มั่วชิงเฉินย่างเท้าเดินเข้าไปหาไปยังเฮ่ออีหลัง
เสียงของเซี่ยหรันดังมาว่า “สหายมั่ว เจ้าระวัง…”
มั่วชิงเฉินตอบกลับอย่างเย็นชาว่า “ขอบคุณมาก”
ก้าวเท้าเดินไปข้างกายเฮ่ออีหลังโดยไม่หยุด แล้วยื่นมือไปยังถุงเก็บวัตถุที่เหน็บอยู่บนเอวเขา
ในวินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกับถุงเก็บวัตถุ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นฉับพลัน หนวดรยางค์ที่ไร้รูปร่างพุ่งเข้ามาคว้ามือและเท้าของนาง
มั่วชิงเฉินตื่นตัวระมัดระวัง ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นหนวดรยางค์อันไร้รูปร่างนั้น แต่เพราะด้วยเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา จิตสัมผัสที่ฉับไวยิ่งขึ้นทำให้นางสัมผัสได้ถึงบริเวณที่หนวดเหล่านั้นอยู่ นางหลบออกด้านข้างโดยพลัน จิตสัมผัสก่อร่างเป็นเข็มเรียวแหลมแทงพุ่งไปยังหนวดล่องหนนั้นอย่างแรง
ในเวลาเดียวกัน เซี่ยหรันซึ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันนั้นก็อัญเชิญทานตะวันเพลิงสามกลีบออกมา เมล็ดทานตะวันสีทองที่เปลวไฟลุกโชติสาดยิงไปทั่วทั้งสี่ทิศราวกับเทพธิดาโปรยดอกไม้ หนวดล่องหนจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นลุกเป็นไฟดิ้นพล่านอย่างรุนแรง ในระหว่างที่กำลังดิ้นอยู่นั้นก็เกิดฟองน้ำพรั่งพรูออกมา สะท้อนเป็นประกายสีเขียวออกมา
ฟองน้ำที่มีอยู่ทั่วทุกแห่งเกาะบนเมล็ดทานตะวันเพลิงสามกลีบ เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงถึงแม้ว่าจะแผดเผาจนฟองน้ำเหือดแห้ง ไอที่ระเหยขึ้นเป็นควันสีเขียวกลับพวยพุ่งมุดเข้ากลางเกสรของดอกทานตะวันเพลิงสามกลีบ
เซี่ยหรันรู้สึกแขนและเท้าชาไปทั่วทันที
เวลาเพียงชั่วอึดใจ ร่างกายก็ถูกหนวดล่องหนพันธนาการเอาไว้ จากนั้นก็เหวี่ยงออกไปอย่างแรง
เสียงดังลั่น หน้าผาขยับไหว เศษหินร่วงลงมาไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียว ก็ถูกกำแพงหินตัดขาดจากโลกภายนอก
ในเวลานั้นเอง จิตสัมผัสที่ไร้ตัวตนเช่นเดียวกันทิ่มแทงหนวดที่พันรัดมั่วชิงเฉินเอาไว้ หนวดล่องหนนั้นหยุดนิ่งทันที แล้วสุ่ยหลิงหลงส่งเสียงร้องแหลมกังวานออกมา
มั่วชิงเฉินสวยโอกาสนี้เอียงตัว ยื่นมือออกไปคว้าถุงเก็บวัตถุบนเอวของเฮ่ออีหลัง แล้วยกมือโยนไปยังเซี่ยหรัน “รับไป!”
