่างก็เป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของนาง
คนนอกไม่รู้เลยว่ายามอยู่ในสถานศึกษานั้น หวังซินอวี่มีความโด่งดังมากมายขนาดไหน
อย่าว่าแต่บรรดาลูกศิษย์ด้วยกัน แม้แต่อาจารย์หลายคนก็เป็นสาวกผู้ติดตามนางเช่นกัน
หวังซินอวี่มีบุคลิกของความเป็นผู้นำที่หาได้ยาก
นางเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำโดยแท้จริง
เมื่อผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเสนอการต่อสู้เช่นนั้น พวกเขาก็ไม่แสดงความคิดเห็นอะไรออกมาแม้แต่น้อย
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าเด็กสาวฝ่ายตรงข้ามเป็นคนที่ “ฉลาดและยุติธรรม” แตกต่างจากทุกคนที่เขาเคยพบเจอ
“ตกลง” เขาพยักหน้า “คนแรกที่จะออกไปต่อสู้ก็คือฮันปู้ฟู่”
ก่อนที่เรือทั้งสองลำจะเล่นเข้ามาเผชิญหน้ากัน เยว่หงเซียงกับมี่หรู่หยานได้บอกเล่าข้อมูลของสมาชิกกลุ่มฝ่ายตรงข้ามแต่ละคนอย่างละเอียดยิบ
ปรากฏว่าสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่ง มีความน่ากลัวไม่ได้แตกต่างไปจากสถานศึกษากระบี่หลวงเลย
หวังซินอวี่คัดเลือกสมาชิกมาแต่ระดับอัจฉริยะประจำสถาบันทั้งสิ้น หากตัดนางออกไปสักคนหนึ่ง เพื่อนๆ อีกสี่คนที่เหลือก็ยังสามารถเชิดหน้าชูตาในตำแหน่งยอดมือกระบี่รุ่นใหม่ประจำเมืองหยุนเมิ่งได้อย่างไม่เคอะเขิน เพราะแต่ละคนก็มีความสามารถที่เหมาะสมทั้งสิ้น
หยวนรุ่ยจะเป็นคนแรกที่ออกมาต่อสู้ ถือว่ามีฝีมือระดับปานกลางในกลุ่มสมาชิกทั้งห้า
หลินเป่ยเฉินเลือกให้ฮันปู้ฟู่ออกไปต่อสู้แทนที่จะเป็นมี่หรู่หยาน เนื่องจากฮันปู้ฟู่ก็มีฝีมืออยู่ในระดับปานกลางของกลุ่มเขาเช่นกัน หลินเป่ยเฉินต้องการให้คุณภาพของคู่ต่อสู้จากทั้งสองฝ่ายมีความใกล้เคียงกันมากที่สุด
พวกเขาต่างก็ถอยออกมาเว้นที่ว่าง
ฮันปู้ฟู่เดินเข้าไปยืนอยู่กลางดาดฟ้าเรือโดยไม่ลังเลและกล่าวว่า “คุณชายหยวน ต้องรบกวนแล้ว”
หยวนรุ่ยเป็นเด็กหนุ่มร่างกายกำยำ รูปร่างไม่เตี้ยไม่สูง
เขาเดินออกมาข้างหน้า ส่งเสียงหัวเราะอย่างปลอดโปร่ง ก่อนจะยกมือขึ้นแสดงท่าทีคำนับนอบน้อม กล่าวว่า “คุณชายฮัน การต่อสู้ของท่านเมื่อวันก่อนทำให้ข้าชื่นชมในตัวท่านเหลือเกิน นับเป็นเกียรติของข้าหยวนรุ่ยคนนี้ ที่ได้มีโอกาสต่อสู้กับท่าน”
ฮันปู้ฟู่ตอบกลับไปว่า “คุณชายหยวนชื่นชมเกินไปแล้ว”
หยวนรุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และเนื่องจากข้าชื่นชมในตัวท่าน เพราะฉะนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ข้าจะต้องเอาชนะท่านให้ได้ คุณชายฮันโปรดระวังตัว ข้าไม่มีทางออมมือเด็ดขาด”
ฮันปู้ฟู่พยักหน้า
เขาโคจรพลังลมปราณในร่างกาย
รัศมีสีเหลืองส้มแผ่ออกมารอบทิศทาง
กระบี่ยาวถืออยู่ในมือ และกำลังเริ่มต้นสร้างค่ายกลตั้งรับด้วยวิชากระบี่ตัดภูผา
เมื่อเปรียบเทียบกับการต่อสู้กับเฉาพั่วเถียนเมื่อวันก่อน ฮันปู้ฟู่มีความเข้าใจในวิชากระบี่ตัดภูผาเพิ่มมากขึ้น เมื่อรวมเข้ากับความเยือกเย็นจากประสบการณ์ที่เพิ่มพูน ฮันปู้ฟู่จึงสามารถใช้วิชากระบี่ประจำกายออกมาได้อย่างน่ากลัว
หวังซินอวี่และสมาชิกร่วมกลุ่มถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
ทำไมระดับพลังของฮันปู้ฟู่ถึงได้สูงขึ้นอย่างนี้?
