ตอนที่ 430 ฐานะขององค์ชายเจ็ด

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 430 ฐานะขององค์ชายเจ็ด

“ลูกรัก มิว่าพ่อของเจ้าเป็นผู้ใด แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าผู้ที่ทำให้เราเป็นเช่นนี้ก็คืออันหลิงเกอและมู่จวินฮาน ! ”

องค์ชายเจ็ดสะท้านไปทั้งกายเพราะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายและตอนนี้เขารู้สึกโกรธแค้นสองสามีภรรยานั้นจริง ๆ เสียแล้ว

“ลูกรัก เจ้าคิดสิ หากตอนนี้เจ้าสามารถกุมอำนาจไว้ในมือได้ แม่ย่อมสามารถอยู่ที่นี่ได้โดยไร้กังวลมิใช่หรือ ? ” หลี่กุ้ยเฟยโน้มน้าวเขา ที่จริงแล้วทุกวันนี้นางก็อยู่ในวังหลังได้อย่างสุขสบายดีแล้ว ทว่าที่นางทำก็เพื่อต้องการกดดันโอรสเท่านั้น

“แต่…” แต่ฐานะของเขา

“แล้วมู่จวินฮานมีฐานะอันใด ? เขามีสิทธิ์อันใดจึงได้กุมอำนาจเหล่านั้น ? ”

ใช่แล้ว !

องค์ชายเจ็ดสูดลมหายใจเข้าลึก เหตุผลนี้ทำให้เขาได้สติขึ้นมาอีกครั้ง

“ได้ยินว่าแม่ทัพหลิงคิดมาเป็นพวกกับเจ้าหรือ ? ” เมื่อเห็นท่าทางเอนเอียงของโอรส หลี่กุ้ยเฟยจึงเอ่ยต่อ

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”

“เมื่อเป็นเช่นนั้น…”

หลี่กุ้ยเฟยกระซิบที่ข้างหูของเขา อย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายและนางย่อมควบคุมได้มิยากอยู่แล้ว

สิ่งที่เขาได้รับในวันนี้ นางเชื่อว่าเขายิ่งเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีขึ้น เขามิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ต้าโจว เช่นนั้นเขาต้องมุ่งมั่นและพยายามให้มากกว่าผู้อื่น !

“ทูลฝ่าบาท บุตรีคนเล็กของกระหม่อมมีใจโลภมากถึงขั้นชื่นชอบองค์ชายเจ็ด มิทราบว่าฝ่าบาททรงอนุญาตให้นางอภิเษกกับองค์ชายเจ็ดได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“หืม?” ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าโลภมาก ยังกล้าเอ่ยปากเพื่อเหตุใด ทว่าคนตรงหน้าคือแม่ทัพหลิง ฝ่ายฮ่องเต้ก็มิอาจปฏิเสธได้โดยง่าย

“ฝ่าบาท มิทราบว่าคิดเห็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” แม่ทัพหลิงลองถามหยั่งเชิงอีกครั้ง ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงกระซิบฮ่องเต้ว่า

“ฝ่าบาท บุตรีแม่ทัพหลิงผู้นี้เกรงว่ามิอาจปฏิเสธได้พ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้บุตรีคนโตของแม่ทัพหลิงก็ได้ประทานให้ท่านอ๋องมู่ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ย่อมเข้าพระทัยเหตุผลข้อนี้ดี เพียงแต่องค์ชายเจ็ด…

เพราะเหตุใดหรือ ?

แววพระเนตรของฮ่องเต้เปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายกำลังใคร่ครวญบางอย่าง

“ข้าอนุญาต”

“กระหม่อมขอขอบพระทัยแทนบุตรีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

แม่ทัพหลิงดีใจเป็นอย่างมาก คราวนี้ก็เท่ากับว่าตัวเขาได้เป็นเครือญาติกับเชื้อพระวงศ์แล้ว ทุกสิ่งจักต้องแตกต่างจากเดิมเป็นแน่

“แม่ทัพหลิงซื่อสัตย์ต่อข้า ข้าย่อมเอ็นดูบุตรสาวของเจ้าด้วยเช่นกัน”

ที่จริงแล้วภายในหทัยของฮ่องเต้ล่วงรู้ความคิดของแม่ทัพหลิงนานแล้ว ที่รีบร้อนเช่นนี้ก็เพราะกังวลว่าตนจักถูกเขี่ยทิ้งกระมัง

เดิมทีฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อแม่ทัพหลิงมิน้อย ทว่าหมากกระดานนี้อีกฝ่ายเดินพลาดเสียแล้ว ตอนนี้แม่ทัพหลิงก็เหยียบเข้ากับดักเต็ม ๆ เองด้วย

“ท่านพ่อพูดจริงหรือเจ้าคะ ? ” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุข แม่ทัพหลิงมองนางแล้วถอนหายใจออกมา

บุตรีของข้าเติบโตเป็นสาวแล้วสินะ

“เมื่อเข้าวังไปแล้วเจ้ามิต้องแก่งแย่งกับผู้ใดทั้งนั้น องค์ชายเจ็ดย่อมเห็นแก่หน้าพ่อและพระองค์มิมีทางทิ้งขว้างเจ้าแน่นอน”

“ขอบคุณท่านพ่อที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ”

ตั้งแต่เด็ก หลิงเซียวมิได้เป็นคนสำคัญ หากนางสามารถอาศัยหน้าตาของบิดาเพื่ออภิเษกเข้าไปเป็นหวงจื่อเฟยได้ก็เท่ากับว่านางได้ยืนอยู่ในจุดที่สูงมิน้อย มิแน่นางอาจเอาชนะพี่สาวได้เสียที

“เอาล่ะ เมื่อถึงเวลาพ่อจักพาเจ้าเข้าวัง เจ้าแค่ทำตัวให้ดีก็พอ”

เขามั่นใจในตัวบุตรสาวคนนี้มากเพราะหลิงเซียวมีหน้าตางดงาม เมื่อเทียบกับอวี่หนิงแล้วนางก็มีนิสัยอ่อนโยนกว่ามาก

ทางด้านอวี่หนิง หากนางสามารถชิงตำแหน่งพระชายาเอกมาได้ก็เท่ากับเขาได้ใจของทั้งสองฝ่ายเลยทีเดียว !

ทว่าในตอนนี้อันหลิงเกอที่โดนจ้องแย่งชิงตำแหน่งมานานก็มิได้รู้เรื่องอันใดเลย

“เรียนพระชายา ม้าตัวโปรดของท่านอ๋องอยู่ ๆ ก็มิยอมกินอาหาร ท่านอ๋องจึงให้มาเชิญพระชายาไปดูสักหน่อยขอรับ”

หืม?

คงมิใช่ว่าติดสัดอีกกระมัง ?

ช่วงนี้นางอยู่ว่าง ๆ จึงชอบไปช่วยมู่จวินฮานดูแลม้า

“อืม ข้ารู้แล้ว”

ตอนเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอันก็มีเวลาว่างมิน้อย แต่ตอนนี้เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในจวนอ๋องล้วนเป็นนางจัดการจึงทำให้ยุ่งมิน้อยเลย

“แค่ติดสัดเท่านั้น”

เป็นดังคาด อันหลิงเกอรู้ว่าทุกครั้งที่ม้าตัวนี้มีปัญหาก็ล้วนเป็นเพราะเหตุผลนี้

“มิเป็นไรมาก หากท่านอ๋องกลับมาก็ให้ท่านอ๋องหาคู่ให้มันสักตัว”

อันหลิงเกอหัวเราะออกมา แต่คำที่เอ่ยออกมาของนางทำให้ปี้จูหน้าแดงเรื่อ พระชายาชอบกล่าวอันใดเป็นเล่นไปเรื่อย

“เรียนพระชายา แม่ทัพหลิงมอบบุตรีของอนุภรรยาให้องค์ชายเจ็ดและเชิญท่านกับท่านอ๋องไปร่วมงานเลี้ยงเจ้าค่ะ”

ตอนนั้นเอง นางกำนัลจากกรมพิธีการได้นำชุดมาส่งมอบให้อันหลิงเกอและเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาจนทำให้นางขมวดคิ้วมุ่น

หืม ?

แผนการของแม่ทัพหลิงผู้นี้ถือว่ามิเลวเลย

“ข้าทราบแล้ว”

อันหลิงเกอมองชุดนั้นครู่หนึ่ง กรมพิธีการดีกับนางเสียจริง ชุดหรูหราปานนี้อยากให้นางใส่ไปกลบรัศมีของหวงจื่อเฟยหรือไร ?

