บทที่ 39 ข้ามีแค่พี่ชายข้าเท่านั้น ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 39 ข้ามีแค่พี่ชายข้าเท่านั้น ! (ปลาย)

ภายในห้อง

“ท่านพี่ ! ยอดผู้ฝึกกระบี่ทรงพลังมากเลยหรือเจ้าคะ ?”

“พวกเขาคงจะทรงพลังมากเชียวล่ะ !”

“แล้วท่านก็ถือเป็นยอดผู้ฝึกกระบี่ด้วยเช่นกันงั้นหรือ ?”

“แน่นอน ถ้าพูดถึงเรื่องยอดผู้ฝึกกระบี่ สักวันหนึ่งข้าย่อมเป็นได้แน่ !”

“โห ท่านพี่ ท่านขี้โกงนี่…”

“หึ… เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว ข้าจะสังหารเจ้าปิดปากเสีย !”

“ฮิ ๆ ข้าไม่กลัวหรอกเจ้าค่ะ…”

ครึ่งชั่วยามต่อมา เยี่ยฉวนก็ห่มผ้านวมให้เยี่ยหลิงที่หลับไปแล้ว จากนั้นเข้าไปในหอคอยโลกเรือนจำ

ฝึกวิชา !

มีเพียงผู้มีพลังแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะเป็นที่ยอมรับ !

ความจริงของสังคมได้สอนให้เขารู้เรื่องนี้ตลอดเวลา !

ตอนนี้ชายหนุ่มมีพลังอยู่ในขั้นหลอมรวมลมปราณ และยังเป็นเกือบจะแตะขอบเขตยอดผู้ฝึกกระบี่อีกด้วย ดังนั้นแล้วความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความสามารถในการตอบสนองจึงเกือบจะอยู่ในจุดสูงสุด !!

อาจกล่าวได้ว่า แม้ในตอนนี้ชายหนุ่มจะมีพลังในขั้นผสานลมปราณเท่านั้น แต่คนธรรมดาที่อยู่ในขั้น หลอมรวมลมปราณก็ไม่สามารถเทียบชั้นเขาได้ในด้านความแข็งแกร่ง ส่วนในขั้นผสานลมปราณ แม้ไม่อาจ กล่าวได้ว่าเขาอยู่ยงคงกระพัน ทว่าก็มีคนไม่มากนักที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ !

แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าการฝึกฝนและแสวงหาเต๋าเป็นเหมือนการล่องเรือทวนกระเเสน้ำ หากเขาไม่พัฒนา ฝีมือเขาก็จะล้าหลัง ดังนั้นเยี่ยฉวนจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย !

ตอนนี้เขาและเงาดำมีฝีมือเสมอกันตอนที่ต่อสู้กัน แต่จริง ๆ แล้วเขากลับไม่รู้สึกพอใจกับเรื่องนี้ เพราะ เป้าหมายที่แท้จริงของชายหนุ่มคือการเอาชนะเงาให้ได้ !

ภายในหอคอยโลกเรือนจำ เยี่ยฉวนอยู่ตัวคนเดียว อันที่จริงเขาก็ชักจะเคยชินกับการอยู่ตามลำพังเช่นนี้แล้วด้วย ส่วนสตรีลึกลับนั้น นางมักเงียบอยู่เป็นปกติ ดังนั้นเยี่ยฉวนจึงไม่รบกวนนางเพราะเขารู้ว่านางย่อม ไม่เต็มใจคุยกับเขาแน่นอน

การฝึกวรยุทธ์ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและโดดเดี่ยวนัก !

หลังจากนั้นสองชั่วยาม เยี่ยฉวนก็จึงหยุด เขายืนอยู่ในสถานที่เดิมพร้อมกับกระบี่ในมือ ทั้งร่างโชกไป ด้วยเหงื่อ

เยี่ยฉวนมองกระบี่หลิงเซียวในมือจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ข้ารู้สึกว่าข้าอยู่ในระดับสูงสุดในแต่ละครั้งที่ฝึกกับเงาแล้ว แต่พอข้าฝึกกับมันในครั้งหน้า ข้ากลับมีความรู้สึกเหมือนเดิม นี่ท่านได้เพิ่มพลังให้เงาดำหรือไม่ ?”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้น “การมีความรู้สึกเช่นนี้พิสูจน์ว่าเจ้ากำลังพัฒนา ฝีมือขึ้นในทุกครั้ง สำหรับจุดสูงสุด มันไม่มีจุดสูงสุดใดหรอก พื้นฐานของเจ้าในตอนนี้นับว่าดีสำหรับเมืองชิง หรือแคว้นเจียงเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ในแคว้นใหญ่หรือสำนักตระกูลใหญ่แล้ว พื้นฐานของเจ้านับว่า อยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่เจ้าพึ่งอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจอยู่ ในขั้นพลังนี้นานเกินไป เช่นเดียวกับเรื่องของกระบี่จิตวิญญาณที่เจ้าต้องค้นหาด้วยตัวเอง !”

เยี่ยฉวนพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “เข้าใจแล้ว”

สิ่งที่ชายหนุ่มต้องทำในตอนนี้ก็คือยกระดับพลังของตนเองในทุกด้านก่อนที่จะบรรลุขุมพลังหลอมรวมลมปราณ !

เขาหยุดฝึกวิชา จากนั้นจึงอาบน้ำและเข้านอน

ชายหนุ่มจะฝึกวรยุทธ์และวนเวียนทำเช่นนี้ในทุกวัน และมันก็เป็นไปได้ ที่เขาอาจต้องฝึกไปเรื่อย ๆ เช่นเดิมจนวันตาย !

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามครึ่ง เยี่ยฉวนก็ตื่นนอน !