นางจำได้ดีว่าตอนที่ต่อสู้กับเฉาพั่วเถียน ฮันปู้ฟู่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ระดับพลังที่เขาปล่อยออกมาบัดนี้ มันเทียบเท่ากับผู้มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 แล้วชัดๆ…
ผ่านไปเพียงวันสองวันเองไม่ใช่หรือ
ทำไมพลังของเขาถึงได้ก้าวกระโดดเช่นนี้?
หรือว่าฮันปู้ฟู่จะเก็บงำพลังที่แท้จริงเอาไว้ตลอดมา?
หยวนรุ่ยเดิมทีมีความมั่นใจสูงสุด วางแผนที่จะเอาชนะฮันปู้ฟู่ให้ได้ในไม่กี่กระบวนท่า จริงอยู่ที่เขาเคารพและชื่นชอบในตัวของฮันปู้ฟู่ แต่นี่คือการแข่งขัน การสามารถชนะคู่ต่อสู้ให้ได้เร็วที่สุดย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว
แต่เมื่อเห็นระดับพลังของฝ่ายตรงข้าม หยวนรุ่ยก็เกิดความประหม่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“จงเตรียมตัวรับกระบี่ของข้าให้ดี!”
เขาคำรามออกไปเสียงแหบต่ำ
หยวนรุ่ยสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วราวกับวานร กายของเขาพุ่งวาบตรงเข้ามาหาฮันปู้ฟู่
วูบ!
ปลายกระบี่ของเขาแทงมาที่ลำคอของฮันปู้ฟู่
แต่กระบี่เสือกแทงออกมาได้ครึ่งทางกลับเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันและหันไปเล่นงานตรงหัวใจของฮันปู้ฟู่แทน
ทว่า ปลายกระบี่ยังไม่ทันสัมผัสร่างกายฮันปู้ฟู่ มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางเป็นครั้งที่สาม และครั้งนี้คมกระบี่ก็ตวัดเข้าใส่หว่างคิ้วของฮันปู้ฟู่
การเปลี่ยนแปลงทุกท่วงท่ารวดเร็วราวสายฟ้าฟาด
กระบี่สุดท้ายมีความรวดเร็วยิ่งกว่าสองกระบี่ก่อนหน้านี้
หากเปลี่ยนเป็นคู่ต่อสู้ธรรมดา การเปลี่ยนแปลงทิศทางกระบี่อย่างรวดเร็วของหยวนรุ่ย คงจะทำให้คู่ต่อสู้ของเขาอกสั่นขวัญแขวน พลังลมปราณไม่มั่นคง สมาธิแตกกระจาย
แต่ฮันปู้ฟู่เป็นผู้ที่มีจิตใจเยือกเย็นมาแต่ไหนแต่ไร
และวิชากระบี่ตัดภูผาของเขาก็เหมาะสมสำหรับการตั้งรับที่สุด
ไม่ว่าหยวนรุ่ยจะเปลี่ยนแปลงสักกี่กระบวนท่า เขาก็สามารถยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้องได้ทั้งหมด
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
เสียงคมกระบี่ปะทะกัน
ประกายไฟสาดกระจายใต้แสงตะวัน
หยวนรุ่ยเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว
เขามีพลังปราณธาตุลมเช่นเดียวกับมี่หรู่หยาน กระบี่ที่ทิ่มแทงเดี๋ยวมาทางซ้ายเดี๋ยวมาทางขวา รวดเร็วยิ่งกว่าฝนดาวตก และบ่อยครั้งที่ปลายกระบี่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างกะทันหัน ทำให้เกิดเป็นม่านกระบี่ที่มีลักษณะเป็นประกายวิบวับแวววาวละลานตา
ฮันปู้ฟู่ยังคงตั้งรับด้วยความสงบสุขุมต่อไป
เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้องการโจมตี
วิชากระบี่ตัดภูผาประกอบไปด้วยการเคลื่อนไหวที่ทั้งช้าทั้งเร็ว ยามตั้งรับก็เหมือนเต่าที่มีกระดองคอยคุ้มกันภัย แต่ยามต่อสู้ กระบี่ในมือของฮันปู้ฟู่ก็สามารถโจมตีได้ดุดันราวกับพายุบุแคม
ฮันปู้ฟู่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างตั้งมั่น ไม่สั่นไหวโอนเอนแม้แต่น้อย
การต่อสู้เช่นนี้ คือเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับกลุ่มคนดู
แต่มันน่าตื่นเต้นมากสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกัน
นี่คือการปะทะกันระหว่างฝ่ายรุกกับฝ่ายรับอย่างแท้จริง
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
