บทที่ 343 - การกลับมา (1)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 343 – การกลับมา (1)

ซึงชิฮยอนได้เฝ้ามองดูสนามรบด้วยสายตาไม่แยแส

เขาดูจะโกรธจอยู่เล็กน้อยอีกด้วย

ไม่สิ ไม่ใช่การโกรธ แต่จากคิ้วที่ขมวดอยู่น่าจะเป็นความไม่พอใจซะมากกว่า

ในที่สุดเขาก็หลับตาลง และส่ายหัวราวกับทนมองต่อไปไม่ไหวอีก

เขาอดไม่ได้จริงๆ

หากเป็นผู้ชมที่เป็นกลางพวกเขาก็จะหวังในการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน

แต่สำหรับคนที่อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว พวกเขาก็จะหวังให้ฝ่ายตัวเองนำหน้าอยู่เสมอ

แน่นอนหากว่าฝ่ายพวกเขากำลังแพ้…

“เชี้ยเอ้ย…”

พวกเขาก็จะสบถออกมาเช่นนี้

นี่คือความรู้สึกที่ซึงชิฮยอนกำลังรู้สึกอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะของมนุษยชาติที่ย้ายมาฝั่งของปรสิต

มันเหมือนกับการเล่นพนัน เขาได้ลงพนันที่เลข ‘คี่’ แต่ผลลัพธ์มันกลับออกมาเป็นเลข ‘คู่’ นับร้อยครั้งติดกัน จนกระทั่งเขาเลือกทุ่มเงินทั้งหมดที่มีไปใน ‘คู่’ แต่แล้วสุดท้ายมันกลับพลิกผันมาเป็นเลข ‘คี่’

“ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมจู่ๆต้นไม้โลกถึงได้คืนชีพกลับมา? แล้วแสงสว่างกับความมืดนั่นมันอะไรกัน? ไอ้หน้าโง่คนไหนปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้?”

[ซึงชิฮยอน]

ไอ้หน้าโง่… หรือคนที่มีส่วนทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ได้เรียกเขา

[ข้าต้องให้เจ้าช่วย]

ซึงชิฮอยนเม้มปาก และเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“พวกเราจะบุกต่อ หรือว่า…”

[เราจะถอย]

“…เป็นการตัดสินใจที่ฉลาด”

ซึงชิฮยอนถอนหายใจยาว และพยักหน้า

“แล้วฉันจะช่วยอะไรได้?”

[ความบริสุทธิ์อันโสมมกำลังอยู่ในอันตราย เจ้าช่วยซื้อเวลาให้เธอได้ไหม?]

ซึงชิฮยอนเอียงหัวออกมาอย่างสับสน

เขาคิดว่าจะได้รับคำสั่งให้ช่วยผู้บัญชาการกองทัพ หรือสร้างทางหนีไว้ให้พวกเขา และดังนั้นแล้วเขาก็กำลังเตรียมจะบอกราชินีว่าเขาทำทั้งสองอย่างนั่นไม่ได้

แต่การถ่วงเวลานั่นเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลย

ราชินีปรสิตดูจะได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญแล้ว

‘ในจุดนี้ คงยากที่จะออกมาโดยไร้บาดแผลแล้วสินะ คงต้องทำอะไรที่้เสี่ยงบ้างแล้ว’

ซึงชิฮยอนพึมพำกับตัวเอง และพยักหน้า

“แน่นอน แต่ฉันซื้อเวลาให้ได้ไม่นานหรอกนะ ท่านคงรู้สภาพร่างกายของฉันดีใช่ไหม?”

[ข้ารู้ ต้องขอโทษด้วยที่กดดันเจ้าเกินไป]

“ไม่ต้องขอโทษหรอกนะ ท่านไม่ได้ผิดเลย มันเป็นความผิดพลาดของพวกผู้บัญชาการต่างหากที่ทำตามที่ท่านคาดหวังไม่ได้”

ซึงชิฮยอนได้พูดประชดขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นที่เสื้อ เขาได้จับดาบที่เอวและถามขึ้นอย่างกระทันหัน

“องค์ราชินี ท่านจะอนุญาติให้ฉันฆ่าสักคนสองคนระหว่างทางได้ไหม? นั่นจะได้เป็นการช่วยเจ้ามืดด้วย”

[เจ้ามืด?]

