ตอนที่ 1828 มาถึงเมืองจักรพรรดิแล้ว (3) / ตอนที่ 1829 มาถึงเมืองจักรพรรดิแล้ว (4)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1828 มาถึงเมืองจักรพรรดิแล้ว (3)

หลังจากพูดจบ ฉีมั่วก็พูดอย่างเดือดดาล “ท่านพ่อ! ไอ้ชั่วฉีซูมันมีสิทธิ์อะไร มันมีสิทธิ์อะไรมาขายตำรับยาให้คนอื่น ตำรับยาเป็นของตระกูลฉีของพวกเรา!”

ใช่แล้ว แม้แต่ตอนนี้ฉีมั่วก็ยังเชื่อว่าตำรับน้ำยารวบรวมพลังฌานเป็นของตระกูลฉี การขายตำรับน้ำยารวบรวมพลังฌานให้องค์ชายรองก็เท่ากับขายทรัพย์สินของตระกูลฉี

ในฐานะทายาทของตระกูลฉี เขาจะยอมรับได้อย่างไร

“ไม่แปลกใจเลย” ฉีเจิ้งหลับตาอย่างผิดหวัง ไม่นานเขาก็ลืมตา “ข้าสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดองค์ชายรองของอาณาจักรเทียนฉีถึงช่วยเขาโดยไม่มีเหตุผล กลายเป็นว่าเขาเองก็ต้องการตำรับยาเหมือนกัน ฉีซูเป็นคนทรยศที่คอยดูดเลือดพวกเราแล้วแอบช่วยคนอื่น! เขาไม่เข้าใจว่าเขาควรจะยกสิ่งดีๆ ให้ตระกูลฉี ต่อให้ขายให้ตระกูลฉีก็ยังดี! แต่เขากลับยกให้คนอื่น!”

“ท่านพ่อ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี” ฉีมั่วโมโห ทันทีที่เขาคิดว่าตำรับยาที่ควรเป็นของเขาถูกคนอื่นขโมยไป ความโกรธก็ยิ่งปะทุขึ้น

“ฉีมั่ว ตอนนี้ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน อีกสองสามเดือนองค์หญิงสี่จะกลายเป็นสมาชิกของตระกูลฉี เจ้าไปหานางก่อนเถอะ” ฉีเจิ้งพูดขณะมองฉีมั่ว

ฉีมั่วสะดุ้ง แล้วใบหน้าน่ารักของมู่เสวี่ยซินก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ความละโมบและความปรารถนาพาดผ่านดวงตาเขา

ตั้งแต่ที่เขาเจอองค์หญิงครั้งแรก เขาก็หลงใหลนางมาก ใครจะรู้ว่าราชวงศ์จะจัดการหมั้นหมายให้นางกับฉีซู และองค์หญิงสี่ก็มองเพียงแต่ฉีซูเท่านั้น!

ทำไมกัน เขาเป็นบุตรคนโตของตระกูลฉีดังนั้นการหมั้นก็ควรเป็นของเขาไม่ใช่หรือ

โชคดีที่องค์จักรพรรดิประชวร และชะตาของอวิ๋นเยว่ชิงเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ เขาจึงมีโอกาสได้แต่งงานกับองค์หญิง

“อีกอย่าง…” ฉีเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “องค์หญิงเป็นได้แค่อนุเจ้าเท่านั้น นางไม่สามารถเป็นภรรยาของเจ้าได้”

“อะไรนะ” ใบหน้าของฉีมั่วฉายแววงุนงง

ให้องค์หญิงสี่มาเป็นอนุเขางั้นหรือ ราชวงศ์จะยอมหรือ

ฉีเจิ้งเองก็เห็นว่าฉีมั่วสับสนจึงอธิบาย “นี่เป็นคำสั่งของท่านน้าเจ้า ถ้าเจ้าอยากแต่งงานกับองค์หญิงสี่ นางก็ต้องเข้ามาเป็นอนุเจ้าเท่านั้น!”

น้าของฉีมั่วก็คือฉีฉินซึ่งเป็นพระสนมฉินที่เกลียดมู่เสวี่ยซินเข้ากระดูกดำ

ในเมื่อพระสนมฉินเกลียดชังมู่เสวี่ยซินแล้วนางจะยอมให้มู่เสวี่ยซินแต่งเข้ามาเป็นภรรยาเขาได้อย่างไร มู่เสวี่ยซินต้องเป็นแค่อนุเท่านั้น!

