ตอนที่ 547-1 การจัดฉากของดอกไม้พิสดาร

พันธกานต์ปราณอัคคี

เมื่อเอ่ยออกมา สายตาทุกคนตกอยู่ที่มั่วชิงเฉิน 

 

 

คนจำนวนไม่น้อยเอ่ยด้วยเสียงขาดห้วง “จริงด้วย ในภาพเหตุการณ์นั้นขาดสหายมั่วไป!” 

 

 

มั่วชิงเฉินใจเต้นโครมคราม ตอนที่ภาพน่าประหวัดหวั่นปรากฏขึ้นในกระดานดารา นางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บางทีคนในมักมองไม่ออก จิตใจจมปลักอยู่ในนั้น ถึงกับดูความผิดปกติไม่ออก นั่นเพราะว่าในภาพเหตุการณ์นั้นขาดตัวนางไป! 

 

 

ทุกคนในที่นี้ทั้งมีทั้งผู้บำเพ็ญเพียร ปีศาจ และมาร ผู้บำเพ็ญเพียรรู้ฐานะของมั่วชิงเฉินก็แล้วกันไปเถิด ฝ่ายปีศาจและมารมองมั่วชิงเฉินด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไป 

 

 

นักพรตเฉาหยางสวมอาภรณ์สีม่วง หนึ่งในพี่น้องฝาแฝดมารบำเพ็ญเพียรก้าวออกมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกพิกล “สหายมั่ว ช่วยอธิบายหน่อยได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ในภาพเหตุการณ์ด้วย” 

 

 

ถึงแม้มั่วชิงเฉินจะสติหลุดไปเพราะพบเรื่องแปลกของตัวเองอยู่บ้าง เมื่อตกอยู่ในภายใต้สายตาร้อนแรงของทุกคนก็ได้สติกลับมา มองนักพรตเฉาหยางที่มีท่าทีบีบคั้นคน สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเนิบๆ ว่า “สหายเฉาหยาง คำพูดของท่านออกจะน่าขันนัก ภาพที่ปรากฏในกระดานดาราเป็นเรื่องในอนาคต ในเมื่อยามนี้ยังไม่เกิดขึ้นแล้วข้าจะตอบได้อย่างไร” 

 

 

นางหาใช่คนที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ใครก็ได้รังแกเหมือนเมื่อหลายปีก่อนอีกแล้ว ในสถานการณ์เล็กน้อยเช่นนี้ หากอ่อนแอจนเกินไป ภายหน้าคงเลี่ยงการถูกทุกคนบดขยี้ไม่ได้ 

 

 

นักพรตซิงหว่านสวมชุดสีฟ้าลุกขึ้นมายืนข้างผู้เป็นพี่ชาย มองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าไม่พอใจ “สหายมั่ว เวลานี้ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย หรือเจ้ายังคิดปิดบังอีก” 

 

 

คำพูดนี้หมายความว่า นางมีแผนการร้าย 

 

 

ขณะที่มั่วชิงเฉินกำลังจะเอ่ยวาจา นักพรตจื่อซีก็เดินเข้ามา คิ้วเรียวราวกิ่งเหมยพาดเป็นเส้นตรง ตำหนิว่า “นักพรตซิงหว่านพูดอันใดกัน เดิมข้าคิดว่าพี่ชายท่านเลอะเลือน คิดไม่ถึงว่าคนเป็นน้องอย่างท่าน ยามเลอะเลือนขึ้นมาก็มิด้อยกว่ากันนัก!” 

 

 

นักพรตเฉาหยางสีหน้าขรึมลงมาก น้ำเสียงเย็นชา “นักพรตจื่อซี ที่นี่หาใช่ที่ที่ท่านมาโอ้อวด ปล่อยให้นางเสือแก่คิดจะสำแดงบารมีตามอำเภอใจ!” 