“ฉันหมายถึงความถ่อมตนอันน่าขยะแขยง ฉันคิดว่าฉันสามารถจะจัดการกับศัตรูได้ก่อนเราจะถอย”

[มันจะส่งผลต่อความสามารถในการทำตามคำสั่งของเจ้าหรือเปล่า?]

“แน่นอนว่าไม่ ในตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าฉันได้เปลี่ยนมาอยู่ข้างปรสิตแล้ว แถมพวกเขาก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้…”

สีหน้าของราชินีปรสิตได้เปลี่ยนไป

ในตอนนี้เธอได้ตัดสินใจเผยไพ่ตายออกมาแล้ว ดังนั้นการใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดจึงเป็นความคิดที่ดี

นี่เป็นโอกาสดีของพวกเขา

[ได้สิ เอาเลย ข้าจะคอยดูนะ]

“ยอดไปเลย”

ซึงชิฮยอนที่มองดูสนามรบได้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ฉันจะกลับมาพร้อมข่าวดีที่จะช่วยบรรเทาความโกรธของท่าน”

ปุ้ง! ร่างซึงชิฮยอนได้หายตัวไปพร้อมๆกับเสียงฉีกอากาศ

จากนั้นร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นในระหว่างวิ่งลงเนินเขา และหายตัวไปอีกครั้ง ก่อนจะปรากฏขึ้นที่ใต้เนินเขา

แม้ว่าเขาจะไม่ได้พยายามวิ่งเต็มกำลังอะไร แต่ด้วยการขยับตัวแบบผ่อนคลายของเขากลับทำให้เขามาถึงสนามรบแล้ว

นี่เป็นความพิเศษของทักษะพิเศษของนักรบระดับ 7 ย่างก้าวนิรันดร์

ซึงชิฮยอนเพิ่งจะใช้มันหลายครั้งเมื่อครู่นี้

***

ดวงดาวแห่งอัตตา ผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบียกำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเป็นครั้งแรกหลังผ่านมานาน

เขาไม่ได้มีตื่นเต้นกับการทำสงคราม แต่เขามีความสุขกับการพลิกเกม

เดธไนท์ถูกกำจัดไป และความถ่อมตนอันนิรันดร์ก็ยังแทบจะทนไม่ไหวแม้ว่าจะยังไม่ได้ปลดผนึกพลังก็ตาม

-อึก!

ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้รีบถึงบังเหียนให้ม้าวิญญาณยกขามันขึ้น

มืดขนาดใหญ่ที่เกิดจากแสงได้ฟาดลงไปในจุดที่เท้าของม้าอยู่เมื่อครู่นี้

ยังไงก็ตามจู่ๆม้าวิญญาณก็นิ่งไป

ผืนดินได้ร้อนขึ้น และมีไอสีขาวลอยขึ้นมาเต็มไปหมด ฝ่ามือสีแดงชาดได้จับขาของม้าเอาไว้อยู่

ความร้อนได้เริ่มทำให้กีบเท้าของม้าเริ่มหลอมละลาย ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้รีบแทงดาบลงไปด้วยความตกใจ

มือสีแดงชาดได้รีบปล่อยขาม้า แต่เมื่อความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงเงยหน้าขึ้นก็ถูกมือแสงตบลงมาที่ตัวแล้ว

ม้าได้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด พร้อมกับร่างของความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงลอยปลิวไปตกอยู่บนพื้น

ผู้บัญชาการกองทัพที่ตัวสั่นได้ลืมเงยหน้าขึ้น

ม้าของเขาถูกวัลคีรี่ล้อมเอาไว้

ในทันทีที่เขาเห็นหอกนับสิบแทงลงบนตัวม้าเขา เขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

-ย๊ากกกกกก!

ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้พุ่งเข้าใส่ศัตรูด้วยความโกรธ อย่างแรกเขาได้ฟันวัลคีรี่ จากนั้นก็รีบยกดาบแทงลงไปบนพื้น

แคร๊ก! พื้นดินรอบตัวเขาได้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

คลื่นกระแทกจากดาบได้ถูกส่งไปถึงในจุดที่ซินเซียยืนอยู่ และระเบิดออกมาเมื่อมันไปถึงหน้าผา

เขาทรงพลังมากจริงๆ แต่ยังไงก็ตามสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องสูดลมหายใจยกโล่ขึ้นมา

แค่ต้องรับมือกับเจ้าภูติแห่งแสง เจ้าภูติแห่งความมืด และดวงดาวแห่งความเกียจคร้านก็ยากพอแล้ว แต่นี่นอกจากนี้ยังมีคนอื่นอีกด้วย

ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก! ลูกธนูติดโซ่ได้ลอยเข้ามากระแทกโล่ของความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงอย่างต่อเนื่องจนทำให้เขาไม่อาจจะเคลื่อนไหวได้

ดวงดาวแห่งโทสะก็รีบพุ่งเข้ามาพร้อมดาบใหญ่โดยไม่พลาดโอกาสดีนี้

ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้ใช้การขยับดาบอย่างเชี่ยวชาญปัดดาบใหญ่ให้ลงไปปักพื้น

แต่ยังไงก็ตามดวงดาวแห่งโทสะได้ปล่อยดาบ และม้วนตัวขึ้นไป เขาได้พุ่งกระแทกเข้าใส่ศัตรูด้วยความคล่องแคล่วที่ขัดกับรูปร่างอันบึกบึน

“ย่าาาห์!”

ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้คว่ำลงไปจากการกระแทกนี้

ในเวลาเดียวกันลูกธนูติดโซ่ก็พุ่งเข้าใส่เขาเหมือนตาข่ายขัดร่างเขาไว้

ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงที่ไม่อาจจะเคลื่อนไหวได้รู้สึกขนลุกขึ้นทันที เป็นอีกครั้งที่มีพลังที่เขาไม่อาจจะเมินเฉยกำลังลงมาจากท้องฟ้า และขึ้นมาจากพื้นดิน ชัดเจนมากว่าพลังทั้งสองอย่างนี้ตั้งใจจะบี้เขาให้แบน

ทันใดนั้นดวงตากลวงโบ๋ของเขาก็เปล่งประกาศแสงสีเงินขึ้น

ซ่าาาาห์

ปลดผนึกพลัง

พลังงานที่ระเบิดออกมาได้ทำลายโซ่ทั้งหมด และเข้าปกคลุมแสงสว่างกับความมืด

แม้ว่าเขาจะรอดมาจากอันตรายได้แล้ว แต่ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงกลับไม่มีความสุขเลย

ในตอนนี้เขากำลังทำแบบเดียวกันนี้ซ้ำไปมา

แน่นอนว่าในอีกมุมหนึ่งการรับมือกับสองกึ่งเทพ และผู้บริหารถึงสามคนภายใต้การจำกัดพลังจากอำนาจของต้นไม้โลกก็น่าทึ่งแล้ว

แต่ไม่ว่าจะน่าทึ่งยังไง มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขากำลังเสียเปรียบ

ระยะเวลาในการปลดผนึกพลังของเขากำลังสั้นลงไปในทุกๆวินาที และการปลดผนึกพลังออกมายังสร้างภาระให้กับร่างกายของเขาอย่างมหาศาลอีกด้วย ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงรู้ดีว่าเขายังทำแบบนี้ได้อีกแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ในทางกลับกันดวงดาวแห่งอัตตาก็กำลังตื่นเต้น เมื่อรู้ได้ว่าพวกเขากำลังจะจับตัวผู้บัญชาการกองทัพ

ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือคะแนนคุณูปการ หากเขาทำสำเร็จเขาก็จะได้รับมันทั้งหมด แม้กระทั่งการกลายเป็นระดับแปดก็ยังไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

แต่ไม่นานนักดวงดาวแห่งอัตตาก็ได้กลับมาสู่ความจริง เขาได้รีบง้างธนูชุดต่อไปพร้อมจ้องมองไปที่ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงที่ยืนนิ่งอยู่

‘ทำไมหมอนั่นไม่ขยับล่ะ?’