เซี่ยหรันมองไปยังถุงเก็บวัตถุที่ลอยมายังตน ก็ใช้กำปั้นเหวี่ยงซัดโดยตรงไปยังเศษหินที่กำลังร่วงหล่นลงมาเบื้องหน้า แล้วคว้าเอาไว้ในกำมือ
ในขณะที่เขารับเอาถุงเก็บวัตถุไว้ได้ เศษหินก็ร่วงลงมาปิดปากถ้ำจนมิด ช่องว่างทันใดนั้นก็มีของเหลวสีเขียวไหลออกมา เศษหินเหล่านั้นกลายเป็นกำแพงหินสีเขียวเงาที่ลื่นเป็นเมือกทั้งแถบ
“สหายมั่ว!” เซี่ยหรันใช้จิตสัมผัสค้นหา แต่ถูกกำแพงหินที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นบดบัง ขวานขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยปราณมารสีดำด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นในมือแล้วเหวี่ยงไปยังกำแพงหิน ก็เห็นกำแพงหินส่องแสงสีเขียววาบหนึ่ง แสงสีเขียวที่ปลายขวานเคลื่อนสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว
เซี่ยหรันยกมือข้างหนึ่งขึ้น รวบรวมปราณมารขึ้นมาแล้วหักขวานทิ้ง ยืนอยู่นอกกำแพงหินใช้จิตสัมผัสคำนวณอยู่เงียบๆ สักครู่หนึ่งก็เห็นถุงเก็บวัตถุเก่าขาดในมือ พลันขบฟัน แล้วหันกายเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ในถ้ำที่กลายเป็นห้องลับ บริเวณที่มองไม่เห็นไม่รู้ว่ามีหนวดรยางค์ซ่อนอยู่เท่าไหร่ มั่วชิงเฉินสีหน้าระแวดระวัง งอนิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วบีบเข็มจิตล่องหนไว้
“สุ่ยหลิงหลง เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นกัน ไยจึงทำเช่นนี้”
น้ำกระเพื่อมเป็นวง เสียงของสุ่ยหลิงหลงที่เลือนรางจนแทบจะไม่ได้ยินแว่วเข้ามา “เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้าโชคร้าย ใครใช้ให้ข้ารอนานถึงเพียงนี้ แล้วคนที่มากลับเป็นผู้หญิงอย่างเจ้าเล่า”
มั่วชิงเฉินไม่เข้าใจความหมายนั้น แต่สัมผัสได้ถึงหนวดรยางค์โปร่งใสจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังโจมตีมายังนาง
เข็มจิตถึงแม้ว่าจะดี แต่ถ้าต้องรับมือกับหนวดรยางค์จำนวนนับไม่ถ้วนก็อาจจะเป็นอันตรายต่อปราณดั้งเดิม มั่วชิงเฉินประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แสงสีครามกะพริบวาบ เมื่อค่อยๆ แยกออกดอกบัวสีครามดอกหนึ่งก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ
กลีบดอกบัวชั้นแล้วชั้นเล่าค่อยๆ แย้มออกพร้อมด้วยเสียงดนตรีอันบริสุทธิ์แผ่วเบา
มั่วชิงเฉินหลับตาทั้งคู่ลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง กระแสคลื่นเจ็ดสีกระเพื่อมขึ้นแล้วหายไป น้ำเสียงอันแผ่วแฝงด้วยความศักดิ์สิทธิ์ “สุ่ยหลิงหลง จงปรากฏตัว”
ฟองน้ำกลางน้ำผุดพรายขึ้นอย่างเร็ว มั่วชิงเฉินเข้าใจทันทีว่าสติสัมปชัญญะของสุ่ยหลิงหลงถูกปทุมหยกอริยะหอมทำให้ปั่นป่วนสับสน
ปลายนิ้วดีดออกไป แสงวิญญาณดวงหนึ่งแทรกซึมเข้าไปกลางเกสรปทุมหยกอริยะหอม กลิ่นหอมอันตรายสายหนึ่งฟุ้งกำจายขึ้น
กลิ่นหอมนี้ต่างจากกลิ่นหอมของผลไม้และกลิ่นหอมของดอกไม้ทั่วไป เจือด้วยกลิ่นอายของไม้จันทร์แห่งสำนักพุทธอยู่เล็กน้อย เพียงแต่กลิ่นนั้นอ่อนจางกว่า
“สุ่ยหลิงหลง จงปรากฏตัวออกมา” พร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้ง มั่วชิงเฉินขยับริมฝีปากสีแดงชาติเบาๆ