 

 

ทั้งๆ ที่บรรยากาศดุเดือด แต่บางคนได้ฟังยังอดหยักมุมปากมิได้ 

 

 

มั่วชิงเฉินแอบร่ำร้องว่าแย่แล้ว นักพรตจื่อซีได้ฟังก็อดโมโหไม่ได้ 

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่านักพรตจื่อซีเพียงแต่ยิ้มเย็นชา ดวงเนตรหงส์กวาดมองทุกคน เอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน “สหายทุกท่าน ไม่รู้สึกว่าสองคนนี้เลอะเลือนอย่างนั้นหรือ” 

 

 

นักพรตเฉาหยางยิ้มทั้งๆ ที่โมโห “นักพรตจื่อซี ข้าล้างหูรอฟังอยู่ ท่านช่วยชี้แนะว่าข้าเลอะเลือนที่ใดกัน” 

 

 

ทุกคนมองนักพรตจื่อซี ถึงไม่เอ่ยวาจา แต่สายตากลับร้อนรนแล้ว 

 

 

เรื่องเกี่ยวพันกับความตาย พูดตามตรงแล้วต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรก็ยังแทบจะจับมั่วชิงเฉินมาถกกันให้รู้เรื่อง สิ่งที่นักพรตเฉาหยางและนักพรตซิงหว่านถามออกมา ก็คือสิ่งที่พวกเขาอยากรู้อย่างเร่งด่วน 

 

 

นักพรตจื่อซีเม้มปาก “ข้าบอกว่าท่านสองคนเลอะเลือน เพราะพวกท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ในพวกเรามีคนที่โชคดี ย่อมถือเป็นเรื่องดีอย่างไรเล่า!” 

 

 

ครั้นคำพูดนี้เอ่ยออกมา คนทั้งหลายจิตใจสั่นไหว เพราะความรู้สึกอยากซักไซ้ไล่เลียงที่เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ ได้พบว่ามั่วซิงเฉินไม่ได้ปรากฏอยู่ในภาพเหตุการณ์นั้นด้วยค่อยๆ สงบลง 

 

 

จริงด้วย ไม่ว่ามั่วชิงเฉินใช้วิธีอะไรจนโชคดีรอดมาได้ คนอื่นจะทำไม่ได้เชียวหรือ ต้องเข้าใจว่าคนที่เข้าโลกดวงดาวแล้วอยู่รอดมาถึงตอนี้ได้ ไม่มีใครที่ไม่ใช่ยอดฝีมือในยอดฝีมือ 

 

 

การมีชีวิตรอดของมั่วชิงเฉิน ก็บ่งบอกชัดเจนว่าเหตุการณ์นั้นไม่ใช่ไม่อาจขัดขืนดิ้นรนได้เลย เมื่อคิดได้ในมุมนี้ ก็ถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง  

 

 

คนนั้นก็แปลกนัก ยามที่ได้เห็นตัวเองตายอย่างหน้าอนาถต่อหน้าต่อตา แต่คนอื่นกลับรอดชีวิต ต่อให้มีการคบหากับคนผู้นั้นอยู่บ้าง ในใจก็เกิดความไม่ยินยอม เกิดความคิดร้ายในใจบางอย่างมิอาจเอ่ยออกมาตามตรงได้ 

 

 

แต่ครั้นปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ มีคนรอดชีวิตก็หมายความตัวเองมีโอกาสเช่นกัน ความรู้สึกนั้นก็ต่างไปแล้ว 

 

 

ถึงแม้ทุกคนในตอนนี้ขบคิดถึงคำถามนี้ แต่สายตาที่มองมั่วชิงเฉินกลับไม่ชวนให้คนอึดอัดอีกต่อไป 

 

 

‘ข้าตายแล้วทำไมคนผู้นี้ยังรอดอยู่ได้’ กับ ‘คนผู้นี้มีวิธีทำให้ข้ารอดอยู่ได้’ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ 

 

 

มั่วชิงเฉินรับรู้ได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของทุกคน ยิ้มซึ้งใจให้กับนักพรตจื่อซี มองคนรอบๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายทุกท่านควรทราบว่า เมื่อระดับการบำเพ็ญของพวกเรามาถึงขั้นนี้ การจะบอกเรื่องสมบัติวิเศษลับหรือเคล็ดวิชาลับให้ทุกคนได้เห็นได้ฟังอย่างชัดแจ้งนั้นเป็นไปไม่ได้ หากมีสหายท่านใดไม่พอใจ ไม่สู้ลองวางตัวเองไว้ในจุดนี้ขบคิดดูสักหน่อย” 

