ตอนที่ 548 พบสุ่ยหลิงหลงอีกครั้ง

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ชิงเฉิน…” นักพรตจื่อซีเห็นมั่วชิงเฉินเดินไปข้างบ่อน้ำลึก อดร้องขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

มั่วชิงเฉินหันกลับมามอง 

 

 

นักพรตจื่อซีขมวดคิ้ว “อย่าฝืนตัวเอง” 

 

 

มั่วชิงเฉินคลี่ยิ้มกว้าง กวาดสายตามองคนข้างกายนางทั้งหมดคราหนึ่ง ถึงน้ำเสียงไม่อ่อนโยนนัก ทว่ามีพลังปลอมประโลมหัวใจคน “ศิษย์พี่วางใจเถิด ข้าใช่คนฝืนตัวเองอย่างนั้นหรือ”  

 

 

นักพรตจื่อซีมุมปากกระตุก คิดในใจ เจ้าน่ะไม่ใช่หรือไงกันเล่า 

 

 

เสียงบ่นอุบในใจนางหายไปพร้อมกับเสียงตูม เพียงเห็นหางปลาสีเงินวาวอร่ามเท่านั้นเอง 

 

 

“สมบัติวิเศษในการหลบหนีไม่อาจใช้ได้แล้วไม่ใช่หรือ” โจวจงอวี้มารบำเพ็ญเพียรเบิกตากว้างกว่ากระดิ่งเสียอีก สีหน้าตะลึงงัน 

 

 

หางปลาสีเงินนั่นคล้ายส่ายไปอยู่เบื้องหน้าเขา มารบำเพ็ญเพียรเลียริมฝีปาก เอ่ยด้วยความเข้าใจว่า “ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมสหายมั่วถึงหนีจากอันตรายไปได้!” 

 

 

“เพราะอะไร” ทุกคนรีบถาม 

 

 

นักพรตจื่อซีหนักใจ แววตาเย็นเยียบมองโจวจงอวี้ 

 

 

โจวจงอวี้เอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ “เป็นไปได้ว่าสหายมั่วเป็นครึ่งปีศาจ สถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ควบคุมมนุษย์และปีศาจได้ ไม่แน่ว่าจะหลุดลอดเรื่องครึ่งปีศาจพอดี ข้าว่าแล้ว ทำไมสหายมั่วถึงหน้าตาเป็นเอกลักษณ์นัก เฮ่ออีหลังเคยบอกว่า ชนรุ่นหลังที่เกิดจากคนต่างเผ่าจะงดงามและฉลาดเหนือคนทั่วไป จิ๊ๆ เจ้าคนผู้นั้นไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่คำพูดนับว่ารู้กว่าตาเห็น” 

 

 

ยามนี้ทุกคนเห็นว่าคำพูดมีเหตุผลมา หรือว่าสหายมั่วเป็นครึ่งปีศาจจริงๆ 

 

 

นักพรตจื่อซีฟาดฝ่ามือลงมา ตำหนิว่า “เจ้าน่ะสิครึ่งปีศาจ ตระกูลเจ้ามันครึ่งปีศาจทั้งตระกูล หางปลาของชิงเฉินย่อมเป็นสิ่งที่สมบัติวิเศษธรรมชาติสร้างออกมา พวกไร้ความรู้!” 

 

 

ทุกคนตระหนักได้ 

 

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ในสภาพแวดล้อมปกติสมบัติวิเศษทั่วไปไม่อาจใช้ออกได้ พลังของสมบัติวิเศษธรรมชาติบางอย่างอาจสูญเสียไป แต่หากเป็นพลังพื้นฐานจะไม่ถูกรบกวน เห็นกับที่ทุกคนยังสามารถใช้อาคมในโลกดวงดาวแห่งนี้ได้ 

 

 

โจวจงอี้หลบ ร่ำร้องเสียงเบาว่า “ข้าเดาเท่านั้น ทำไมต้องทำร้ายคนด้วย” 

 

 

นักพรตจื่อซีคร้านจะใส่ใจ จับจ้องบ่อน้ำตาเขม็ง 

 

 