เขาสงสัย

จากนั้นไม่นานนักเขาก็รู้สึกได้ถึงตัวตนหนึ่งที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ชาวโลกสวมหมวกเล็กพร้อมผ้าคลุมที่พลิ้วไสวกำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว

“ฉันจะช่วยเอง!”

“…อะไรนะ?”

แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา ชายคนนั้นก็พุ่งเข้าใส่ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงเหมือนสายลม และพยายามโจมตีฝ่ายตรงข้ามจากด้านข้าง

แน่นอนว่าความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงไม่ได้ยืนมองนิ่งๆ

ผู้บัญชาการกองทัพได้ขยับตัวหลบ และเหวี่ยงดาบฟาดใส่ชายคนนั้นจนกระเด็นไป

“อั๊ก!”

“อ่า เฮ้ เจ้าโง่นี่!”

ดวงดาวแห่งอัตตาได้ตะโกนใส่ชายหนุ่มที่กำลังลอยพุ่งเข้ามาหาเขา

“ถึงนายจะอยากได้แต้มคุณูปการแค่ไหน แต่อย่าได้…!”

ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไป

ความรู้สึกสงสัยได้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา

บางทีความโลภของชายคนนี้อาจจะมากกว่าความกลัว แต่ว่าเขาจะตะโกนว่า ‘ฉันจะช่วยเอง!’ ก่อนการลอบโจมตีไปเพื่ออะไร? นี่มันแปลกมาก

ยิ่งกว่านั้นการเคลื่อนไหวของชายคนนี้มันน่าสนใจมาก เขาไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นเพราะความตั้งใจหรือบังเอิญ แต่เขาสังเกตเห็นว่าคมดาบของชายคนนี้กำลังลอยมาทางคอของเขาอยู่

ความสงสัยอยู่นาน แต่การกระทำนั้นรวดเร็ว

ดวงดาวแห่งอัตตาได้รีบถอยห่างชายคนนี้โดยไม่รู้ตัว และยิงธนูออกไป แต่แล้วก่อนที่โซ่ติดลูกธนูจะได้รัดชายหนุ่ม…

“…ชิ”

ตูม! เสียงระเบิดดังขึ้น

โซ่ได้กระแทกกันเองแทนที่จะมัดชายคนนั้น

“รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดเสมอเลยนะ”

ดวงดาวแห่งอัตตาที่สับสนได้หันกลับไปมองด้านหน้า ที่จุดนั้นเขาเห็นชายก่อนหน้านี้เผยรอยยิ้มสดใสอยู่

“นายรู้อะไรไหม?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย ร่างกายของนักธนูก็ขยับไปเอง

ในเวลาเดียวกัน เมื่อความคิดที่ว่า ‘เขาไม่ได้อยู่ฝ่ายเรา’ และ ‘เป็นไปได้ไหมว่า…?’ เกิดขึ้น

ยังไงก็ตามดาบของศัตรูเร็วกว่าเขามาก มันเป็นความผิดของเขาเองที่ยอมให้ชายคนนี้เขามาใกล้ตัวโดยไม่สงสัยเลยตั้งแต่แรก

“ในบรรดาผู้บริหารทั้งหมด ฉันเกลียดนายที่สุดเลย!”

ฉั๊วะ!

นี่คือจุดจบ

หัวของดวงดาวแห่งอัตตาได้ขาดออกจากร่าง และลอยขึ้น

ชายคนนี้ได้ลงมาหยุดยืนบนพื้นท่ามกลางความตกใจของทุกคน

“โฮ่!”

เขาได้วางทางอย่างมั่นคง และยกดาบชูขึ้นบนฟ้า

มันเป็นเพียงการกระทำง่ายๆ แต่กลับสร้างเป็นคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ และปราณดาบรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งไปด้านหน้า

แสงสว่าง และความมืดได้รีบขยับหลบไปอย่างตกใจ

“..เฮ้ พวกนายก็รู้แล้วใช่ไหม”

ชายหนุ่มได้พึมพำออกมาพร้อมโยนหมวกทิ้งไป

ใบหน้าที่เผยออกมาได้ยิ้มให้กับความถ่อมตนอันน่าขยะแขยง

“ไม่ซาบซึ้งหน่อยหรอ?”