 

 

ทุกคนได้ฟังก็พากันพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว  

 

 

เผยไม้ตายของตัวเองออกไป เท่ากับเผยความสามารถทั้งหมดออกไปแล้ว และผู้บำเพ็ญที่เผยความสามารถที่แท้จริงออกไป ยากที่จะเดินบนเส้นทางผู้บำเพ็ญได้ไกล 

 

 

ในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน คนที่มาถึงระดับก่อแก่นปราณก็ถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงแล้ว ระหว่างผู้บำเพ็ญชั้นสูงจะไม่ผูกความแค้นกันง่ายๆ ต่อให้ผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดมีความสามารถสูงกว่าผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณ ในยามปกติทั่วไปที่พบกับระดับก่อแก่นปราณก็มักจะรักษาความเกรงใจเอาไว้ นั่นเพราะว่าใครก็ไม่รู้ว่าผู้ที่บำเพ็ญชั้นสูงมีไม้ตายอันใด หากผลีผลามอาจจะก่อความเสียหายให้กับตัวเองได้  

 

 

“แต่ตอนนี้ในเมื่อเป็นช่วงเวลาพิเศษ” น้ำเสียงนักพรตเฉาหยางอ่อนลง  

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจว่าคนน้อยไม่อาจเทียบคนมาก หากบ่ายเบี่ยงอย่างแข็งขืน ยั่วยุให้คนทั้งหมดไม่พอใจ อย่างนั้นจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเกินไป จึงยิ้มเอ่ยเสียงสดใสว่า “ตอนนี้เป็นเวลาพิเศษก็จริง เพียงแต่ทุกท่านอยากทราบว่าข้าทำอย่างไรถึงรอดได้ ข้ายากจะเอ่ยได้ชัดเจน ต่อให้ข้าบอกไป ทุกท่านจะเชื่อจริงๆ หรือ ดังนั้นข้าคิดว่า เรื่องที่ควรทำตอนนี้คืออีกเรื่องหนึ่ง” 

 

 

“เรื่องอะไร” ทุกคนถามพร้อมเพรียง 

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยออกมาทีละคำ “แลกเปลี่ยนข้อมูล” 

 

 

“แลกเปลี่ยนข้อมูลหรือ” มีคนขมวดคิ้วถาม 

 

 

“ไม่ผิด ดอกไม้สีแดงในภาพน่าจะเป็นดอกไม้พิสดารที่ปรากฏขึ้นหลังจากส้มโอมือสีทองเก้าผลถูกเด็ดออกมาแล้ว ดูท่าหลังจากที่พวกเราเข้ามาในโลกดวงดาว จะมากจะน้อยต้องพบเรื่องที่เกี่ยวพันกับดอกไม้พิสดาร หากพวกเราเล่าเรื่องที่พบพานมา ไม่แน่ว่าอาจพบเบาะแสอะไรจากในนั้นบ้าง” 

 

 

“สหายมั่วเอ่ยมาก็มีเหตุผล” มีคนพยักหน้าเห็นด้วย 

 

 

ข้อเสนอของมั่วชิงเฉินได้รับการยอมรับจากทุกคน พวกเขารวมตัวกันเล่าประสบการณ์ที่เกี่ยวพันกับดอกไม้พิสดารออกมา 

 

 

หนึ่งในนั้นมั่วชิงเฉินเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ได้รับดอกเบญจมาศแดง และเรื่องของพวกนักพรตปี้เหลยตามหาที่ตั้งสำนักไป่ฮวา เรื่องที่ได้รับความสนใจที่สุดคือ นักพรตจื่อจั้นพบวิญญาณบุปผาซ่อนอยู่ในแหวน เพียงแต่วิญญาณบุปผานั้นหลับอยู่ 

 

 

“สหายทุกท่านดูสิ ข้าสวมแหวนมาตั้งนาน บุปผาวิญญาณยังไม่ตื่นขึ้นมา ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” นักพรตจื่อจั้นถอดแหวนออกมาอย่างเปิดเผย 

 

 

ทุกคนหยิบแหวนไปวิเคราะห์ดูทีละคน ล้วนส่ายหน้า 

 

 

มั่วชิงเฉินรับแหวนมา ใช้จิตเข้าตรวจสอบ ได้ยินเสียงเบญจมาศแดงในถุงอสูรวิญญาณร้องอย่างตกใจ “ส้มโอมือสีทอง!” 

