ฉู่อี้เจี่ยนขี่ม้าเร็วนำหน้ามา เหล่าทหารม้าติดอาวุธเบาติดตามอยู่ข้างหลัง คนทั้งกลุ่มเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ขี่ม้ามาถึงตรงหน้าแล้ว
“พวกเจ้าสองคนทำอะไรกันอีก?” พอเห็นแส้ของฉู่สวินหยางพันแขนฉู่ฉีเหยียน และทั้งสองคนกำลังประลองฝีมือกัน ฉู่อี้เจี่ยนที่อยู่สูงบนหลังม้าก็หัวเราะเยาะ
ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเหยียนต่างวางมือ
ฉู่ฉีเหยียนถือโอกาสจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยไปด้วยตอนที่เก็บดาบเข้าฝัก แล้วถึงจะเงยหน้าสบตาฉู่อี้เจี่ยน และเอ่ยเสียดสีว่า “เช่นนั้นท่านอาเดินทางมาครั้งนี้จะทำอะไรอีกหรือ?”
“เหอะ…” ฉู่อี้เจี่ยนหัวเราะออกมาแต่กลับไม่ตอบ เขาตั้งใจมองทุกคนที่อยู่ตรงนี้ทีละคนด้วยสีหน้าสบายใจ แล้วพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ “ดีมาก คนที่ควรอยู่และไม่ควรอยู่ตรงนี้ต่างก็มากันเกือบครบแล้ว นับว่าครั้งนี้ข้ามาไม่เสียเที่ยว!”
เขาเอ่ยพลางยกมือชี้ฉู่สวินหยางก่อนว่า “สวินหยาง เจ้าไปยืนอีกฝั่งก่อน!”
แล้วเขาก็โบกมือเล็กน้อยสั่งผู้ติดตามของตนเอง โดยไม่รอให้ฉู่สวินหยางพยักหน้าตกลงว่า “จูงม้ามา เชิญคนอื่นไปให้หมดก่อน!”
“ขอรับ องค์ชาย!” ทหารที่อยู่ด้านหลังขานรับพร้อมกัน แล้วทหารกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาโดยไม่ยอมอธิบายอะไร
คนของเฟิงเหลียนเซิ่งล้วนยังอยู่ในหุบเขากรวด แต่หลี่หลินกลับไม่ยอมให้พวกเขาพาฉู่ฉีเหยียนไป จึงตวาดเสียงต่ำและชักดาบขวางหน้าฉู่ฉีเหยียนทันทีว่า “ใครกล้าแตะต้องซื่อจื่อของข้า!”
ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มเยาะตรงมุมปากเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง
ทว่าฉู่ฉีเหยียนกลับก้มหน้าลูบฝักดาบยาวของตนเองและเอ่ยเหน็บแนมว่า “หลี่หลิน หลบไป เขากล้าแตะต้องแม้กระทั่งองค์รัชทายาทหนานฮวา จะเห็นเด็กที่ไม่ได้สำคัญอะไรอย่างข้าอยู่ในสายตาอีกงั้นหรือ ไม่จำเป็นต้องเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง!”
น้ำเสียงเรียบนิ่งและเหมือนจะมีพลังทำให้คนสงบจิตใจได้
หลี่หลินรู้สึกร้อนใจ ทว่ากลับไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา จึงเก็บดาบอย่างลังเล
เหล่าทหารม้าก้าวเข้ามามัดตัวผู้ติดตามที่ฉู่ฉีเหยียนพามาทันทีและผลักให้เดินจากไป
ฉู่ฉีเหยียนยืนอยู่ตรงหน้าไม่ขยับ
ฉู่อี้เจี่ยนเห็นเขายอมให้ความร่วมมือก็ไม่สนใจเขาอีก แต่มองไปทางฉู่สวินหยางว่า “สวินหยาง เจ้าล่ะ? ยังต้องให้ข้าใช้ความรู้สึกอธิบายเหตุผลโน้มน้าวใจเจ้าอีกหรือไม่?”
“ไม่ต้องแล้ว” ฉู่สวินหยางเอ่ย พลางทำมือส่งสัญญาณให้นักธนูที่เจี๋ยหงนำมาวางมือ
เจี๋ยหงจ้องฉู่อี้เจี่ยนอย่างระแวดระวังอีกครั้ง แล้วถึงจะกัดฟันออกคำสั่ง
เหล่าองครักษ์เพิ่งจะวางธนูและลูกธนูลง คนของฉู่อี้เจี่ยนก็ล้อมไว้ทุกด้านทันทีและเข้ามามัดตัว
“พวกเขาล้วนไม่ได้แซ่ฉู่ ทำไมจะต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วย” ฉู่สวินหยางมองไปเพียงครั้งเดียวก็โยนแส้ในมือทิ้งไป แล้วค่อยๆ เดินไปหาฉู่อี้เจี่ยน
ฉู่อี้เจี่ยนมองใบหน้าเรียบเฉยเกินไปของนางจากที่สูงบนหลังม้า ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ฉายแววมีเลศนัย…
ผู้หญิงคนนี้มองความคิดของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง!
