บทที่ 291 กระบี่หัวใจแก้ว
เยว่หงเซียงสูดลมหายใจลึก
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉาก
ครั้งแรกที่นางได้ใกล้ชิดกับหลินเป่ยเฉิน ก็ตอนที่เป็นตัวแทนสถาบันเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบคัดเลือก เขากับนางต้องนอนอยู่ในกระโจมเดียวกัน ความเงียบงันที่น่าอึดอัดในช่วงแรกค่อยๆ สลายหายไปด้วยผลไม้ที่นางทิ้งเอาไว้ให้เขาทุกค่ำคืน และเมื่อเยว่หงเซียงถูกเซินเฟยลักพาตัว หลินเป่ยเฉินก็รีบมาช่วยเหลือทันทีที่ทราบข่าว…
ตามมาด้วยการประมูลเข็มกลัดดารา…
จากนั้นก็ร่วมหัวจมท้ายผ่านอันตรายในหุบเขาชายแดนเหนือมาด้วยกัน
ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจนเหมือนถูกฉายออกมาด้วยศิลาเก็บภาพ
ผู้คนบนโลกนี้มีอยู่มากมาย เพราะเหตุใดเขาถึงต้องมาเป็นสหายกับนางด้วย?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางเคยตอบแทนบุญคุณหลินเป่ยเฉินบ้างหรือไม่?
เยว่หงเซียงถามตนเองอยู่ในใจ
หลินเป่ยเฉินเป็นคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตของนางมีความน่าตื่นเต้น และเป็นคนที่ทำให้นางเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ความรู้สึกเหล่านี้ช่วยเติมเต็มหัวใจของเยว่หงเซียงได้อย่างแปลกประหลาด
เยว่หงเซียงเปรียบเสมือนกับคนที่กำลังเดินอยู่ในระเบียงอันมืดมิด แล้วอยู่ดีๆ ก็มีแสงไฟส่องสว่าง ทำให้มองเห็นหนทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน
เยว่หงเซียงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังยิ้ม
นางรีบหุบยิ้ม
และโคจรพลังลมปราณเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
“คุณชายระวังตัว”
เยว่หงเซียงควงกระบี่ด้วยท่าพื้นฐานก่อนกระโจนเข้าไปใส่ฝ่ายตรงข้าม
แต่กระบวนท่าที่นางแสดงออกมาในอีกไม่กี่อึดใจให้หลัง เป็นกระบวนท่าที่เยว่หงเซียงไม่เคยใช้งานมาก่อน…
มันเป็นกระบวนท่าจากเพลงกระบี่หัวใจแก้ว
มันเป็นคัมภีร์ที่นางได้มาจากการทำคะแนนเป็นหนึ่งในสามลูกศิษย์ดีเด่นประจำปีของสถานศึกษากระบี่ที่สาม
มีคัมภีร์กระบี่ให้เลือก 4 เล่ม นางตัดสินใจเลือกคัมภีร์กระบี่หัวใจแก้ว
ณ ตอนนั้น เยว่หงเซียงยังไม่รู้เกี่ยวกับคัมภีร์เล่มนี้สักเท่าไหร่
แต่สัญชาตญาณบอกกับเด็กสาวว่า นางควรเลือกคัมภีร์เล่มนี้ เพราะมันมีคำว่า ‘หัวใจ’ อยู่บนคัมภีร์
หัวใจคืออวัยวะสำคัญที่สุดของร่างกาย
เยว่หงเซียงรู้สึกว่าชื่อคัมภีร์กระบี่หัวใจแก้วฟังดูสวยงามและมีมนต์เสน่ห์บางอย่าง
ทว่า น่าเสียดายที่เมื่อได้คัมภีร์มาเนิ่นนานแล้ว แต่เยว่หงเซียงก็ยังไม่มีความสามารถดีพอที่จะฝึกฝนมัน นางเรียนรู้ได้เพียง 6 กระบวนท่าก็ต้องหยุดชะงัก เพราะพลังลมปราณไม่เพียงพอ มิหนำซ้ำ 6 กระบวนท่าที่ได้เรียนรู้เยว่หงเซียงก็ไม่สามารถใช้งานออกมาได้ เพราะมันต้องใช้พลังลมปราณเกินขีดจำกัดที่ร่างกายนางจะรับไหว
แต่วันนี้ เยว่หงเซียงอยากจะลองใช้ดู
แม้ว่ามันจะเป็นคัมภีร์กระบี่ระดับ 2 ดาวเท่านั้น
แต่มันก็เป็นวิชากระบี่สำหรับการจู่โจม ซึ่งมีความหนักหน่วงมากที่สุดเท่าที่นางเคยฝึกฝนมา
ยิ่งไปกว่านั้น เยว่หงเซียงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระดับพลังลมปราณในร่างกายขณะนี้ ไม่ได้ต่ำต้อยเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
วูบ!