“พระชายา ครั้งนี้เกรงว่าต้องให้หลิงเช่อเฟยติดตามไปด้วยเจ้าค่ะ”

ปี้จูที่กลัวว่าหลิงอวี่หนิงจักทำเรื่องมิดีในวังจึงกล่าวออกมาอย่างเป็นกังวล

“มิเป็นไรหรอก ข้าเข้าใจดี”

เรื่องภายในจวนเดิมทีก็วุ่นวายอยู่แล้ว อันหลิงเกอเองก็รู้ดีเพียงแต่มิอยากไปนึกถึงมันเท่านั้น

“พระชายาเจ้าคะ ? ” เมื่อเห็นอันหลิงเกอใจลอย ปี้จูจึงเรียกสติ

“อืม กลับเรือนกันเถิด”

คืนนี้อันหลิงเกอมิคิดว่ามู่จวินฮานจักมาหาอีก เพราะหลายวันมานี้เขาก็นอนอยู่ที่เรือนของนางตลอด เดิมทีนางคิดว่าวันนี้เขาคงเปลี่ยนบรรยากาศไปหาทัวป๋าถิงฟาง แต่คาดมิถึงว่าเขาก็ยังมาหาจึงทำให้อันหลิงเกออดรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมามิได้

“เจ้ารักษาม้าตัวโปรดของข้าได้สำเร็จจึงต้องให้รางวัลเสียหน่อย ! ”

เมื่อได้ยินคำที่มู่จวินฮานเอ่ยออกมา อันหลิงเกอก็อดหัวเราะมิได้

รางวัลอันใด ? ทั้งคืนอย่างนั้นหรือ ?

อันหลิงเกอคิดไปพลางหน้าแดงขึ้นมา ก่อนหน้านี้นางเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง ทว่าตั้งแต่อยู่กินกับมู่จวินฮาน นางก็เปลี่ยนเป็นคนละคน

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของมู่จวินฮาน หัวใจของนางก็เต้นแรงราวกับกระเด็นออกมาด้านนอก ตอนที่โดนเขาโอบกอดจากด้านหลัง หัวใจของอันหลิงเกอจึงสงบลง รู้สึกเพียงกลิ่นอายและความอบอุ่นของเขาเท่านั้น

“พรุ่งนี้องค์ชายเจ็ดอภิเษกเชื่อมไมตรีกับบุตรสาวของแม่ทัพหลิงใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

มู่จวินฮานได้ยินก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พรุ่งนี้หรือ ? เร็วถึงปานนั้นเชียว พวกนี้เป็นเรื่องที่กรมพิธีการจัดการและเขาเองมิได้ใส่ใจ

“มิน่ากังวลหรอก”

“แล้วหลิงเช่อเฟยของท่านล่ะเจ้าคะ ? ” ความหมายของอันหลิงเกอนั้นเขาเข้าใจดีจึงขมวดคิ้วมุ่น

“ในอนาคตถ้าสถานการณ์สงบแล้ว ข้าจักไล่พวกนางออกไปให้หมด ภายในจวนต้องมีเจ้าคนเดียวเท่านั้น ! ” คำสัญญาของมู่จวินฮานแตกต่างจากผู้อื่น แต่ไหนแต่ไรมาอันหลิงเกอมิชอบคนที่ให้คำมั่นสัญญา ทว่าคำสัญญาจากเขาให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป

คำสัญญาของเขาสำหรับนางแล้วจักกลายเป็นจริงได้และเป็นคำสาบานที่ดีที่สุด

“มู่จวินฮาน มิว่าสิ่งที่ท่านเอ่ยในวันนี้เป็นจริงหรือไม่ ข้าอันหลิงเกอก็มิมีวันจากท่านไปไหนเด็ดขาดเจ้าค่ะ” มิรู้เพราะเหตุใดนางจึงพูดมากกว่าปกติ

นางรู้ดีว่าเขาต้องรักษาสัญญา เขาเองก็รู้ดีว่านางมิอาจไปจากเขาได้ ทั้งคู่เคยชินกับการบอกรักกันผ่านถ้อยคำเสียแล้ว พวกเขามิสามารถเลือกเกิดได้ แต่หากสามารถรักกันได้อย่างอิสระก็ดีเกินพอ

“คืนนี้ท่านจักนอนที่นี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

นี่เป็นครั้งแรกที่อันหลิงเกอออกปากเชิญชวนมู่จวินฮานก่อนจึงทำให้แววตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับทันที แต่เพียงมินานก็กลับมาเข้มขึ้น

“วันหน้าเรื่องภายในจวนอาจยุ่งยากขึ้นอีก คงต้องลำบากพระชายาแล้ว”