แต่มองออกแล้ว นางกลับยังไม่กลัว?
เพราะไม่กลัวตายจริงๆ หรือเพราะเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงคิดว่าเขาไม่มีทางจัดการนางได้?
ขณะที่ครุ่นคิดนั้นสายตาของเขาก็ลุ่มลึกตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
ฉู่สวินหยางฉวยโอกาสตอนที่เขาเหม่อลอยเดินเข้าไปถึงม้าของเขา นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและยิ้มมองเขาว่า “ท่านอาจะพาข้าไปที่ไหนหรือ?”
ฉู่อี้เจี่ยนได้สติกลับมา เขาสบนัยน์ตาเหมือนคลื่นน้ำสะท้อนแสงระยิบระยับของนาง แล้วยิ้มตามอย่างอารมณ์ดีและย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
พอพูดจบ เขาก็มองเฟิงเหลียนเซิ่งอย่างเคร่งขรึม โดยไม่รอคำตอบจากฉู่สวินหยาง
ท่าทางเขาหยิ่งยโสโอหัง ต่อให้เป็นคนนอกที่ไม่ได้สำคัญอะไรอย่างเฟิงเหลียนเซิ่ง เขาก็ไม่คิดจะออมมือให้แม้แต่น้อยเช่นกัน เขาบ่ายเบี่ยงไปพูดเรื่องอื่นว่า “จังหวะไม่ดีเท่าไร วันนี้ตระกูลฉู่ของข้าต้องจัดการพวกเรื่องภายในครอบครัว องค์รัชทายาทเป็นแขกมาจากที่ไกล เชิญกลับที่พักไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”
ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็ไม่รอให้เฟิงเหลียนเซิ่งแสดงท่าทีออกมาเช่นกัน แล้วเขาก็ยกมือตามไปด้วย
เหล่าทหารม้าที่ปกติฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาตลอดจะเข้ามาเชิญตัวทันที
“ข้าไม่สนใจเรื่องความขัดแย้งภายในของพวกเจ้าชาวซีเยว่ เจ้านายของข้าคือองค์รัชทายาท และไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาบงการ” หลี่เหวยทนไม่ไหวจนโกรธขึ้นมาทันที เขาก้าวไปขวางหน้าเฟิงเหลียนเซิ่งและต่อว่าอย่างโมโหว่า “องค์ชายเจี่ยน ถึงเจ้าจะพอใจกับผลงานของตนเอง แต่เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตนเองสักทางจะดีที่สุด และต่อให้แผนการร้ายในวันนี้ของเจ้าสำเร็จ องค์รัชทายาทของพวกเราก็ไม่ใช่คนที่เจ้าจะมาบีบบังคับให้ทำตามและเล่นหัวได้ตามใจชอบ!”
ฉู่อี้เจี่ยนท่าทางผิดปกติอย่างชัดเจน
ถึงเขาจะมีความสามารถในการหลอกลวงตบตา ทว่าหากต่อไปได้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ เขาก็ไม่มีทางได้อยู่เหนือราชสำนักหนานฮวาเช่นกัน
เฟิงเหลียนเซิ่งอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก็ต้องกลายเป็นแขกที่ได้รับเชิญ
แต่ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินแล้วกลับหัวเราะเยาะเสียงเย็นเยียบและออกคำสั่งอย่างหงุดหงิด “พากลับเมืองหลวงไปให้หมด!”
“เจ้า…” หลี่เหวยคิดไม่ถึงว่าเขาจะท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้ จึงจะลงมือทั้งที่โกรธจัด
“เฮ้!” ทว่าเฟิงเหลียนเซิ่งกลับไวกว่า อีกฝ่ายยื่นมือมากดมือของเขาที่จะชักดาบเอาไว้ แล้วค่อยๆ เดินต่อไปพลางเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ซื่อจื่ออ๋องหนานเหอกับท่านหญิงสวินหยางต่างสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้ แล้วทำไมข้าจะต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องจุกจิกมากมายพวกนี้อีก?”
“องค์ชาย…” สุดท้ายหลี่เหวยก็ไม่ยอมให้เขาโดนเหยียดหยาม
เฟิงเหลียนเซิ่งปล่อยให้เขาพูดจนจบ แล้วมองฉู่สวินหยางอีกครั้งว่า “ข้าส่งของหมั้นไปสู่ขอที่วังบูรพาอย่างเป็นทางการแล้วจริงๆ ท่านหญิงคิดทบทวนแล้วไปด้วยกันกับข้าก็ได้!”