วงน้ำกลางน้ำกระเพื่อมรุนแรงยิ่งขึ้น หนวดรยางค์โปร่งใสจำนวนนับไม่ถ้วนเหวี่ยงหวดไปมา ใบหน้าอันแปลกประหลาดน่าขนลุกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตามด้วยคลื่นน้ำที่กระเพื่อมไหว ดูราวกับว่ากำลังจะแยกออกจากกัน
ตาทั้งคู่ที่ปิดสนิทบนใบหน้าดวงนั้น ทันใดนั้นพลันเปิดขึ้น ยิงลำแสงสีแดงสองสายออกมา
“แปลงกายอสูรหรือ” มั่วจิงเฉินใจสั่น แต่ก็ไม่ได้ใจอ่อนลงสักนิด เข็มจิตที่ก่อตัวขึ้นหลายเล่มในตอนแรกพุ่งออกไปอย่างแรง จนปิดผนึกทวารทั้งเจ็ดของสุ่ยหลิงหลง
เข็มจิตแทงลึกลงไป ใบหน้าอันน่าขนลุกนั้นก็เริ่มบิดเบี้ยวเหยเก หยดเลือดกึ่งโปร่งใสไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด เสียงร้องครวญครางไม่เป็นจังหวะของสุ่ยหลิงหลงดังออกมา
ฟองน้ำผุดพรายขึ้นมาไม่ขาด ปทุมหยกอริยะหอมเปล่งแสงเจ็ดสีสายหนึ่งออกมา ก่อร่างขึ้นเป็นฉากกั้น กันน้ำที่ค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวนั้นเอาไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา คลื่นน้ำค่อยๆ ใสขึ้น
สุ่ยหลิงหลงตัวลงเหลือเพียงขนาดเท่าฝ่ามือ ดูไปแล้วเหมือนแผ่นหนังแห้งๆ โปร่งแสงเป็นชั้นๆ แก่นปีศาจสีน้ำเงินที่อยู่ด้านในดูสะดุดตายิ่งนัก
มั่วชิงเฉินถอนหายใจ แต่ไม่ได้แตะต้องแก่นมารดวงนั้น กวาดสายตามองไปยังเฮ่ออีหลัง ไร้สัญญาณชีวิต นางเดินไปด้านหน้ากำแพงหิน แล้วใช้ปทุมหยกอริยะหอมกำจัดพิษสีเขียวออกไปจากกำแพง จากนั้นก็ยกเท้าขวาขึ้นถีบอย่างแรงหนึ่งที กำแพงหินส่งเสียงดังลั่น ทันใดนั้นก็ถล่มลงกลายเป็นช่องว่างแห่งหนึ่ง
มั่วชิงเฉินปัดเศษฝุ่นบนตัวออก แล้วก้มหน้าเดินออกไป
เมื่อมั่วชิงเฉินเดินออกมาได้สักพักใหญ่ เฮ่ออีหลังค่อยๆ ลืมตาขึ้นโดยไม่ได้ขยับ จากนั้นก็ใช้มือค้ำพื้น ค่อยๆ กระเถิบทีละนิดไปยังสุ่ยหลิงหลง
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ดำเนินอยู่สักพักใหญ่ ในขณะที่ร่างกายขยับเคลื่อนก็ถูกเศษหินบาดร่างกายช่วงล่าง เฮ่ออีหลังกลับไม่ได้สนใจ ในที่สุดก็คลานไปถึงด้านข้างของสุ่ยหลิงหลง
มองไปยังสิ่งที่กองเผละอยู่ขนาดเท่าฝ่ามือ เฮ่ออีหลังก็ยิ้มถากถาง แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “สุ่ยหลิงหลงเอ๋ยสุ่ยหลิงหลง แปลงกายเป็นอสูรกักขังข้าไว้อย่างไม่ลังเลใจ สูบกินปราณพิสุทธิ์ของข้าอยู่ทุกวี่วัน ซ้ำยังคิดจะใช้วิธีเสริมธาตุหยินหยางเพื่อคืนร่างมนุษย์อีก กลับคิดไม่ถึงสินะว่า ลักไก่ไม่ได้ยังเสียข้าวไปเปล่า”
พูดเสร็จก็เลื่อนสายตาขึ้น มองไปยังทิศทางซึ่งมั่วชิงเฉินลับตาไป
หญิงผู้นั้นเป็นคนแบบไหนในใจเขารู้ดี และชัดเจนว่านางต้องรู้ถึงโอกาสมีชีวิตรอดของตัวเขาอย่างแน่นอน เช่นนั้นการที่นางจากไปโดยเงียบ ก็คงเป็นเพราะไม่อยากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ปล่อยให้ฟ้าดินเป็นผู้กำหนดความเป็นความตายของเขา
เฮ่ออีหลังโค้งมุมปากเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ แล้วพูดออกมาเสียงต่ำว่า “ในหมู่ผู้บำเพ็ญพรตยังมีผู้บำเพ็ญเพียรที่ยึดมั่นเช่นนี้ น่าสนใจพอดู แต่น่าเสียดาย สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้า”
พูดพลางใช้เรือนนิ้วเรียวบางค่อยๆ แหวกหนังแห้งๆ นั้นออก แล้วหยิบแก่นปีศาจสีน้ำเงินเข้าปาก บรรจงเคี้ยวจนแตกแล้วกลืนลงไป