มั่วชิงเฉินลงไปในน้ำ ถึงมีไหมเกล็ดน้ำแข็งคอยคุ้มกัน กลับรู้สึกถึงความเย็นเสียดกระดูกค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ผิวกาย รีบใช้เพลิงแก้วใจกระจ่างคลายความเย็น หางปลาส่ายไปมาจึงอบอุ่นขึ้น 

 

 

รอบกายเป็นน้ำลึก เห็นเป็นสีฟ้าเข้ม ยิ่งดำลึกลงไป ความเย็นเยือกนั้นยิ่งทวีคูณ มั่วชิงเฉินใช้ไฟจริงขวางไม่ได้อีก 

 

 

มองในแง่ดี ความเย็นของน้ำบ่อนี้ยังมิอาจเทียบได้กับไฟเย็นบนโลกอย่างเปลวน้ำแข็งเหมันต์ได้ แต่ว่าเปลวน้ำแข็งเหมันต์ถูกมั่วชิงเฉินสยบแล้ว ย่อมไม่อาจทำร้ายนางได้ แต่น้ำเย็นเยือกนี้กลับต่างออกไป 

 

 

เดิมทีมั่วชิงเฉินก็เป็นหญิงอยู่แล้ว ไฟจริงก็มีฤทธิ์อบอุ่น ยิ่งดำลงไปลึกขึ้น หว่างคิ้วมีเกล็ดน้ำแข็งจับตัวชั้นหนึ่ง  

 

 

เป็นเช่นนี้ต่อไปต้องส่งผลร้ายกับร่างกายแน่ หากยังฝืนดำลงไปอีก ไม่แน่อาจจะพบอันตรายแล้วไม่มีพลังต่อต้าน 

 

 

มั่วชิงเฉินตัดสินใจเด็ดขาดขยับหางปลามุ่งขึ้นสู่ด้านบนด้วยความไว 

 

 

เสียงน้ำดัง มั่วชิงเฉินเก็บไหมเกล็ดหิมะ ยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน 

 

 

“สหายมั่ว…” ครั้นเห็นมั่วชิงเฉินขึ้นมาเร็วเช่นนี้ ทุกคนต่างตะลึงงัน จากนั้นเห็นสีหน้าซีดขาวของนาง และน้ำแข็งที่หว่างคิ้วก็แตกตื่น 

 

 

มั่วชิงเฉินเสียงสั่นอยู่บ้าง “ข้างใต้เป็นบ่อน้ำเย็นสุดขั้ว ไม่ทราบว่าสหายท่านใดมีอาวุธคุ้มกันความเย็นบ้าง” 

 

 

ทุกคนมองกันไปมา สุดท้ายก็มองเซี่ยหรันอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

พูดถึงสมบัติคุ้มกันความหนาวเย็น ใช่ว่าใครจะไม่มี เพียงแต่อานุภาพเมื่ออยู่ในที่นี่น้อยลง นอกเสียจากเซี่ยหรันที่ไม่นานมานี้ล่าน้ำค้างบุปผาทานตะวันเพลิงสามกลีบ ใช้พลังนี้สร้างความโดดเด่นออกมา  

 

 

ใช้ทานตะวันเพลิงสามกลีบกำราบความหนาวเหมาะสมที่สุดแล้ว 

 

 

เซี่ยหรันมองสีหน้ามั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “หากสหายมั่วไม่รังเกียจ ข้าจะลงไปกับเจ้าด้วย” 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น มองเซี่ยหรัน  

 

 

ทุกคนในที่นี้ต่างมีจิตใจละเอียดถี่ถ้วน เห็นท่าทีของทั้งสองก็เดาได้ว่าต้องมีบุญคุณความแค้นกันมาก่อน 

 

 

นักพรตหย่าอี้ยิ้มเอ่ยว่า “นักพรตชิงเฉิน มาถึงเวลานี้ มิสู้ปล่อยวางบุญคุณความแค้นส่วนตัว ร่วมกันฝ่าอันตรายเบื้องหน้าเสียก่อน” 

 

 

มั่วชิงเฉินมองรอยยิ้มนักพรตหย่าอี้ รู้สึกขัดตานัก 

 