-…ข้าขอขอบคุณ ข้าได้ยินเสียงเจ้าในหัว และเตรียมตัวล่วงหน้า

“ใช่ๆ ทำได้ดีเลย แต่หมอนั่นไหวพริบดีไปไหน หากเขารู้ตัว ฉันไม่มั่นใจเลยว่าจะเข้าไปใกล้เขาในระยะหกเก้าได้ไหม… หืม?”

ซึงชิฮยอนได้ค่อยๆเดินก้าวขึ้นมา เสียงโครมดังขึ้นด้านข้างจากร่างไร้หัวของนักธนูที่ล้มลง

“ซึงชิฮยอน!”

ดวงดาวแห่งโทสะที่กำลังโมโหได้ดึงดาบขึ้นจากพื้น

“ไอ้สารเลว… ฉันก็สงสัยอยู่ว่าแกมันหายหัวไปไหนมาตั้งนาน… แต่ทำไม…?”

“ยังจะคิดไปทำไมกัน นายก็เห็นแล้วนี่”

ซึงชิฮยอนแค่นเสียง และชี้มาที่ร่างตัวเอง

ดวงดาวแห่งโทสะกลายเป็นพูดไม่ออก

บาดแผลตรงหน้าอกของเขากำลังอยู่ระหว่างการรักษา ความสามารถในการฟื้นฟูแบบนี้มันหมายความว่าซึงชิฮยอนได้ยอมรับให้พลังของราชินีปรสิตเข้าสู่ร่าง

“แก…”

“โอ้ แล้วก็นะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย”

ซึงชิฮยอนพูดนิ่งๆ และหันไปมองซินเซีย

“ไม่เจอกันนานเลยนะหมายเลขห้า”

“…”

“แล้วหมายเลขหกล่ะ? ลูกแมวน้อยตาโตไปไหนซะแล้วล่ะ?”

ซึงชิฮยอนได้มองไปรอบๆอย่างขี้เล่น

ซินเซียได้แสดงสีหน้าสับสนไม่เข้าใจออกมา ก่อนที่เธอจะถอนหายใจ และนวดขมับ

“นายหายตัวไปนานมากจนฉันสงสัยว่านายตายไปแล้ว แต่ว่า… คราวนี้นายก็ทำมันจริงๆสินะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันก็เคยเตือนเธอไปแล้วนี่ว่าถ้ายังมายุ่งกับฉันอีก ฉันจะไปอยู่ข้างปรสิตน่ะ”

“พวกนั้นสัญญาอะไรกับนายล่ะ? มันคุ้มถึงขนาดยอมทิ้งชีวิตบนโลกเดิมไปเลยงั้นเหรอ?”

“ก็ใช่สิ แล้วก็ชีวิตบนโลกนั่นก็น่าเบื่อจะได้ มีแต่พวกหน้าโง่ที่เอาแต่จะมาลักพาตัวฉันอยู่ตลอดเวลา ถ้าเธอเป็นฉัน เธอจะอยากกลับไปที่นั่นงั้นเหรอ?”

“อะไรนะ?”

“เฮ้อ~ ช่างมันเถอะ ตอนนี้มันไม่ได้สำคัญอีกแล้ว ฉันโครตจะชอบแบบนี้เลย ฉันจะทำตามคำสั่งของราชินี”

“ราชินี? นี่นายหมายถึงราชินีปรสิตน่ะหรอ?”

“ก็ใช่สิ อ่อ อีกไม่นานเราก็กำลังจะถอยทัพแล้ว เพราะงั้นกล่าวลากันตรงนี้นะ”

“ฝันไปเถอะ!”