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยหรันกระโดดออกจากกลางบึง ผู้คนรีบล้อมมุงกันเข้ามาทันที
“สหายเซี่ย ไยเจ้าจึงมาเพียงผู้เดียว” นักพรตจื่อซีถามเบาๆ
มีคนเหลือบเห็นในมือของเซี่ยหรันกำถุงเก็บวัตถุเอาไว้แน่น “สหายเซี่ย ถุงเก็บวัตถุนั่นคือ…”
เซี่ยหรันผ่านความหนาวที่ใต้บึง น้ำเสียงจึงตัดเครือ “เจอเฮ่ออีหลังแล้ว นี่คือถุงเก็บวัตถุของเขา”
นักพรตจื่อซีร้อนใจ ยื่นมือไปคว้าเซี่ยหรัน “เซี่ยหรัน ข้าถามเจ้า ชิงเฉินเล่า”
เซี่ยหรันเป็นถึงอันดับต้นๆ ในการประลองจิงเทียนฝ่ายมารบำเพ็ญเพียร ถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่ามีความสามารถเหนือกว่านักพรตจื่อซีมากมายเท่าไร แต่นักพรตจื่อซีหมายจะคว้าตัวเขานั้นไม่ง่าย
หลังจากเอียงตัวหลบ เซี่ยหรันก็ขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “เฮ่ออีหลังถูกสุ่ยหลิงหลงกักตัวเอาไว้ ตอนที่สหายมั่วเข้าไปเอาถุงเก็บวัตถุเขาเฮ่ออีหลังถูกสุ่ยหลิงหลงไล่ฆ่า ขังนางเอาไว้อยู่ในถ้ำด้วยกำแพงที่อาบด้วยพิษร้าย”
นักพรตจื่อซีหน้าซีดขาว พูดขึ้นอย่างชัดเจนว่า “ถ้าเช่นนั้น ชิงเฉินก็ถูกขังอยู่ด้านล่าง แล้วเจ้า ก็เอาถุงเก็บวัตถุของเฮ่ออีหลังขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”
“ใช่!” เซี่ยหรันตอบ
“สหายจื่อซี อย่าได้ใจร้อน”
นักพรตจื้อจั้นพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงนักพรตจื่อซีพูดขึ้นด้วยความโกรธมาก “มารดามันเถิด ให้ข้าใจเย็นกับผีสิ พวกเจ้าบุรุษทั้งหลายดูให้ดี เขาเป็นบุรุษทั้งแท่งติดตามไป สุดท้ายได้ถุงเก็บวัตถุของเฮ่ออีหลังมา เขากลับมาโดยปลอดภัย แต่ชิงเฉินกลับไม่เห็นแม้แต่เงา แล้วจะให้ข้าไม่ร้อนใจได้อย่างไร ถุย ข้าสมเพชพวกเจ้าเสียจริง!”
พูดจบก็พุ่งตัวขึ้น กระโจนเข้ากลางบึงน้ำไป
นักพรตจื้อจั้นแต่แรกเป็นคนนิสัยเข้มแข็ง ถูกนักพรตจื่อซีพูดว่าดังนั้นก็หน้าแดงกับก่ำขึ้นมา
เงาร่างกะพริบวาบ เซี่ยหรันดึงนักพรตจื่อซีเอาไว้
นักพรตจื่อซีโกรธจนคิ้วตั้ง นางตะโกนใส่ว่า “ทำอะไรของเจ้าน่ะ คิดว่าข้าไม่กล้าสู้กับเจ้าหรือไร!”
เซี่ยหรันพูดขึ้นน้ำเสียงเย็นเยียบ “หากจะลงไปก็ให้ข้าเป็นคนลงไปเอง”
พูดเสร็จก็โยนถุงเก็บวัตถุไปบนฝั่ง แล้วก็โดดลงกลางบึงน้ำโดยไม่เหลียวกลับ
นักพรตเฉาหยางฝาแฝดมารบำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเก็บถุงเก็บวัตถุขึ้นมา ใช้จิตสัมผัสลบรอยประทับของเฮ่ออีหลังออกไป ข้าวของจำนวนมากก็ตกลงมา กองอยู่เต็มพื้นในชั่วพริบตา
สิ่งของเหล่านี้มีทั้งม้วนหยกมี ทั้งของวิเศษ และยังมีโอสถ หากอยู่ภายนอกคงเป็นของที่ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนอยากครอบครองจนน้ำลายไหล แต่ ณ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้บำเพ็ญผู้ใดที่ไม่ใช่คนจากตระกูลอันมั่งคั่งร่ำรวย เมื่อได้เห็นของเหล่านี้ถึงแม้ว่ารู้สึกใจเต้นขึ้นมาแต่ก็สงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว สายตาล้วนมองไปยัง ตลับหยกทรงตรงเรียวยาวตลับหนึ่งที่ร่วงอยู่
นักพรตเฉาหยางเปิดตลับหยกเรียวยาวนั้นออก สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี “เป็นส้มโอมือสีทองจริงๆ ด้วย!”