ฉู่ฉีเหยียนได้ยินแล้วแอบเลิกคิ้วเล็กน้อย
ฉู่อี้เจี่ยนกลับยังคงสีหน้าอารมณ์ดีเช่นเดิม
เฟิงเหลียนเซิ่งพูดพลางเลิกคิ้วให้ฉู่สวินหยาง ความหมายในนั้นชัดเจนมาก…
หากนางยอมรับความสัมพันธ์นี้ ตอนนี้ก็จะมีข้อต่อรองกับฉู่อี้เจี่ยนเพิ่มขึ้นอีกอย่าง
ฉู่สวินหยางรู้ดีว่าเขาไม่ได้เข้ามายุ่งด้วยความจริงใจ จึงเอ่ยเสียงเย็นชาทันทีว่า “ขอบคุณน้ำใจขององค์รัชทายาท แต่หากช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ก็คงรับของขวัญไม่ได้ ข้าไปกับท่านอาจะค่อนข้างสบายใจกว่า”
เฟิงเหลียนเซิ่งก็รู้ว่านางไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากตนเองเช่นกัน ทว่าพอเห็นสีหน้าไม่สนใจของนางเช่นนี้ก็ยังอดที่จะรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้
ฉู่อี้เจี่ยนมองอย่างสนใจมาก แต่ไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่นิดเดียว
คนของเขาลงมือกักตัวคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดเอาไว้อย่างว่องไวไร้ที่ติด้วยการมัดแบบใช้เชือกคล้องคอและผูกแขนทั้งสองข้างไพล่หลัง ฮั่วชิงเอ๋อร์กับหลัวซืออวี่ต่างถูกโยนกลับเข้าไปในรถม้าอีกครั้ง
ส่วนฉู่ฉีเหยียนถูกมัดมือทั้งสองข้างไพล่หลังและวางไว้บนหลังม้า
เฟิงเหลียนเซิ่งกับหลี่เหวยยังดีหน่อย พวกเขาไม่โดนมัด แต่กลับถูกทหารม้ามากมายล้อมอย่างแน่นหนามาก
ฉู่อี้เจี่ยนจัดกำลังคนส่วนใหญ่ให้ไปคุ้มกันคนพวกนี้กลับเมืองหลวง ทว่าเขาเองกลับหยุดม้าอยู่ที่เดิมไม่ขยับและคอยมองตามคนกลุ่มนั้นจากไปตลอด
จนกระทั่งกองทหารแถวยาวเหยียดนั้นค่อยๆ หายไปจากสายตา ฉู่อี้เจี่ยนถึงดึงสายตากลับมาและกวักมือเรียกอีกว่า “จูงม้ามาอีกตัว!”
องครักษ์จูงม้ามาแล้ว ฉู่สวินหยางก็กระโดดขึ้นหลังม้าโดยไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียว นางหันหัวม้ากลับมาว่า “ไปเถอะ!”
ฉู่อี้เจี่ยนก็หันตัวขี่ม้ากลับไปเช่นกัน
เขาขี่ม้าไม่เร็วนักเหมือนไม่รีบร้อน พลางเอ่ยถามอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าไม่ถามกระทั่งว่าข้าจะพาเจ้าไปที่ไหนหรือ?”
“คนที่ถูกคุมตัว ข้าก็รู้ดีมาตลอดว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ!” ฉู่สวินหยางเอ่ยและขี่ม้าตามเขาไปอย่างสบายใจ
ฉู่อี้เจี่ยนมองใบหน้าด้านข้างที่สุขุมเยือกเย็นของนางอยู่นาน สุดท้ายเขาก็ยังอดที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ และเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าเดาถูกว่าวันนี้ข้าจะลงมือทำอะไร ก็ไม่กลัวสักนิดเลยจริงๆ งั้นหรือ?”
“กลัวแล้วมีประโยชน์หรือ?” ฉู่สวินหยางส่ายหน้ายิ้ม แล้วหันกลับไปมองเขาเช่นกันว่า “ความจริงก่อนหน้านี้นานมากแล้วท่านก็คิดจะทำลายทุกอย่างให้สิ้นซากแล้วใช่หรือไม่? เรื่องมาถึงตอนนี้ พวกเขาต่างยังถูกปิดหูปิดตาและคิดว่าท่านจะชิงบัลลังก์ตั้งตัวเป็นใหญ่ แต่กลับไม่รู้ว่าท่านตั้งใจอย่างแน่วแน่มานานแล้วว่าไม่คิดจะถอนตัวจากเรื่องนี้อีกตั้งแต่ตอนแรกที่คิดจะให้ฉู่เป้ยชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว หากฉู่ฉีเหยียนได้รู้ว่าท่านคิดเช่นนี้ เมื่อครู่เขาคงสู้กันจนตายไปทั้งคู่ และไม่มีทางยอมโดนจับอย่างว่าง่ายแน่นอน!”
น้ำเสียงของฉู่สวินหยางหนักแน่น เหมือนกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองแม้แต่นิดเดียว