 

การประลองแลกเปลี่ยนในปีนั้น นางถูกด้ายพันจิตตรึงใจของหูปิงหลันควบคุม ก็เพราะยืมมือของนักพรตหย่าอี้ ถึงจะนับว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ความรู้สึกโมโหก็ยังมีอยู่ 

 

 

ต้องเข้าใจว่าหากสิ่งที่หูปิงหลันวางแผนไว้สำเร็จ ก็เท่ากับทำลายนางและอาจารย์รวมถึงศิษย์พี่ไปทั้งสามคนเลยทีเดียว 

 

 

ด้วยนิสัยของอาจารย์ เพื่อช่วยนางแล้วย่อมไม่คำนึงถึงจริยธรรม แต่รอจนนางหายดีแล้ว เขากลับไร้ศักดิ์ศรีที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไป หรือจากไปไกลแสนไกล ไม่มีวันได้พบกันอีกเลย 

 

 

ไม่ว่าเป็นสถานการณ์ไหน นางก็ไม่อาจรับได้ทั้งนั้น หากไม่ใช่อาจารย์มีวิธีการสลายด้ายพันจิตตรึงใจของหูปิงหลันพอดี เกรงว่านางคงชิงจัดการตัวเองก่อนแล้ว ไม่ต้องมีทางนำเภทภัยไปสู่อาจารย์และศิษย์พี่แน่ 

 

 

หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง อาจารย์จะเป็นอย่างไร นางรู้ดีที่สุด 

 

 

ต่อให้คลายด้ายพันจิตตรึงใจได้ นางก็ไม่ใช่โง่ นานขนาดนี้แล้วหรือจะไม่รู้ว่าอาจารย์ย้ายไปอยู่ที่ตัวเอง เพียงแต่รู้สึกว่าหากเปิดเผยออกมาจะทำให้อาจารย์ไม่อาจสงบใจได้ก็เท่านั้น  

 

 

ความนัยซับซ้อนเช่นนี้ นางรู้สึกดีกับนักพรตหย่าอี้ก็แปลกแล้ว 

 

 

“นักพรตหย่าอี้ หากท่านสามารถคลี่คลายปัญหาในเวลานี้ ค่อยสั่งสอนข้าก็ยังไม่สาย” 

 

 

บนหัวนางมีคำว่าแม่พระสองพยางค์นี้เขียนอยู่หรือไรกัน ทั้งออกแรงออกความคิด ยังถูกคนที่นั่งรอรับผลชี้นิ้วสั่งอีก 

 

 

นักพรตหย่าอี้เอ่ยเช่นนี้ ทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าหากมั่วชิงเฉินไม่ลงไปอีกครั้งเท่ากับผิดต่อทุกคนแล้ว น้ำเสียงสงบนิ่งของมั่วชิงเฉินดังขึ้น ทุกคนค่อยได้สติกลับ 

 

 

ความจริงแล้วนักพรตหย่าอี้มิได้ต้องการโจมตีมั่วชิงเฉิน เพียงแต่ในวัยเยาว์อาศัยอยู่ท่ามกลางปุถุชนเพาะบ่มนิสัยเช่นนี้ และก็เพราะเหตุนี้เอง เมื่อฟังคำพูดไม่ค่อยเกรงใจของมั่วชิงเฉินจึงไม่อับอายจนเกิดความโมโหเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ส่วนมากมีนิสัยเย่อหยิ่ง กลับใบหน้าร้อนร้อนผ่าว เอ่ยเจื่อนๆ ว่า “นักพรตชิงเฉินใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มีความหมายอื่น” 

 

 

นางอธิบายเสียงเบา ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนอาจจะรู้สึกเหมือนว่าหญิงแกร่งข่มหญิงอ่อนแอ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าโลกดวงดาวไม่มีคนไร้สมอง ทางกลับกันมองคนทั้งสองด้วยความสนใจ 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่หน้าแดงไม่โมโห กระทั่งไม่ได้มองนักพรตหย่าอี้เลย กวาดสายตานิ่งมองเซี่ยหรัน “ลงไปเถอะ” 