เสียงคมกระบี่ปะทะกันดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
ผ่านไปเป็นเวลาช่วง 1 ก้านธูป
พลัน หยวนรุ่ยถอนหายใจและรั้งกระบี่กลับไป
เขาหอบหายใจเล็กน้อย บนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“ข้าแพ้แล้ว”
เมื่อสอดกระบี่คืนฝัก หยวนรุ่ยก็ส่ายหน้ายิ้มแย้มว่า “ไม่คิดเลยว่าการตั้งรับของคุณชายฮันปู้ฟู่จะลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ข้าใช้กระบวนท่าทั้งหมดที่มี แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายการป้องกันของท่านได้ ข้าไม่รู้ว่าควรจะต่อสู้อย่างไรอีก เพราะมันมีแต่จะทำให้สูญเสียพลังลมปราณไปอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น… สู้ยอมแพ้เสียเลยยังจะดีกว่า”
ฮันปู้ฟู่สลายค่ายกลกระบี่ของตนเองลงเช่นกัน
บนหน้าผากของเขาก็ปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพราว
แต่สภาพโดยรวมของเขาดีกว่าหยวนรุ่ยหลายเท่า
“การต่อสู้ครั้งนี้ถือว่าเราเสมอกันเถอะ”
ฮันปู้ฟู่กล่าว
เขารู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะหลินเป่ยเฉินแบ่งปันพลังลมปราณมาให้ อาศัยเพียงพลังของเขาคงไม่สามารถตั้งรับการโจมตีของหยวนรุ่ยได้เด็ดขาด ผ่านไปเพียงครึ่งทางเขาก็คงต้องพ่ายแพ้เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากพลังลมปราณในร่างกายมีน้อยมากเกินไป
แล้วหยวนรุ่ยยังจะกล้าพูดอะไรออกมาได้อีก
หลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาพูดว่า “ตกลง การต่อสู้ครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน”
เขานิ่งคิดอีกเล็กน้อยก็กล่าวต่อว่า “สมาชิกคนต่อไปของพวกเราที่จะออกไปต่อสู้ คือเยว่หงเซียง”
เยว่หงเซียงเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
หลังจากการต่อสู้คู่แรกจบลงด้วยผลเสมอ นางเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องเลือกมี่หรู่หยานซึ่งเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเพื่อรับประกันชัยชนะ และการต่อสู้คู่ที่สามซึ่งต้องพบกับหวังซินอวี่ ถ้าไม่เป็นนางก็ต้องเป็นไป๋ชินหยุน เพราะจะอย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว ส่วนหลินเป่ยเฉินน่าจะรอจังหวะลงแข่งขันในคู่ถัดจากนั้น…
นั่นคือทางเลือกที่มีเหตุผลมากที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งของหลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียงก็ไม่สามารถขัดขวางความต้องการของหัวหน้ากลุ่มได้ นางจึงชักกระบี่ออกมาและเดินไปอยู่ตรงกลางดาดฟ้าเรือ
คู่ต่อสู้ของเยว่หงเซียงคือฉู่เถียนเจี๋ย เด็กหนุ่มร่างเล็กหน้าหวาน
ด้วยความที่เขามีใบหน้าจิ้มลิ้ม ผิวพรรณขาวเนียนบริสุทธิ์ หากไม่ได้สังเกตให้ดี หลายคนจึงเข้าใจว่าฉู่เถียนเจี๋ยเป็นเด็กผู้หญิง
“พี่เยว่ รบกวนท่านต้องออมมือให้ข้าน้อยสักหน่อยแล้ว”
ฉู่เถียนเจี๋ยยิ้มแย้มออกมาอย่างเอียงอาย
เยว่หงเซียงตอบกลับไปว่า “ข้าก็ต้องรับคำแนะนำจากคุณชายฉู่เช่นกัน”
เด็กสาวสูดหายใจลึก
การต่อสู้ครั้งนี้มีความสำคัญกับนางมาก
ที่นางมีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ก็เป็นเพราะความเมตตาของหลินเป่ยเฉิน นับว่าเขาได้กรุยทางทุกอย่างไว้ให้นางแล้ว ส่วนนางจะสามารถเดินได้อย่างสง่างามหรือไม่ การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นตัวตัดสินทั้งหมด