ดวงดาวแห่งโทสะได้ตะโกนออกมา

เมื่อซึงชิฮยอนหัวเราะออกมา สีหน้าซินเซียก็แย่ลง ซึงชิฮยอนที่เธอรู้จักนั้นมีชื่อเสียงเรื่องความต่ำช้าไร้ยางอาย แต่ความสามารถของเขาคือของจริง

เขามักจะทำตามที่พูดอยู่เสมอ คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาได้ย้ายไปอยู่ฝ่ายปรสิตจริงๆ

“ฉันบอกแล้วว่าเรากำลังถอย แต่นายคิดจริงเหรอว่ามันจะเป็นไปตามที่นายต้องการ ฉันยอมรับนะว่าพวกนายได้เปรียบ แต่นายคิดว่าปรสิตจะพ่ายแพ้ง่ายๆ จริงเหรอ?”

ซึงชิฮยอนมองกลับไปที่ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงด้วยรอยยิ้ม

“เฮ้ เจ้ามืด ราชินีอยากจะให้นายอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อย ฉันจัดการลบหนึ่งในพวกนี้ให้นายแล้ว เพราะงั้นนายไหวนะ?”

-แน่นอน เจ้าช่วยได้เยอะมา

ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงตอบกลับมา และในเวลาเดียวกันเดธไนท์ก็เริ่มผุดขึ้นจากพื้น ม้าวิญญาณก็ถูกเรียกขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน

“ถ้างั้นฉันไปล่ะ มีที่ที่อันตรายกว่านี้ที่ฉันต้องไปอยู่”

-เจ้าคงกำลังพูดถึงความบริสุทธิ์อันโสมมสินะ ไปเถอะ ข้ารับมือเจ้าพวกนี้เอง

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ซึงชิฮยอนกระโดดขึ้นไปโดยไม่ลังเล เขาได้เริ่มปีนขึ้นไปราวกับมีบันไดอากาศอยู่ก่อนจะหันหน้ากลับมาโบกมือให้ซินเซีย

“ลาก่อนนะหมาบเลขหน้า คราวหน้าไว้เจอกันที่เตียงนะ แน่นอนว่าพร้อมกับหมายเลขหกด้วยน่ะ”

ชายร่างกำยำที่เก็บความโกรธไว้ไม่ไหวได้ขว้างดาบใหญ่ออกมา แต่ซึงชิฮยอนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และดาบใหญ่ก็ไม่อาจจะแตะต้องโดนสิ่งใด

ซินเซียเม้มปากขึ้นด้วยความกังวลที่ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงตั้งตัวได้แล้ว

ซึงชิฮยอนก็ยังได้ปีกข้ามหน้าผา และเข้าไปในกำแพงป้อมปราการแล้วด้วย

***

ในเวลาเดียวกัน

-อ๊ากกกกกกกกกก!

เปลวเพลิง และเสียงกรีดร้องได้ดังออกมาจากภายในป้อมปราการ

รอบตัวของความบริสุทธิ์อันโสมมที่ปลดผนึกพลังได้เต็มไปด้วยเปลวเพลิง

มันเป็นบาเรียที่แน่นหนาจนไม่อาจจะมีน้ำแทรกเข้าไปได้แม้แต่หยดเดียว แต่มันก็เท่านั้น ทีมปฏิบัติการไม่มีเหตุผลให้ต้องฝ่าบาเรียเข้าไป

หากว่านี่เป็นการต่อสู้กับผู้บัญชาการในอาณาจักรภูติก็จะเป็นอีกเรื่อง

แต่คราวนี้แนวหลังของปรสิตกำลังถูกต้อนจนมุม และมนุษยชาติกับสหพันธรัฐก็ได้จับมือกัน ยิ่งพวกเขาถ่วงเวลาให้นานเท่าไหร่ ความได้เปรียบก็มีแต่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ครู่ต่อมาเปลวเพลิงก็ได้ลดลง ความบริสุทธิ์อันโสมมรู้ว่าเธอกำลังเสียเปรียบ และการเก็บพลังเอาไว้ไม่ให้เสียเปล่าจะเป็นการดีกว่า

