ตอนที่ 547-2 การจัดฉากของดอกไม้พิสดาร

พันธกานต์ปราณอัคคี

ความจริงที่สำคัญที่สุดคือตอนนั้นสุ่ยหลิงหลงสนับสนุนเฮ่ออีหลังอย่างผิดปกติ นางอ่อนแอกว่า จึงได้ยอมปล่อยวางไม่ต่อสู้  

 

 

“คนผู้นั้นเล่า หลายปีมานี้เหมือนไม่เคยพบเห็นมาก่อน” มีคนเอ่ยขึ้น 

 

 

“จริงด้วย ข้าก็ไม่เคยพบมากก่อน” คนจำนวนไม่น้อยสนับสนุนขึ้น 

 

 

คนทั้งหมดมองไปซื่อเหนียง นางเล่าต่อ “ภายหลังแยกทางกันแล้ว ตอนนั้นสุ่ยหลิงหลงไปกับเขา หลังจากนั้นข้าก็ไม่เคยพบกันอีกเลย” 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์เรียกได้ว่าไม่ดีนัก 

 

 

หลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครเคยพบเฮ่ออีหลังเลย ยันต์รวมตัวปรากฏครั้งนี้ ก็ไม่เห็นเขามา หรือว่าคนจะดับสูญไปแล้ว 

 

 

หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นส้มโอมือสีทองผลสุดท้ายอาจหาไม่พบอีก 

 

 

บรรยากาศหนักอึ้งลง สื่ออิ่นโพล่งขึ้นมาว่า “ทุกคนจำได้หรือไม่ว่า ในภาพเหตุการณ์นั้น ผู้หญิงที่ปรากฏตอนสุดท้ายเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง” 

 

 

“หือ ความหมายของสหายสื่อคือ” มีคนถามขึ้น 

 

 

สื่ออิ่นเอ่ยว่า “ต่อให้หาส้มโอมือสีทองผลหนึ่งไม่พบ พวกเราไม่ลองเปลี่ยนความคิดดู ดูว่าจะหาทางรอดจากภาพเหตุการณ์นั้น ข้าเห็นว่าในเวลานั้น ผู้หญิงคนนั้นคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ไม่แน่สิ่งที่นางบอก อาจช่วยพวกเราหาจุดเริ่มต้นได้” 

 

 

“ผู้หญิงในภาพเหตุการณ์พูดอะไรก็จริง แต่ด้วยความสามารถของข้า ไม่สามารถดึงเสียงของนางออกมาได้” นักพรตเฟยหยางเอ่ยเนิบๆ  

 

 

เขารีดเร้นพลังทั้งหมดออกมาแล้ว กลับดูสงบนิ่งขึ้น  

 

 

“นักพรตเฟยหยาง ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ ท่านลองอธิบายหน่อยได้ไหม” ซื่อเหนียงถาม 

 

 

นักพรตเฟยหยางหยิบกระดานดาราออกมากล่าวว่า “ข้าไร้เรี่ยวแรงแล้ว แต่ภาพเหตุการณ์ที่เคยปรากฏขึ้นในกระดานสามารถเก็บไว้ได้ สหายทุกท่านอยากเห็นอีกครั้งหรือไม่” 

 

 

ภาพเหตุการณ์เช่นนั้น เพียงแค่นึกขึ้นมา คนทั้งหมดต่างจิตใจสั่นไหว 

 

 

ซื่อเหนียงผลักเวยเซิงลิ่วมาด้านหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่ให้ข้าดู ให้เขาดูอีกสักรอบ” 

 

 

สายตาทุกคนที่มองซื่อเหนียงคือความดูแคลน นี่คือคำกล่าวที่ว่ามีทุกข์ร่วมต้านอย่างนั้นหรือ 

 

 

ซื่อเหนียงโมโห ชี้ที่ที่เวยเซิงลิ่ว “เขารู้วิชาอ่านปาก” 

 

 

ครั้นได้ฟัง ทุกคนต่างแตกตื่นตกใจ 

 

 

เวยเซิงลิ่วขัดเขิน เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าพูดออกมาทำไม ข้าไม่ชินเวลาถูกนับถือ” 

 

 