“ตราบใดที่ข้าได้ตัวนาง จะเป็นอนุก็ไม่มีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าข้าได้องค์หญิงของราชวงศ์มาเป็นภรรยาแล้วในอนาคตข้าจะรับอนุได้อย่างไร” ฉีมั่วเลียมุมปาก “ถ้านางเป็นอนุ นางก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องของข้า”

ฉีซู อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่านางเป็นคนที่อยู่ในใจเจ้าถึงแม้ว่าเจ้าจะเอาแต่ปฏิเสธมู่เสวี่ยซินก็ตาม ข้าอยากจะทำให้เจ้ารู้นักว่าสตรีที่เจ้าชอบก็มีค่าแค่อนุที่ข้าเอามาเล่นทิ้งขว้างได้ตามใจ! ถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องเจ็บปวดไปตลอดชีวิต!

เขาจินตนาการสีหน้าเจ็บปวดของฉีซูจนระเบิดหัวเราะออกมา

คำพูดต่อมาของฉีเจิ้งก็ทำให้หัวใจของเขาลิงโลดอีกครั้ง

“มั่วเออร์ ไปเตรียมตัว ข้าจะพามารดาของเจ้ากลับมาที่จวนในอีกสองสามวัน ข้าอยากจะให้สถานะกับนาง”

“ขอรับท่านพ่อ”

ตอนนั้นเอง ฉีมั่วก็รู้สึกเหมือนว่าชีวิตของตัวเองเป็นผู้ชนะเหนือผู้คน เขาไม่ได้มีแค่อำนาจและฐานะแต่มารดาของเขาก็ได้กลับมาที่จวนเหมือนกัน มารดาของเขาจะกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องของตระกูลฉี นี่เป็นเรื่องที่ฉีซูสามารถแข่งขันได้หรือ

ผู้ชายคนนั้นทำได้แค่เงยหน้ามองเขาเท่านั้น!

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ” ฉีเจิ้งโบกมือแล้วมองฉีมั่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเอาใจใส่

ฉีมั่วประสานมือเคารพแล้วถอยออกไป เขาอยากไปหาองค์หญิงสี่และทำให้นางเข้าใจว่าการพึ่งพาเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด…

….

ภายในสวนด้านในพระราชวัง มู่อี้หรานนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาซีดไร้สีเลือดและลมหายใจของเขาก็แผ่วเบา

สตรีงดงามในชุดชาววังกำลังนอนอยู่ข้างๆ เขา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแต่สีหน้าของนางก็ไม่ได้แสดงความเสียใจอย่างจริงใจ การกระทำของนางก็เพื่อสร้างภาพเท่านั้น

ตอนที่ 1829 มาถึงเมืองจักรพรรดิแล้ว (4)

ทันใดนั้นคนที่อยู่ด้านนอกก็ประกาศขึ้น “พระสนมฉิน องค์หญิงสี่กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อะไรนะ” พระสนมฉินตะลึง เด็กนั่นยังไม่ตายอีกหรือ

พระสนมฉินรู้ตัวว่าตอบสนองมากเกินไปและในห้องก็ยังมีขุนนางและแม่ทัพอยู่ด้วย นางจึงรีบกลบเกลื่อน

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของนาง “ดีแล้วที่เด็กคนนั้นกลับมา พระองค์ต้องได้หญ้าเสวียนซินมาด้วยแน่ ฝ่าบาทจะได้หายประชวร”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นขุนนางก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน อาณาจักรไม่สามารถขาดจักรพรรดิได้ ถ้าฝ่าบาทยังไม่ได้สติและไม่ฟื้นขึ้นมา ในที่สุดอาณาจักรหลิวเฟิงก็จะโดนยึดครอง!

“ข้าน้อยคำนับองค์หญิง” เสียงต้อนรับดังขึ้นจากด้านนอกประตูอย่างต่อเนื่อง

ไม่นาน มือบางคู่หนึ่งก็ผลักประตูเข้ามาแล้วร่างกระฉับกระเฉงก็เข้ามาในห้อง

พระสนมฉินเป็นคนแรกที่ต้อนรับนาง พระสนมฉินยกยิ้มจอมปลอมแล้วพูดขึ้น “องค์หญิง พระองค์ได้หญ้าเสวียนซินกลับหรือไม่เพคะ ถ้าท่านมีก็รีบเอาออกมาเถอะเพคะ หรือว่าพระองค์ไม่อยากช่วยฝ่าบาทงั้นหรือ”

ทันทีที่มู่เสวี่ยซินได้ยินพระสนมฉินพูดถึงหญ้าเสวี่ยนซิน ไฟโกรธก็ลุกโชนขึ้นในดวงตานางแล้วจ้องหน้าพระสนมฉินอย่างแค้นเคือง “เจ้ายังกล้าถามข้าอีกหรือ เจ้าโกหกข้าว่าหุบผาหลิงชวนมีหญ้าเสวียนซิน ข้าพลิกทั้งหุบผาหาแล้วก็ไม่เจอสักต้นเดียว!”