ครั้นแล้วก็ยื่นส้มโอมือสีทองให้กับซื่อเหนียง “ซื่อเหนียง ส้มโอมือสีทองสี่ผลอยู่ครบแล้ว เจ้าอัญเชิญวิญญาณบุปผาเถอะ”
ซื่อเหนียงพยักหน้า โบกมือเรียกส้มโอมือสีทองอีกแปดผลที่เหลือมา จากนั้นก็มองไปยังนักพรตจื้อจั้น
นักพรตจื้อจั้นถอดแหวนนิ้วหัวแม่มือออกมา แล้วยื่นให้
ทันทีที่ซื่อเหนียงรับแหวนนิ้วหัวแม่มือมา ตัวแหวนก็ส่องประกายสีทอง จากนั้นก็เห็นส้มโอมือสีทองเก้าผลก็ค่อยๆ ลอยขึ้น เปล่งแสงสีทอง หมุนไปรอบแหวน
พวกมันหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายต่อให้ผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นจะมีสายตาดีเพียงใดก็มองเห็นได้ไม่ชัด เห็นเพียงแต่เงาที่ค่อยๆ โค้งเป็นวง
ไม่รู้ว่าแสงสีทองส่องสว่างไปนานเท่าไหร่ รอจนกระทั่งสงบลงผู้คนถึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ส้มโอมือสีทองแปดผลได้หายไปแล้ว เหลือเพียงหนึ่งผลที่ใหญ่กว่าผลอื่นลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ
ส่วนโคนผลส้มโอมือสีทอง มีใบไม้สีเขียวมรกตสองใบค่อยๆ แผ่ออก
“เก้าเก้ารวมกันเป็นหนึ่ง หมุนเวียนไร้สิ้นสุด…” นักพรตเฟยหยางพึมพำ
ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นส้มโอมือสีทองที่มีใบไม้สีเขียวงอกออกมานั้นสั่นเครือ ท่ามกลางสายตาของผู้คนจ้องมอง เพียงด้วยตาเปล่าก็มองเห็นได้ว่ามันกลายเป็นเด็กตัวเล็กไม่ได้ใส่กางเกงร่างกายสูงไม่เกินสองศอกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว สวมเพียงเอี๊ยมสีทองผืนหนึ่ง ดวงตาอันมีชีวิตชีวาคู่นั้นสอดส่ายไปมา มองมายังบนมือของซื่อเหนียง แล้วโคลงศีรษะพูดขึ้นว่า “เจ้าปลุกข้าหรือ”
ผู้คนทั้งหลายถูกฉากนี้ทำให้ตกตะลึง ได้ยินเด็กน้อยถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อยแบเบาะ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองไปยังมันด้วยสายตาอันเร่าร้อน
ภายใต้สายตาอันเร่าร้อน เด็กน้อยก็ซุกตัวหลบกลางอดซื่อเหนียงโดยสัญชาตญาณ
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของผู้คน ซื่อเหนียงเม้มปาก แล้วถามขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าคือวิญญาณบุปผาของส้มโอมือสีทองใช่หรือไม่”
เด็กน้อยเอียงคอ แล้วส่ายมือ “ไม่ใช่”
“ไม่ใช่หรือ” ผู้คนต่างประหลาดใจเป็นการใหญ่
เด็กน้อยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แน่นอน วิญญาณบุปผาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของข้าเท่านั้น ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะกังวานใสของเด็กน้อยดังขึ้น ในใจของผู้คนต่างรู้สึกถึงการถูกกลั่นแกล้งหยอกล้อ ต่างมองไปยังซื่อเหนียง
ซื่อเหนียงเข้าใจความหมาย จึงรีบพูดขึ้นว่า “พวกเราปลุกเจ้า เพราะอยากจะถามสักหน่อย ว่าเจ้ามีวิธีพิชิตดอกไม้พิสดาร และระงับสุริยันจันทร์ปรากฏหรือไม่”