 

 

ตอนที่ลงน้ำ ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นหางปลา มั่วชิงเฉินว่ายอยู่ด้านหน้า เซี่ยหรันว่ายตามไป มือกวาดไปครั้งหนึ่ง ปีศาจดอกไม้รูปร่างเหมือนทานตะวันเผาไหม้อยู่เบื้องหน้า ความร้อนระอุแผ่นกระจายขับไล่ไอเย็น 

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่น ความเร็วในการว่ายก็ไวเพิ่มขึ้น 

 

 

เซี่ยหรันไม่มีสมบัติวิเศษอย่างไหมเกล็ดหิมะ ยิ่งว่ายลึกลงไปเรื่อยๆ แรงกดในน้ำก็ยิ่งมากขึ้นตามมา เดิมทีก็เสียพลังวิญญาณเพื่อป้องกันไอเย็นอยู่แล้ว มั่วชิงเฉินเพิ่มความเร็ว ตอนนี้ว่ายตามยิ่งกินแรง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เขาอ้าปากแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นเม้มปากแน่นติดตามไป 

 

 

กระแสความเย็นสายหนึ่งไม่รู้มาจากที่ใด พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง เปลวเพลิงทานตะวันเพลิงสามกลีบที่นำอยู่หน้าทั้งสองคนพลันสั่นไหว เปลี่ยนเป็นวงล้อไฟขนาดใหญ่ยันกระแสไอเย็นเอาไว้ ถัดมาม่านกำบังก็ปรากฏสู่สายตา ล้อมทั้งคู่เอาไว้ 

 

 

ถึงจะมิใช่ในห้องลับ แต่มั่วชิงเฉินกลับขนลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว 

 

 

นางรู้ว่าเรื่องนั้นยังมีอิทธิพลต่อนางอยู่ ทำให้นางยังไม่อาจทนอยู่กับเซี่ยหรันในที่มิดชิดโดยลำพังได้ 

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจอาการไม่อาจสยบจิตใจของตัวเอง นั่นหมายความว่าสภาพจิตใจของนางยังมีจุดบกพร่อง จะเป็นข้อเสียต่ออนาคต ยามนี้นางสูดลมหายใจลึกๆ ปรับระดับความเร็วค่อยๆ นิ่งลง 

 

 

น้ำลึกสงบเงียบ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแล้วเท่าไรแล้วทั้งสองคนมาถึงก้นบ่อหนาวเหน็บ พบว่าด้านล่างยังมีถ้ำในบึงอีกแห่ง 

 

 

ถือตะเกียงฟักทองเดินเข้าถ้ำ เสียงน้ำไหลค่อยๆ ดังชัดเจนขึ้น ไอเย็นยิ่งมาก็ยิ่งเข้มข้น ต่อให้มีดอกทานตะวันเพลิงสามกลีบคอยคุ้มกัน คนทั้งสองยังต้องโคจรพลังวิญญาณทั่วร่างเพื่อป้องกันถึงสามารถเดินเข้าไปได้ 

 

 

ในถ้ำแคบลงทุกที ทางโค้งก็มากมาย ยังดีที่ไม่มีทางแยก ทั้งสองตรงเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านโค้งสุดท้ายก็พบความสว่างไสว แต่ทิวทัศน์ด้านหน้ากลับทำให้ฝีเท้าแข็งค้าง 

 

 

บุรุษมือเท้าใหญ่โตลอยอยู่กลางอากาศ ผมยาวปิดบังใบหน้า ทำให้มองไม่ออก มั่วชิงเฉินกลับจำได้โดยสัญชาตญาณ คนผู้นี้ก็คือเฮ่ออีหลังที่ทุกคนลำบากลำบนตามหา 

 

 

เซี่ยหรันเป็นมารบำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกัน คุ้นเคยกับเฮ่ออีหลังมาก ครั้นเห็นภาพเช่นนี้ พลันเอ่ยเสียงขาดห้วง “เป็นเฮ่ออีหลัง ทะ…ทำไมเขาถึงอยู่ในสภาพนี้!” 