ถึงเสียงจะเบา ทว่าทุกคนกลับได้ยินชัดเจน ยิ่งพากันส่งสายตาดูแคลนยิ่งขึ้น 

 

 

นับถืออันใดกัน ในยามปกติ ใครจะไปใช้วิชาต้อยต่ำเช่นนี้กันเล่า 

 

 

นักพรตเฟยหยางจับกระดานดาราไว้ ฝืนส่งแสงวิญญาณจากปลายนิ้วเข้าไป 

 

 

กระดานดาราส่องแสงอยู่กลางอากาศ จากนั้นภาพเหตุการณ์ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

เวยเซิงลิ่วดูด้วยสีหน้าซีดเซียว ตอนที่เห็นตัวเองใบหน้าเต็มไปด้วยเหี่ยวย่นจนกลายเป็นปุ๋ยต้นไม้ อดไม่ไหวหันไปจับซื่อเหนียงแล้วอาเจียนออกมา 

 

 

รอจนเขาอาเจียนหมดแล้ว ทุกคนถามว่า “นางพูดว่าอะไร” 

 

 

เวยเซิงลิ่วเอ่ยปาก “ขะ…ข้าไม่ทันดู” 

 

 

ปีศาจบำเพ็ญเพียรในดินแดนรกร้างล้วนตายหมดแล้วหรือไร ถึงได้ส่งตัวประหลาดนี่มา ถึงภาพเหตุการณ์จะชวนให้คนหวาดกลัว แต่ถึงขั้นอาเจียน ปีศาจผู้นี้จะพิเศษเกินไปหรือเปล่า  

 

 

ทุกคนมองหน้าอย่างรู้ใจ 

 

 

ซื่อเหนียงโบกมือ กัดฟันเอ่ยว่า “เปิดให้เขาดูอีกรอบ!” 

 

 

เวยเซิงลิ่วแอบกลอกตา สะบัดมือซื่อเหนียงออกเดินไปนั่งข้างๆ มั่วชิงเฉิน นั่งดูตาไม่กะพริบอีกครั้ง แต่สีหน้ากลับยิ่งไม่น่ามองขึ้นไปอีก 

 

 

ทุกคนยิ่งลุกลี้ลุกลน ไล่ถามว่า “นางพูดอะไรกันแน่” 

 

 

เวยเซิงลิ่วเลียริมฝีปากแห้งผาก สีหน้าแข็งขึง จนกระทั่งมั่วชิงเฉินผลักเบาๆ ค่อยนั่งลงพื้นได้ ร่ำๆ เอ่ยว่า “พวกเราล้วนเป็นอาหาร เป็นอาหาร…” 

 

 

“สหายเวย เจ้าตั้งสติหน่อย” มั่วชิงเฉินตบบ่าเวยเซิงลิ่ว มุกจื่อหวาสงบจิตที่ข้อมือส่องแสงวิญญาณวาบขึ้นมา 

 

 

เวยเซิงลิ่วได้สติแจ่มใส เอ่ยเสียงแหบพร่า “นางบอกว่า ให้อาหารพวกเรามานานแล้ว ในที่สุดก็เก็บเกี่ยวพลังได้เสียที ต้องปลดเปลื้องพันธนาการเส้นสุดท้ายของส้มโอมือสีทองเก้าดวงใจ ถึงฝ่าระดับพิชิตเคราะห์กรรมไปได้!” 

 

 

“ให้อาหารหรือ” สีหน้าคนทั้งหลายเปลี่ยนไปไม่น่ามองอย่างยิ่ง 

 

 

คำว่าให้อาหารนี่หมายถึงให้อาหารสัตว์ 

 

 

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า น้ำค้างบุปผาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้พลังยุทธ์ของพวกเราสูงได้ไวขึ้นใช่หรือไม่” มีบางคนกัดฟันเอ่ย 

 

 

“ไม่อาจใช้สมบัติวิเศษได้ ก็เพื่อให้รากฐานของพวกเรายิ่งมั่นคง จากนั้นยามอยู่ในระยะเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดก็จะได้รับพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ” มีคนเอ่ยด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง 

 

 