เธอได้สร้างบาเรียขึ้นเพื่อกันการลุมโจมตีจากศัตรู ดวงดาวแห่งราคะ ดวงดาวแห่งความโลภ โรเซร่า และก็ภูติอาร์คัส แต่เธอไม่อาจจะคงสภาพบาเรียไว้ได้นานเกินจำเป็น

นอกจากนี้การที่เปลวเพลิงหายไปนั่นหมายความว่าเธอจะถูกลุมโจมตีอีกครั้ง

ซอลจีฮูตาเป็นประกายขึ้น เขาได้ใช้ประกายสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ความบริสุทธิ์อันโสมมในทันที

และไม่ใช่แค่ซอลจีฮู แบคแฮจู แอ็กเนส และโฮชิโนะ อุราระก็ยังมีส่วนร่วมในการโจมตีจากมุมที่ต่างกันออกไป

-กรี๊ดดดด!

ในวินาทีที่ความบริสุทธิ์อันโสมมกระพริบตาแยกเขี้ยวออกมา เธอก็ได้สบสายตากับโฮชิโนะ อุราระที่กระโดดเข้ามาจากตรงหน้าเธอ

“เอ๋?”

โฮชิโนะ อุราระได้ตกลงพื้นด้วยสีหน้าสับสน แต่ก็ยังเหลืออีกสามคนทำให้ความบริสุทธิ์อันโสมมต้องรีบป้องกันตัวเองต่อ

กลุ่มควันได้ลอยออกจากร่างเธอ ภายนอกแล้วมันเหมือนกับเป็นเมฆสีขาว แต่จริงๆมันก็คือควันพิษที่จะละลายทุกอย่างที่สัมผัส

ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้หยุดประกายสายฟ้า เขาเชื่อในพรรคพวกของตัวเอง

“ลูซู · ลู · ลูซูเรีย!”

“อวา · อวา · อวาริเทีย!”

ชั้นพลังงานทรงรีได้ห่มหุ้มร่างซอลจีฮู และสายลมรุนแรงก็ได้พัดเอาหมอกคันออกไปทำให้ซอลจีฮูได้โอกาสแทงหอกที่เต็มไปด้วยปราณดาบสีทองเข้าใส่ความบริสุทธิ์อันโสมม

ซ่าาาห์! เส้นผมของความบริสุทธิ์อันโสมมได้รัดพันหอกเอาไว้ได้ทันเวลา นั่นยังรวมไปถึงหยุดหอกของแบคแฮจู กับด้ายของแอ็กเนสอีกด้วย

-อ๊ากกกก!

เมื่อเห็นปลายหอกแกว่งไปทางขวาจากตรงหน้า ความบริสุทธิ์อันโสมมก็ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด นี่เป็นอีกครั้งที่เธอปล่อยพลังเทพออกมา

-?

เธอหวังว่าศัตรูจะถูกพลังที่ปล่อยออกมาจนกระเด็นลอยออกไป แต่ทั้งสามคนกลับยังยืนอยู่ได้ ถึงขนาดที่เธอรู้สึกว่าพวกเขาแกร่งขึ้น

‘ได้ไงกัน…!?’

ความบริสุทธิ์อันโสมมอดจะตกใจไม่ได้

วูบบบ!

ในตอนนั้นเองเธอถึงได้รู้ตัวว่ามิติรอบตัวกำลังบิดเบี้ยวไป พลังของเธอได้ถูกตัดขาดไปเพราะพลังที่ทรงพลังยิ่งกว่า

เมื่อเธอเห็นโรเซร่าที่กำลังยื่นมือมาด้านหน้าพร้อมตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เธอก็รู้ได้ทันทีว่าแม่มดคนนี้ได้ขังเธอ และพลังของเธอเอาไว้ในบาเรีย

ความบริสุทธิ์อันโสมมกัดฟันแน่น และพยายามพังบาเรียออกไป ในตอนนั้นเองจู่ๆฟินิกซ์ก็ทะยานกางปรกขึ้นมา และอ้าปากกว้าง

ความบริสุทธิ์อันโสมมที่เห็นบอลเพลิงสีแดงชานได้ตัวสั่นขึ้นทันที

เธอเริ่มเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง และความเมตตาอันบิดเบี้ยวถึงได้แพ้

จากนั้นเอง

-หืมมม?