คมกระบี่สาดประกายราวกับแสงจันทร์ พุ่งตัวออกไปข้างหน้า
ฉู่เถียนเจี๋ยยังคงมีความขวยเขินอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม เขาฉากหลบเล็กน้อย มือขวากุมอยู่ที่ด้ามจับกระบี่ ดวงตาเป็นประกายแวววาว และแล้ว เด็กหนุ่มก็ชักกระบี่ออกมาในที่สุด
เช้ง!
คมกระบี่สาดประกายเจิดจ้า มวลอากาศรอบกายบนดาดฟ้าเรือปั่นป่วนขึ้นมาในทันใด
ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้บางอย่างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม
เขาดูเหมือนจะเป็นผู้ที่ศรัทธาในกระบี่หมดตัวและหัวใจ ตราบใดที่ฉู่เถียนเจี๋ยยังมีกระบี่อยู่ในมือ เขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน ขณะนี้ ฉู่เถียนเจี๋ยโจมตีด้วยกระบวนท่าอันร้อนแรง แววตาดุดัน ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม
กระบี่ในมือของเขาแทงเข้าใส่ชายโครงของเยว่หงเซียง
หากเป็นเมื่อก่อน เยว่หงเซียงย่อมไม่สามารถหลบกระบี่นี้ได้เด็ดขาด
แต่วันนี้ นางได้รับพลังพิเศษมาจากหลินเป่ยเฉิน
เยว่หงเซียงจึงสามารถยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้องได้ทันท่วงที
เคล้ง!
เสียงคมกระบี่ปะทะกัน
ฉู่เถียนเจี๋ยรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ข้อมือ มวลพลังลมปราณพุ่งกระแทก ทำให้ต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน
และเยว่หงเซียงก็อาศัยโอกาสนั้น ตวัดกระบี่ในมือฟันลงไปที่บริเวณไหล่ซ้ายของฉู่เถียนเจี๋ย
ระยะประชิดเพียงเท่านี้ ยากนักที่จะรอดพ้นกระบี่นี้ไปได้
หัวใจของฉู่เถียนเจี๋ยเต้นระส่ำ เขารวบรวมพลังลมปราณในร่างกายถึงขีดสุด เกิดเป็นพลังผลักดันคมกระบี่ให้แฉลบห่างออกไปจากร่างกายเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ส่งผลให้ฉู่เถียนเจี๋ยสามารถรอดพ้นกระบี่นี้ได้อย่างหวุดหวิด
แต่เนื่องจากใช้พลังลมปราณมากเกินไป ใบหน้าของฉู่เถียนเจี๋ยบัดนี้จึงซีดขาวเป็นอย่างยิ่ง
หวังซินอวี่และหยวนรุ่ยซึ่งยืนดูการแข่งขันอยู่ที่ด้านข้าง อดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ตลอดการแข่งขันที่ผ่านมา มีข่าวลือว่าเยว่หงเซียงเป็นเพียงตัวกาฝากประจำการแข่งขัน เพราะที่นางสามารถมาเสนอหน้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ก็เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉินแต่เพียงผู้เดียว
แล้วทำไมเยว่หงเซียงถึงได้มีความแข็งแกร่งขึ้นมาไม่ต่างไปจากฮันปู้ฟู่? สมาชิกกลุ่มของหลินเป่ยเฉินเก็บซ่อนฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ?
ด้วยกระบวนท่าการโจมตีและระดับพลังในปัจจุบัน กล่าวได้ว่าเยว่หงเซียงสมควรมีชื่อติดอยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน 20 อันดับแรกประจำปีนี้ด้วยซ้ำ
แต่ที่สำคัญก็คือระดับพลังของเด็กสาวผู้สวมใส่หน้ากาก เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด แทบจะอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 2 ก็ว่าได้
ระดับพลังของนางจึงไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าฉู่เถียนเจี๋ยอีกแล้ว
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
คมกระบี่สาดประกายแวววาว
ฉู่เถียนเจี๋ยยิ่งมีสีหน้าดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือสีหน้าที่แม้แต่หวังซินอวี่ก็แทบจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน พลังลมปราณสีทองคำพุ่งออกมาจากศีรษะของฉู่เถียนเจี๋ย เช่นเดียวกับผิวหนังตลอดร่างกายที่มีประกายสีทองคำเคลือบทับเป็นชั้นบางๆ
กระบวนท่าที่เขาใช้โจมตีออกมา ยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม
ความน่ากลัวก็คือฉู่เถียนเจี๋ยกำลังใช้กระบวนท่าจากวิชากระบี่ระดับ 3 ดาวที่ชื่อว่ากระบี่ลมกรด
ถ้าจะพูดถึงแค่วิชากระบี่ที่ทั้งสองฝ่ายใช้ออกมา เยว่หงเซียงนับว่าต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว
แต่นางกลับโจมตีได้ดุดันยิ่งนัก
เด็กสาวสามารถบรรลุถึงขั้น ‘หัวใจกระบี่’ ในคัมภีร์กระบี่หัวใจแก้ว นางสามารถอ่านการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง รวมถึงยังมีความเข้าใจในวิชากระบี่เพิ่มมากขึ้นทวีคูณ
ฉู่เถียนเจี๋ยเริ่มมีพละกำลังเป็นรอง
และการที่เด็กหนุ่มหน้าหวานเริ่มหมดแรง ก็เป็นสิ่งที่เยว่หงเซียงได้คำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน
เด็กสาวผู้สวมใส่หน้ากากครึ่งซีกถลันกายเข้าไปโจมตีคู่ต่อสู้อย่างหนักหน่วง
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
เสียงคมกระบี่ปะทะกันต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง พลังลมปราณแผ่กระจายไปรอบบริเวณ วิชากระบี่ลมกรดของฉู่เถียนเจี๋ยถูกปัดป้องได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าเขาจะโจมตีออกไปเช่นไร ดูเหมือนว่าเยว่หงเซียงก็สามารถตั้งรับได้อย่างไม่มีปัญหา
ในที่สุด…
วูบ!