“มิน่าเล่า หลังจากที่ส้มโอมือสีทองเก้าผลถูกเด็ดไป โลกดวงดาวจึงเกิดความเปลี่ยนแปลง ทว่าดอกไม้พิสดารกลับไม่ปรากฏตัวมาโดยตลอด ข้าหลงคิดเสมอว่าดอกไม้พิสดารทำให้พวกปีศาจพืชเปลี่ยนไปจากเดิมเท่านั้น ให้พวกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน คิดไม่ถึงเลยว่าที่แท้เป็นการจัดฉากให้พวกเรา!” บางคนก็เอ่ยด้วยความตื่นรู้ 

 

 

บรรยากาศกดดันลง นักพรตจื่อซียิ้มกล่าวว่า “หากพูดไปแล้ว พวกเราเองก็ได้ผลดีไม่น้อย ดอกไม้พิสดารนั่นจัดฉากวางแผนใหญ่โตก็เพื่อพลังวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าคาดว่าน้ำค้างบุปผานั่นนอกจากช่วยเพิ่มพลังบำเพ็ญแล้ว เกรงว่ายังมีผลช่วยเพิ่มความสำเร็จในการบรรลุเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดอีกด้วย!” 

 

 

คำพูดนี้ไม่ผิดเลย อย่างน้อยในยามนี้พวกเขาก็มีท่าทีจะก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด อีกทั้งในภาพเหตุการณ์ก็มีคนสิบกว่าคนที่เข้าสู่ระดับก่อกำเนิดด้วยแล้ว 

 

 

สื่ออิ่นเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ระดับก่อกำเนิดแล้วมีประโยชน์อะไร เกรงว่าวันที่บรรลุถึงระดับนั้น ก็เป็นเวลาตายของพวกเราแล้ว!” 

 

 

นักพรตจื่อซีเลิกคิ้วทว่ายิ้ม “ข้าถึงว่าเจ้าเนี่ยนะ ทำไมถึงคิดไม่ได้เหมือนกับสตรีอย่างข้าเลย ไม่ว่าในสถานการณ์ไหน ก็มีทั้งโอกาสและภัยอันตรายทั้งนั้น ขอเพียงพวกเราออกไปได้ ไม่แน่อาจเป็นการก่อเกิดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกลุ่มหนึ่ง โอกาสดีๆ เช่นนี้ หรือว่าไม่คู่ควรให้พวกเราใช้ชีวิตต่อสู้มา จะทำใจเสียไปให้ได้ประโยชน์อะไร” 

 

 

คำพูดนี้เหมือนเป็นการเตือนสติผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อย 

 

 

ภาพในกระดานดาราชวนแตกตื่นเกินไป ต่อให้ผู้บำเพ็ญเหล่านี้อยู่ในระดับก่อแก่นปราณ เห็นภาพการตายของตัวเองต่อหน้าต่อตา ยากที่จะไม่กระทบกระเทือนจิตใจ ส่วนคำพูดของนักพรตจื่อซีกลับทำให้ทุกคนหวั่นไหว 

 

 

ถูกต้องแล้ว ขอเพียงออกไปได้ ตัวเองอาจจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดแล้ว! 

 

 

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ สีหน้าคนทั้งหมดก็มุ่งมั่น ต้องเอาชีวิตรอดออกไปให้ได้! 

 

 

มั่วชิงเฉินมองนักพรตจื่อซีด้วยความชื่นชม กล่าวว่า “นักพรตจื่อซีกล่าวไม่ผิดเลย ทุกคนสังเกตหรือไม่ว่า ในคำพูดของผู้หญิงคนนี้ยังเผยข้อมูลอะไรบางอย่างออกมา ส้มโอมือสีทองเก้าดวงใจ ขอเพียงมีมันสะกดข่มอยู่ พลังของพวกเราไม่มีทางถูกมันดูดไปได้!” 