 

 

มั่วชิงเฉินถามด้วยจิต เบญจมาศแดงตอบ “วิญญาณบุปผาของส้มโอมือสีทอง!” 

 

 

“เช่นนั้นเจ้ามีวิธีปลุกมันขึ้นมาหรือเปล่า” มั่วชิงเฉินยินดีอยู่ในใจ 

 

 

เบญจมาศแดงกลับส่ายหน้า 

 

 

ทุกคนเห็นมั่วชิงเฉินถือแหวนไว้ สีหน้าเปลี่ยนไป อดถามไม่ได้ว่า “สหายมั่ว เจ้ามีวิธีหรือไม่” 

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “ข้าก็ไร้หนทาง เพียงแต่เบญจมาศแดงบอกข้าว่า นี่คือวิญญาณบุปผาของส้มโอมือสีทอง” พูดพลางส่งแหวนให้กับนักพรตจื่อซีที่อยู่ข้างกาย  

 

 

นักพรตจื่อซีตอบรับต่อ “ข้าไม่ถนัดเรื่องพวกนี้” 

 

 

ถึงจะเอ่ยเช่นนี้ ยังส่งกระแสจิตเข้าไปสำรวจ ไม่ช้าก็ถอนจิตออกมา ส่ายหน้า 

 

 

“ให้ข้าลองบ้าง” น้ำเสียงของหญิงสาวด้านข้างดังขึ้นมา นั่นคือซื่อเหนียงปีศาจบำเพ็ญเพียร 

 

 

เวยเซิงลิ่วตบศีรษะเอ่ยขึ้นว่า “จริงสิ เรื่องนี้ซื่อเหนียงน่าจะเชี่ยวชาญที่สุด” 

 

 

ซื่อเหนียงถลึงตาใส่เวยเซิงลิ่วคราหนึ่ง “หุบปาก!” ครั้นเอ่ยจบสองตาหลับลง กำแหวนแน่น 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง มือของซื่อเหนียงที่กำแหวนอยู่เรืองแสงออกมา  

 

 

เมื่อผ่านไปอีกสักพัก ซื่อเหนียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น 

 

 

ผู้บำเพ็ญปีศาจที่คุ้นเคยกันรีบถามขึ้น “ซื่อเหนียงจื่อ เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

ซื่อเหนียงปาดเหงื่อที่หน้าผาก ปรายตามองแหวนเอ่ย “สหายมั่วเอ่ยไม่ผิด สิ่งที่อยู่ในแหวนคือวิญญาณบุปผาของส้มโอมือสีทองจริงๆ” 

 

 

“ท่านปลุกมันขึ้นมาแล้วหรือ” คนหลายคนส่งเสียงถามพร้อมกัน 

 

 

ซื่อเหนียงมุ่นคิ้วเอ่ย “วิญญาณบุปผาออกจากส้มโอมือสีทองนานเกินไป อ่อนแอเป็นพิเศษ เมื่อครู่ข้าใช้วิชาลับฝืนปลุกมันขึ้นมาเพียงชั่วครู่เท่านั้น สื่อสารกันเพียงเล็กน้อย มันบอกว่าส้มโอมือสีทองเก้าผลรวมกันถึงปลุกมันขึ้นมาได้อย่างแท้จริง” 

 

 

“ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่” 

 

 

ซื่อเหนียงส่ายหน้า “ไม่มี มีแค่ประโยคนี้ ยังมีที่เอ่ยออกมาอีก แต่สหายทุกท่านจะทำตามมันหรือไม่” 

 

 

เวยเซิงลิ่วแสยะยิ้มไม่พอใจเอ่ยว่า “มันจะทำร้ายคนหรือเปล่า” 

 

 

สื่ออิ่นยิ้มเย็นชาเอ่ย “ไม่ว่าจะทำร้ายคนหรือไม่ เกรงว่าพวกเราได้แต่ปลุกมันขึ้นมาแล้วค่อยว่ากัน ทุกท่านอย่าลืมว่า ส้มโอมือสีทองเป็นสิ่งที่สะกดดอกไม้พิสดารในปีนั้น!” 