“อะไรนะ” พระสนมฉินยกมือขึ้นปิดปากด้วยความประหลาดใจ “องค์หญิง พระองค์พูดว่าพระองค์พลิกหุบผาหางั้นหรือ เท่าที่หม่อมฉันรู้หุบผาหลิงชวนมีอันตรายนับไม่ถ้วน ถ้าพระองค์ค้นหาทุกซอกทุกมุมของหุบผาจริง พระองค์จะมายืนอยู่ที่นี่โดยไร้รอยขีดข่วนได้อย่างไรเพคะ ถ้าพระองค์ถามหม่อมฉัน พระองค์ก็แค่คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าเข้าไปในหุบผาหลิงชวนใช่หรือไม่”

มู่เสวี่ยซินส่งเสียงขึ้นจมูก “ในเมื่อพระสนมฉินรู้ว่าหุบผาหลิงชวนมีอันตรายมากมาย เหตุใดเจ้าถึงบังคับให้ข้าไปที่นั่นแต่ตัวเองซ่อนอยู่ในพระราชวังกันล่ะ เจ้าบอกว่าเจ้ารักเสด็จพ่ออย่างลึกซึ้งแต่ข้าไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย”

พระสนมฉินซ่อนร่องรอยความอับอายบนใบหน้าเอาไว้แล้วหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “หม่อมฉันต้องคอยดูแลฝ่าบาทดังนั้นหม่อมฉันจะออกไปได้อย่างไรเพคะ ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะบุตรสาวของฝ่าบาท องค์หญิงก็ควรจะเสี่ยงชีวิตเพื่อฝ่าบาทสิเพคะ”

“อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมให้ยอดฝีมือของราชวงศ์ไปกับข้า ถ้าพระราชวังไม่มียอดฝีมือ ตระกูลฉีก็ควรจะมีสักสองสามคนไม่ใช่หรือ”

คำพูดของมู่เสวี่ยซินทำให้ใบหน้าของพระสนมฉินแข็งค้าง ขุนนางที่อยู่ในห้องทุกคนก็หันมามองพระสนมฉินทันที

พระสนมฉินไม่ได้เกลียดชังจักรพรรดินีคนก่อนมากนักเพราะถึงอย่างไรจักรพรรดินีก็สิ้นพระชนม์ไปแล้วและตระกูลฉีก็ยังไม่ได้มีอำนาจมากเท่าไหร่ ดังนั้นพระสนมฉินจึงไม่เคยเห็นอดีตจักรพรรดินี แต่ว่านางเกลียดมู่เสวี่ยซิน!

เพราะว่าองค์จักรพรรดิรักมู่เสวี่ยซินมากจนทำให้ภายในใจของนางไม่มีความสุข

มู่เสวี่ยซินเป็นแค่บุตรสาวและอย่างน้อยนางให้กำเนิดบุตรชาย แต่นางไม่เคยเห็นองค์จักรพรรดิเอาใจใส่บุตรชายของนางมากขนาดนั้น

ตอนที่อวิ๋นเยว่ชิงอยู่ที่นี่ พระสนมฉินก็ไม่กล้าทำตัวอวดดีเพราะนางรู้จักนิสัยของอวิ๋นเยว่ชิง ถ้าอวิ๋นเยว่ชิงรู้นิสัยที่แท้จริงของนางล่ะก็ นางจะไม่มีทางสนับสนุนตระกูลฉีอีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้นมู่เสวี่ยซินก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับฉีซู และอวิ๋นเยว่ชิงก็เป็นพวกชอบปกป้องดังนั้นพระสนมฉินจึงไม่เคยรังแกมู่เสวี่ยซิน

สุดท้ายพระสนมฉินก็ไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองจนกระทั่งหนึ่งปีหลังจากที่อวิ๋นเยว่ชิงหายตัวไป!

“พระสนมฉิน การกระทำของพระสนมเป็นการไม่ใส่ใจต่อความปลอดภัยขององค์หญิงสี่” ขุนนางคนหนึ่งไม่สามารถอยู่เงียบๆ ได้ เขาจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับองค์หญิง แล้วข้าน้อยจะอธิบายกับฝ่าบาทว่าอย่างไร”

พวกเขารู้ว่ามู่เสวี่ยซินเดินทางไปหุบผาหลิงชวนแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเพราะราชวงศ์มียอดฝีมือจำนวนมาก แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือพระสนมฉินจะไม่ให้ยอดฝีมือเหล่านั้นกับมู่เสวี่ยซินแม้แต่คนเดียว