โรเซร่าที่กำลังทุ่มพลังทั้งหมดไปกับการคงสภาพบาเรียได้หันหน้าไปอีกทางอย่างกระทันหัน

ซอลจีฮูก็ยังสะบัดหน้าไปมองทางเดียวกัน

เส้นแสงสีขาวได้ตวัดผ่านตรงกลางบาเรียน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่โรเซร่าได้สร้างขึ้น

แกร๊ก!

บาเรียได้แตกเป็นเสี่ยงๆ และเกิดรูขึ้นตรงกลางก่อนพวกเขาจะได้ทันรู้ตัว

ซอลจีฮูผงะไป

เขาอาจจะมองผิดไป แต่มันเหมือนมีบางอย่างเข้ามาผ่านรูนั่น

แต่เขามองไม่เห็นสิ่งผิดปกติเลย

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์อยู่นี่ สีหน้าของแบคแฮจูกลับซีดลง

เธอได้ถอนหอก และหันหน้าไปอีกด้านอย่างกระทันหัน ก่อนจะโยนหอกตรงไปทางรูด้วยสายตาเบิกกว้าง

ยังไงก็ตาม….

“ว๊าา!”

ตูม แรงระเบิดเล็กๆได้เกิดขึ้นเมื่อหอกของเธอทะลวงความว่างเปล่า

-อะไรกัน!?

ฟินิกซ์ที่เหมือนจะเหนสิ่งเดียวกันกับแบคแฮจูก็ยังพ่นเปลงเพลิงไปที่บาเรียน้ำแข็ง

ยังไงก็ตามเปลวเพลิงที่ทรงพลังกับถูกหั่นออกจากกันราวกับถูกตัดด้วยดาบ

ซอลจีฮูที่เห็นแบบนี้ก็กลายเป็นมั่นใจ เขาได้ถอยออกมาโดยไม่ลังเล

เขาคิดที่จะเล็งไปในจุดที่เปลงเพลิงถูกแยกออก แต่จากนั้น- ตูม! เขาได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

เปลวเพลิงได้หลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง

‘มันหายไป?’

ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น

ฟิลิป มูเลอร์ได้กระพริบตาอย่างเหม่อลอยแทนที่จะร่ายเวทย์

ทันใดนั้นเองเสียงเตือนได้ดังขึ้นในหัวซอลจีฮูอย่างกระทันหัน

ไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม

วูบบ!

ซอลจีฮูได้ขยับตัวพุ่งเข้าหาฟิลิป มูเลอร์ตาม ‘สัญชาตญาณ’ ในทันทีที่เขายกหอกพิสุจน์ขึ้น ดาบสีขาวก็ตวัดลงมาจากความว่างเปล่า

เคร๊ง!

เสียงโลหะกระทบกันได้ดังขึ้น

ซอลจีฮูได้กลั้นลมหายใจโดยไม่อยากจะเชื่อน้ำหนักที่กดลงมาเลย

เขาได้ฝืนเงยหน้ามองผ่านหอกและดาบที่ปะทะกันอยู่จนไปเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ถือดาบ

เขาสาบานได้เลยว่าวินาทีก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นอีกฝ่ายเลย ทุกอย่างมันน่าเหลือเชื่อ

“…หืม?”

แต่ชายหนุ่มก็ดูจะประหลาดใจพอๆกับซอลจีฮู

“นายอ่านย่างก้าวนิรันดร์ออกเหรอ? แล้วก็ยังป้องกันคมเขี้ยวขาวได้อีกด้วย?”

ซึงชิฮยอนได้มองลงไปอย่างสับสน

ซอลจีฮูก็กัดฟันเงยหน้าขึ้น

สายตาเฉียบคมอันหยิ่งผยองได้สบเข้ากับสายตาอันสง่างามที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

และดังนั้น…

“นายคือ…?”

“…!”

ชายหนุ่มทั้งสองคนได้สบสายตากันเขม็งอยู่กลางอากาศ