 

 

“นั่นก็หมายความว่า พวกเราต้องหาส้มโอมือสีทองทั้งเก้าผลให้พบ ไม่แน่ว่าเมื่อได้มาแล้วก็จะพบวิธีต่อสู้กับดอกไม้พิสดาร” นักพรตจื่อจั้นเสนอตามมา 

 

 

มั่วชิงเฉินครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เฮ่ออีหลังหาใช่คนที่ผลีผลามบุ่มบ่ามใช่หรือไม่” 

 

 

นักพรตที่คุ้นเคยกับเฮ่ออีหลังดีตอบ “ไม่ใช่แน่นอน ไม่เช่นนั้นจะคู่ควรกับชื่อเสียงบุรุษหยกแห่งสกุลเฮ่อได้หรือ” 

 

 

“อย่างนั้นหากเขายังมีชีวิตอยู่ ในเวลานี้ก็สมควรตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพวกเราแล้ว” มั่วชิงเฉินกล่าว 

 

 

นักพรตจื่อจั้นแววตาวาวโรจน์ “สหายมั่ว ความหมายของเจ้าคือ…” 

 

 

มั่วชิงเฉินตอบ “เมื่อเขาอยู่ในสถานการณ์นี้ ก็ย่อมไม่ผลีผลามข้ามไประดับก่อกำเนิดแน่ แต่เขาหาได้มารวมกลุ่มกับพวกเรา นั่นก็หมายความว่าสถานที่ที่เขาอยู่อยู่นอกเหนืออาณาเขตที่ยันต์รวมตัวไปถึง” 

 

 

คำพูดนี้เปิดความคิดให้คนจำนวนไม่น้อย  

 

 

หลายปีมานี้ ถึงจะค่อยๆ คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ผู้บำเพ็ญเพียรที่โชคดีทั้งหลายต่างเคลื่อนไหวในเขตแดนนี้ เพราะว่าน้ำค้างบุปผาในที่นี้ค่อนข้างอยู่รวมตัวกัน อสูรและปีศาจพืชปรากฏตัวชัดเจน ระดับความอันตรายก็แบ่งแยกได้ชัดแจ้ง 

 

 

ถึงขอบเขตของยันต์รวมตัวจะกว้างขวาง คล้ายจะส่งไปถึงอาณาเขตเคลื่อนไหวของของนักพรตทุกคนแล้ว แต่ที่อยู่นอกเขตก็คือเขตตะวันตกที่หลายปีมานี้น้อยคนจะย่างกรายเข้าไป 

 

 

“ไป ไปทางตะวันตก” 

 

 

เวลากระชั้นชิด ผู้บำเพ็ญเพียรที่กินน้ำค้างบุปผาเสริมการหลบหนีสองสามคนนำยันต์รวมตัวชิงเดินทางไปก่อน ส่วนผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ค่อยไปตามไป 

 

 

น่าเสียดายที่เมื่อยันต์รวมตัวถูกใช้ออกไปในบริเวณที่ต่างกันสามครั้ง มีผู้บำเพ็ญเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปรากฏตัว นั่นก็คือนักพรตอี๋หรันผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษเพียงหนึ่งเดียวในกระประลองเฟิงอวิ๋น 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ใครต่อใครไม่รู้จะทำอย่างไร 

 

 

“ข้าว่า เฮ่ออีหลังคงดับสูญไปแล้ว” โจวจงอวี้มารบำเพ็ญเพียรกล่าว 

 

 

เป็นมารบำเพ็ญเพียรเช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่มีความรู้สึกดีๆ กับบุรุษหยกแห่งตระกูลเฮ่อนี่เอาเสียเลย เพียงแต่เอ่ยวาจาในเวลาเช่นนี้ อารมณ์ก็ยิ่งอึดอัดเข้าไปอีก 

 

 

“พวกเรากลับกันเถอะ หาที่ปลอดภัยกันก่อน อยู่ร่วมกันไว้ รอสุริยันจันทร์ปรากฏเสี่ยงชีวิตสู้ศึก ใครรอดก็อยู่ที่ความสามารถ” สีหน้าของนักพรตจื่อจั้นทอประกายเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง หางตามองมั่วชิงเฉิน 

 

 

เขาไม่เชื่อว่า สตรีนางหนึ่งหนีลิขิตสวรรค์ได้ แล้วเข้าจะทำไม่ได้! 