 

 

มั่วชิงเฉินเองก็ตกใจเช่นกัน การพบกันโดยบังเอิญคราวที่แล้วกับทัศนะคติที่ทุกคนมีต่อเฮ่ออีหลัง นางมักรู้สึกว่าคนประเภทนี้คิดใช้ชีวิตอย่างลำบากเป็นเรื่องยากมาก ต่อให้เขาไม่แข็งแกร่งกว่าทุกคน แต่ก็ไม่สมควรตกอยู่ในสภาพซอมซ่อเช่นนี้ 

 

 

“ข้าเอาเขาลงมาก่อน” เซี่ยหรันสังเกตครู่หนึ่ง เชือกเส้นหนึ่งพุ่งออกจากมือ 

 

 

ครั้นเห็นเชือกเคลื่อนไหวปราดเปรียวราวกับอสรพิษพุ่งไปที่เฮ่ออีหลัง มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกผิดปกติ จิตสัมผัสเฉียบคมสังเกตดู ส่งเถาวัลย์เข้าไปพันเชือกของเซี่ยหรันไว้ “อย่าเคลื่อนไหวส่งเดช!” 

 

 

แต่เวลานี้เกิดความเปลี่ยนแปลง กลางอากาศในถ้ำที่ไร้สิ่งใดพลันมีฟองอากาศปรากฏ ไหลลงมาตามสายน้ำ  

 

 

“สุ่ยหลิงหลง!” มั่วชิงเฉินเสียงเย็นวาบ จากนั้นเอ่ยว่า “ฟองอากาศมีพิษ!” 

 

 

เซี่ยหรันหน้าเปลี่ยนสี แสงวิญญาณสายหนึ่งแทรกซึมเข้าสู่ทานตะวันเพลิงสามกลีบ 

 

 

ทานตะวันเพลิงสามกลีบคลี่กลีบออกเป็นชั้นๆ เกสรฉายแสงออกมาออก ปกป้องคนทั้งสองไว้ 

 

 

น้ำเสียงสุ่ยหลิงหลง “พวกเจ้าจะช่วยเขาหรือ” 

 

 

เซี่ยหรันส่งเสียง “สหายมั่ว ท่าทางของสุ่ยหลิงหลงไม่ถูกต้อง เกรงว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้” 

 

 

ไม่รอคำตอบของมั่วชิงเฉิน ก็แผดเสียงว่า “พวกเราไม่คิดช่วยเขา เพียงอยากได้ของสิ่งหนึ่งจากตัวเขา หากสหายสุ่ยส่งถุงเก็บวัตถุของเฮ่ออีหลังมาให้ พวกเราจะจากไปทันที” 

 

 

สุ่ยหลิงหลงเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “ในเมื่อไม่ช่วยเขา พวกเจ้าก็มาเอาไปเองเถอะ ข้าคร้านจะทำให้มือตัวเองสกปรก” 

 

 

เซี่ยหรันพยักหน้าให้มั่วชิงเฉิน สาวเท้าไปทางเฮ่ออีหลัง 

 

 

พลันได้ยินเสียงสุ่ยหลิงหลงดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน!” 

 

 

เซี่ยหรันชะงักเท้า “สหายสุ่ย?” 

 

 

สุ่ยหลิงหลงมีน้ำเสียงเย็นชา “ข้าถูกเฮ่ออีหลังหลอกจนตกอยู่ในสภาพผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิงเช่นนี้ เกลียดที่สุดก็คือพวกผู้ชายปากปราศรัยน้ำใจเชือดคออย่างพวกเจ้า อย่าเข้ามาใกล้ข้า” 

 

 

เซี่ยหรันหน้าขรึม “สหายสุ่ย สิ่งของนั้นพวกเราต้องนำมาให้ได้ หากเจ้ายังดื้อดึงเช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราคงต้องเสียมารยาทแล้ว” 

 

 

ทั้งสองไม่เห็นว่าร่างของสุ่ยหลิงหลงอยู่ที่ได้ เพียงแต่ได้ยินเสียงเย็นเยียบของนางตอบว่า “ให้นางเข้ามาเอาไป”