เยี่ยหลิงเองก็ตื่นนอนเช่นกัน !

ไม่นานนัก ใครบางคนก็นำมื้อเช้าที่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิดมาส่ง ซึ่งสองพี่น้องก็นั่งทานพวกมัน เกือบจะทั้งหมด !

พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเพราะเคยยากจนมาก่อน จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยอมกินอะไรทิ้งขว้าง !

หลังรับประทานเสร็จแล้ว เยี่ยฉวนก็พาเยี่ยหลิงออกจากห้องไปยังชั้นดาดฟ้าของเรือเหาะ !

ในตอนนี้ เรือเหาะได้ลอยอยู่ในอากาศซึ่งสูงจากพื้นดินอย่างน้อย 300 กว่าจั้ง

คนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันอยู่บนดาดฟ้า สองพี่น้องเดินไปยังหัวเรือ ก่อนพบจุดดีที่สุดบนเรือที่มีแต่คนจากห้องระดับสูงสุด

เยี่ยฉวนเหลือบมองโดยรอบ เขาพบว่าเรือลำนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่อยู่ห่างออกไปและยังมีนกบิน ผ่านภูเขาเหล่านี้เป็นระยะ

“ว้าววว !”

ข้าง ๆ เยี่ยฉวน เยี่ยหลิงเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ท่านพี่ ดูสิ ภูเขาพวกนั้นดูเล็กลงเรื่อย ๆ เลยเจ้าค่ะ”

เยี่ยฉวนลูบศีรษะเล็กของเยี่ยหลิงเบา ๆ จากนั้นเขาจึงมองออกไปไกลในบริเวณที่มีภูเขาเขียวชอุ่มและ เมฆขาว ทันใดนั้นเยี่ยฉวนก็พลันเกิดอาการลังเลขึ้นมา

ยามที่เขาอยู่บนพื้นดิน ภาพที่เขาเห็นช่างจำกัด แต่ตอนนี้เมื่อเขาอยู่บนฟ้า สิ่งที่เขาเห็นกลับแตกต่าง อย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่เห็นบนพื้นดิน นี่ทำให้เขาคิดในมุมต่างออกไป

เมืองชิงช่างเล็กยิ่ง แต่โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก !

เขาตัวเล็กยิ่ง แต่โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ !

เมื่อเยี่ยหลิงเห็นสีหน้าของเยี่ยฉวน นางก็พลันเงียบเสียง นางรู้ว่าพี่ชายของนางกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่จึงเดินไปยังกราบเรือ มือทั้งคู่จับราวพลางอุทาน “สวยจังเลย !”

“บ้านนอกจริง ๆ!”

เป็นในตอนนั้นเองที่เสียงกร้าวดังขึ้นข้างหู เยี่ยหลิงและเยี่ยหลิงจึงหันไปมองทางต้นเสียง ไม่ไกลกันนักมีเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งในอาภรณ์หรูหรา เขามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนาง แต่อวบอ้วนเสียจนนางแทบมอง ไม่เห็นดวงตาที่อยู่เบื้องหลังแก้มกลมทั้งสอง !

เยี่ยหลิงหลบตาอย่างรวดเร็ว เพราะนางไม่อยากสร้างความลำบากให้กับผู้เป็นพี่ชาย

แต่เจ้าเด็กชายตัวเล็กคนนั้นกลับเดินตรงมาหาเยี่ยหลิง เขามองนางอย่างดูถูกและเอ่ยขึ้น “ดูเสื้อผ้า ของเจ้าสิ มีรอยปะเต็มไปหมด หาเสื้อผ้าใหม่ใส่ไม่ได้หรืออย่างไร ?”

เยี่ยหลิงทำทีไม่สนใจ ตอบเขากลับไปด้วยเสียงเรียบ “ข้าใส่มันได้ และก็มีแต่ท่านพี่ของข้าเท่านั้นที่มี สิทธิ์มาสอนข้า !”

เด็กชายตัวน้อยตบเสื้อผ้าของตนเองแล้วเอ่ยอย่างภาคภูมิ “เจ้ารู้ไหมว่าเสื้อผ้าชุดนี้ทำมาจากอะไร ? มันทำมาจากขนจิ้งจอกภูติและสัตว์ภูต มีค่าเท่ากับเสื้อผ้าเจ้าแสนชุด !”

เยี่ยหลิงเหลือบมองเสื้อผ้าของเด็กชายตัวน้อยและเอ่ยตอบ “ข้าไม่สนหรอก เพราะข้ามีท่านพี่ของข้า อยู่แล้ว”

เด็กชายตัวน้อยหยิบผลึกหยกใสออกมา ทำให้ดวงตาของเยี่ยหลิงหันมองตามด้วยความสนใจ

หยกนั้นช่างบริสุทธิ์ไร้ที่ติดูงดงามนัก !

เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลิงเสียสมาธิเพราะมันแล้ว เด็กชายตัวน้อยก็พลันเอ่ยอย่างภาคภูมิ “นี่คือหยกเสริม ปราณชั้นดี มีค่าเท่ากับก้อนทองหนึ่งพันก้อน เจ้ามีมันไหมล่ะ ?”

เยี่ยหลิงแค่นเสียงตอบ “ข้ามีท่านพี่ของข้าก็พอแล้ว !”

หลังได้ยินคำนี้ซ้ำหลายที ก็เหมือนว่าเด็กชายตัวน้อยจะโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว “เจ้าหยุดพูดถึงท่านพี่เจ้า ได้หรือไม่ ?!”

เยี่ยหลิงเมินเด็กชายเสีย นางมองท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไปและกระซิบ “ข้ามีแค่ท่านพี่ของข้าเท่านั้น…”