 

 

“สหายสื่อพูดไม่ผิด ข้ามีส้มโอมือสีทองอยู่ผลหนึ่ง” นักพรตจื่อจั้นเอ่ย หยิบส้มโอมือสีทองวางไว้บนโต๊ะ  

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบส้มโอมือสีทองออกมาเงียบๆ วางไว้ด้วยกัน 

 

 

จากนั้นก็มีผู้บำเพ็ญอีกสามคนหยิบส้มโอมือสีทองออกมา 

 

 

ผู้บำเพ็ญที่พอรู้สถานการณ์อยู่บ้างมองสื่ออิ่น 

 

 

สื่ออิ่นยิ้มเย็นๆ ล้วงส้มโอมือสามผลออกมาวางบนโต๊ะ 

 

 

“ส้มโอมือสีทองแปดผล ไม่ทราบว่าอีกผลหนึ่งอยู่ในมือสหายท่านใด” นักพรตจื่อจั้นถามขึ้น 

 

 

เมื่อสงบลงไปครู่หนึ่ง ซื่อเหนียงก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ผลนั้นน่าจะอยู่ในมือเฮ่ออีหลัง” 

 

 

ครั้นได้ยินชื่อนี้ มั่วชิงเฉินและนักพรตจื่อซีสบตา 

 

 

“เฮ่ออีหลังหรือ ใช่บุรุษหน้าหยกแห่งสกุลเฮ่อผู้มีชื่อเสียงทัดเทียมกับฮวาเชียนซู่แห่งนิกายมารแดงหรือเปล่า” นักพรตหย่าอี้นิกายเหอฮวนโพล่งออกมา 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจากแดนไท่ไป๋ไม่ขาดบุคคลมากความสามารถ สตรีที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในแดนไท่ไป๋ย่อมเป็นมั่วหรานอีหญิงงามอันดับหนึ่งแดนไท่ไป๋ ไม่ว่ารูปโฉมของนาง หรือว่าจะเรื่องถอนหมั้น รวมถึงเรื่องที่นางแตกหักกับแม่เลี้ยงผู้เป็นเจ้าสำนักเม่ยหมัว ล้วนแล้วแต่ทำให้ชื่อเสียงของนางโด่งดังระเบิดระเบ้อ 

 

 

ในบรรดาบุรุษ ฮวาเชียนซู่แห่งนิกายมารแดงด้วยพลังฝีมือแข็งแกร่งกอปรกับท่วงท่าสง่างามทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ได้รับขนาดนามว่าเป็นพฤกษาล้ำค่าแห่งตระกูลฮวา 

 

 

ถึงแม้เฮ่ออีหลังที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับฮวาเชียนซู่เพิ่งจะแสดงความสามารถเป็นที่ประจักษ์ ทว่าก็เป็นที่รู้จัก 

 

 

พฤกษาล้ำค่าแห่งสกุลฮวา บุรุษหยกแห่งสกุลเฮ่อ ไม่รู้ว่าเป็นชายในฝันของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมากมายแค่ไหน 

 

 

ซื่อเหนียงยิ้มยกมุมปากเอ่ย “ข้าไม่รู้จักพวกผู้บำเพ็ญมนุษย์อย่างพวกเจ้า แต่คนที่เข้ามาในโลกดวงดาวนั่นก็คือเฮ่ออีหลังผู้นั้น ตอนนั้นพวกเราร่วมมือกันตามหาส้มโอมือสีทองผลนั้น แต่เฮ่ออีหลังทุ่มเทไปมาก สุดท้ายก็ตกอยู่ในมือเขา”