คมกระบี่ก็ฟันเข้าที่หัวไหล่ของเขาเข้าจนได้
และกระบี่ในมือของฉู่เถียนเจี๋ยก็ลอยกระเด็นหลุดออกไป
เยว่หงเซียงรั้งกระบี่กลับคืนมา
ฉู่เถียนเจี๋ยยืนโงนเงน สีหน้าที่ดุดันอย่างบ้าคลั่งของเขาค่อยๆ จางหายไปเมื่อกระบี่หลุดลอยออกจากมือ ถึงใบหน้าจะยังคงซีดขาว แต่ทว่าลมหายใจก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เขาเบิกตาโตจ้องมองเยว่หงเซียงด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ข้าแพ้แล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าหวานยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยเสียงดังกังวาน
เขาต้องยอมรับความพ่ายแพ้
แม้จะไม่รู้ว่าตนเองพ่ายแพ้ได้อย่างไรก็ตาม
เยว่หงเซียงระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและถอยกลับไปยืนอยู่ด้านข้าง
ภายนอกนางสงบสุขุม แต่ภายในกำลังตื่นเต้นลิงโลดด้วยความเริงร่า
“ข้าชนะ ข้าชนะแล้วจริงๆ …ข้าทำได้”
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้นางมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว
นางพบวิชากระบี่ที่มีความเหมาะสมกับตนเองแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ สีหน้าของหวังซินอวี่จากสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งมีความเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง
การต่อสู้สองคู่แรกผ่านไป ผลคือฝ่ายพวกนางเสมอหนึ่งและแพ้หนึ่ง
แนวโน้มผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ เริ่มเอนเอียงไปทางฝั่งของหลินเป่ยเฉินแล้วสิ
เพราะในการต่อสู้คู่ต่อไป หลินเป่ยเฉินจะส่งใครก็ได้เพื่อออกมาพ่ายแพ้ให้แก่หวังซินอวี่ ส่วนตัวเขาเองกับมี่หรู่หยานที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ก็ค่อยเอาชนะพวกนางในอีกสองคู่หลังก็ได้ อย่าลืมว่าการต่อสู้ครั้งนี้ตัดสินผู้ชนะจาก 3 ใน 5 คู่ ขอแค่ดำเนินตามกลยุทธ์นี้ต่อไป ชัยชนะก็อยู่ในกำมือของหลินเป่ยเฉินแล้ว
หวังซินอวี่คิดไม่ถึงเลยว่าความมั่นใจในตัวเองของนาง จะกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่น่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง
เด็กสาวสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะเดินออกไปยืนอยู่กลางดาดฟ้าเรือ
“เชิญ”
หวังซินอวี่รอคอยให้ไป๋ชินหยุนออกมาคำนับ
นางเชื่อมั่นว่าตนเองย่อมเอาชนะเด็กสาวร่างเล็กคนนี้ได้แน่นอน
แต่แล้วสิ่งที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น เพราะสมาชิกจากเรือร้านขายอัญมณีหลิวไคที่จะออกมาต่อสู้กับหวังซินอวี่นั้น กลับเป็นหลินเป่ยเฉิน
หัวหน้ากลุ่มปะทะหัวหน้ากลุ่ม
หลินเป่ยเฉินไม่อยากใช้กลยุทธ์ที่จะทำให้เขาได้รับชัยชนะง่ายเกินไป
เพราะเมื่อได้พบเจอคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรี หลินเป่ยเฉินก็อยากจะให้ความเคารพฝ่ายตรงข้าม ด้วยการคว้าชัยชนะอย่างมีเกียรติที่สุด