 

 

“รอเดี๋ยวก่อน” มั่วชิงเฉินเสียงขรึมลง “มีสหายท่านไหนที่เชี่ยวชาญเรื่องยันต์เป็นพิเศษบ้าง ขอเพียงในขอบเขตยันต์รวมตัว อยู่ที่ไหนก็สามารถส่งไปถึงใช่หรือไม่” 

 

 

นักพรตเตี๋ยหั่วจากนิกายหมิงฝูเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่เสียทีที่เขาดับสูญไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว 

 

 

นักพรตอี๋หรันเอ่ยปาก “ข้าพอเข้าใจเรื่องยันต์อยู่บ้าง ยันต์รวมตัวมีสามสถานที่ไม่อาจส่งถึง ไม่ส่งถึงใต้น้ำลึก ไม่ส่งถึงดินแดนหนาวสุดขั้ว ไม่ส่งถึงบริเวณที่มีไอปีศาจปกคลุม” 

 

 

ดินแดนหนาวสุดขั้วและบริเวณที่เต็มไปด้วยไอปีศาจสามารถตัดทิ้งไปได้เลย ทุกคนประสานเสียงขึ้นมา “ใต้น้ำลึกหรือ” 

 

 

มั่วชิงเฉินสบตากับนักพรตจื่อซี สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

 

 

ปีนั้นที่ได้พบเฮ่ออีหลัง ก็คือในธารน้ำ หรือจะบอกว่าหลายปีผ่านแล้วเขายังอยู่ที่นั่นอีก 

 

 

เมื่อเล่าเรื่องที่ได้พบเฮ่ออีหลังออกไป ทุกคนก็เร่งเดินทางสู่ที่แห่งนั้น 

 

 

ครั้นลงธารก็แบ่งกันลงไปค้นหาตามบริเวณใต้น้ำลึก 

 

 

กลุ่มของมั่วชิงเฉินและนักพรตจื่อซีแบ่งห้าคนเป็นหนึ่งกลุ่ม ระหว่างออกตามหา พลันได้รับยันต์รวมตัว จึงรีบรุดไปดู 

 

 

“สหายเฉาหยางเกิดอะไรขึ้น” พวกมั่วชิงเฉินมาถึง พบว่าคนที่ส่งสัญญาณคือแฝดมารบำเพ็ญเพียร 

 

 

ขณะเอ่ย อีกสองกลุ่มก็ติดตามมา 

 

 

นักพรตเฉาหยางพาคนอ้อมภูเขาใต้น้ำลึกลูกหนึ่ง มาถึงด้านหลังก็ไปตรงกลางขึ้นภูเขา 

 

 

นักพรตซิงหว่านอยู่ตรงนั้น เห็นทุกคนมาก็ชี้ไปยังจุดหนึ่งเอ่ยว่า “พวกท่านดูสิ ที่นี่มีถ้ำอยู่ ภายในถ้ำเป็นบ่อน้ำลึก สถานที่ที่บอกว่าเป็นใต้น้ำลึก สมควรเป็นที่นี่แล้ว” 

 

 

ทุกคนเข้าถ้ำใต้น้ำไป ได้พบบ่อน้ำลึกขนาดไม่ใหญ่จริงๆ ทั้งที่รอบด้านถูกล้อมไว้ด้วยน้ำ ทว่าบ่อลึกนั้นกลับมิได้รับผลกระทบ ระลอกน้ำเล็กๆ กระเพื่อมตัวอย่างเป็นอิสระ 

 

 

น้ำในน้ำ 

 

 

ทุกคนสายตาวาวโรจน์ ส่งกระแสจิตออกสำรวจ แต่ไม่ช้าก็ถอนจิตกลับมาอย่างกลัดกลุ้ม 

 

 

น้ำในบ่อไม่ได้ห้ามกระแสจิตสำรวจ แต่น่าเสียดายตรงจุดที่กระแสจิตลงไปสำรวจนั้น ยังคงลึกไม่ถึงก้น ไม่พบอะไร 

 

 

“จะทำอย่างไรละทีนี้ หรือต้องลงไปดู สมบัติวิเศษที่กันน้ำได้ใช้ไม่ได้ ผลีผลามลงไปเกรงว่า…” ทุกคนมองหน้ากันไปมา  

 

 

มั่วชิงเฉินก้าวออกมา เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้าไปดูเอง”