ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 15 กักขัง (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ถิงหนูช่วยหลิงหลงกลับมาแล้ว จึงได้กลายเป็นวีรบุรุษที่ทุกคนในสำนักเส้าหยางต่างเลื่อมใสยกย่อง ผู้ใดจะไปสนใจว่าเป็นปีศาจหรือไม่ แม้แต่ฉู่เหล่ยและบรรดาอาวุโสเจ้าสำนักก็ยังมองเขาด้วยสายตาอีกแบบ มีความเกรงใจอยู่หลายส่วน นับประสาอันใดกับศิษย์รุ่นเยาว์พวกนั้น 

 

 

สำนักบำเพ็ญเซียนที่เคยพบปีศาจต้องสังหาร วันนี้ถึงกับร่วมสนทนากับปีศาจ ความคิดเก่าคร่ำครึอยู่ๆ ถูกทำลายลงไปตอนไหนไม่รู้ บรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักเส้าหยางเห็นฉากนี้จะยินดีหรือปวดใจกัน 

 

 

เจ็ดยอดเขาสำนักเส้าหยางพากันจัดเลี้ยงรับรองถิงหนู มกรเองก็มีกินจนมีความสุขไปด้วย ย่อมต้องตามก้นไปตลอด ไม่สนว่าเขายินยอมหรือไม่ อวี่ซือเฟิ่งรู้ว่าเสวียนจีได้พบกับพี่สาวอีกครั้ง ย่อมมีเรื่องมากมายคุยกัน ตนเองเป็นผู้ชาย อยู่ข้างๆ ก็มีแต่ขัดคอ ดังนั้นจึงได้ไปดูแลหลิ่วอี้ฮวนแทน 

 

 

จากกันไปครึ่งปี ในที่สุดจิตญาณหลิงหลงก็กลับมา สำหรับร่างกายนางแล้ว นับว่าส่งผลไม่น้อย ยามเพิ่งฟื้นขึ้นมา สติสัมปชัญญะก็ย่อมเกิดอาการอ่อนล้า พูดจาครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ทนไม่ไหวคอตกหลับไป หลับทีก็หลับไปสองวัน ยามนี้เสวียนจีเอาแต่นั่งยองเฝ้าอยู่ข้างกายนาง เกรงว่านางนอนแล้วจะไม่ตื่นอีก ดีที่บ่ายวันรุ่งขึ้น ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น เรื่องแรกที่ทำก็คือบ่นว่าหิว 

 

 

เสวียนจีรีบยกโจ๊กที่เพิ่งทำเสร็จใหม่มาวางบนโต๊ะให้นาง ใช้ช้อนป้อนนางทีละคำ พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ครั้งนี้ตาข้าดูแลเจ้าแล้ว เจ้าเป็นน้อง ข้าเป็นพี่” 

 

 

หลิงหลงตัวอ่อนปวกเปียกพิงหัวเตียง สีหน้าเบื่อหน่าย บ่นเบาๆ ว่า “ข้าไม่ชอบกินอันนี้…ไม่มีรสชาติอะไรเลย ไม่มีปลาเนื้ออะไรบ้างหรือ” 

 

 

เสวียนจีหัวเราะเบาๆ กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่าดื้อ เจ้าหลับไปจะเป็นปีแล้ว ไม่ได้กินอะไรเลย อยู่ๆ จะมากินเนื้อกินปลา ไม่ดีกับสุขภาพ ค่อยๆ นะ อีกสองสามวันก็จะได้กินอาหารมีรสชาติแล้ว” 

 

 

จิตสองหกญาณหลิงหลงถูกกระชากออกไป ร่างกายก็เท่ากับตายไประยะหนึ่ง มีแต่ใจที่ยังเต้นอบอุ่นอยู่บ้าง เดิมฉู่เหล่ยยังกังวลว่าไม่ให้นางกินอะไรจะทำให้นางค่อยๆ อ่อนแรงและตายลง ทุกวันจึงเคี่ยวยาสมุนไพรกรอกให้นางดื่ม ผู้ใดจะรู้ว่าดื่มเท่าไรก็อาเจียนออกมาเท่านั้น ลำคอปิดผนึก น้ำหยดเดียวก็ไหลลงไปไม่ได้ ต่อมาเหอหยางบอกว่าจิตญาณถูกกระชากออกไปไม่อาจกินอาหารได้ ไม่ส่งผลอะไรกับนาง ฉู่เหล่ยสองสามีภรรยาจึงได้วางใจ ยามนี้ในที่สุดนางก็ฟื้น กระเพาะอ่อนแอ จะให้กินปลากินเนื้อมื้อใหญ่ได้อย่างไร 

 

 

เสวียนจีป้อนโจ๊กเกินครึ่งชามหมดแล้วยังเติมอีก แต่หลิงหลงส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่อยากกินแล้ว…เสวียนจี เจ้าหกล่ะ ทำไมเขาไม่มาเยี่ยมข้า” 

 

 

พอนางเอ่ยถึงจงหมิ่นเหยียน ช้อนในมือเสวียนจีก็ร่วงลงพื้น นางฝืนยิ้มกล่าวว่า “อ้อ…เขา เขากักตนบำเพ็ญเพียรน่ะ! ใกล้จะงานชุมนุมปักบุปผาแล้วไม่ใช่หรือ ท่านพ่อให้เขาร่วมด้วย ดังนั้นต้องบำเพ็ญเพียรดีๆ” 

 

 

“จริงหรือ” 

 

 

“ย่อมจริงสิ” เสวียนจีนั่งอยู่ข้างเตียงกุมมือนางไว้ ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “เมื่อวานได้ยินว่าเจ้าฟื้นแล้ว เขายังโวยวายจะมาเยี่ยมเจ้า ท่านพ่อโมโหใหญ่ เขาจึงได้ยอมกักตนฝึกต่อ” 

 

 

หลิงหลงก้มหน้ายิ้ม ใบหน้าซีดขาวเริ่มแดงเรื่อ ยู่ปากกล่าวว่า “เขา…จริงๆ เลย! ท่านพ่อน่ารังเกียจ เยี่ยมหน่อยจะอะไรนักหนา” 

 

 

เสวียนจีรู้สึกปวดใจ ไม่อยากให้นางรู้ความจริง ดังนั้นกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าคิดถึงเขาแล้ว ใช่ไหม” 

 

 

หลิงหลงแค่นเสียงฮึ “ผู้ใดคิดถึงเขา!” ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็อดไม่ได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ใช่…นิดหน่อย ข้าคิดว่าตื่นมาต้องได้เห็นเขา ข้านอนไปนานเช่นนี้ ไม่รู้เขาเปลี่ยนไปเช่นไรแล้ว…เสวียนจี ตอนนี้เจ้าสูงกว่าข้าแล้วนะ” 

 

 

เสวียนจียิ้มตบมือนาง ปีหนึ่งมานี้เวลาหลิงหลงเหมือนหยุดเดิน ดังนั้นรูปร่างและใบหน้าจึงยังเหมือนหยุดอยู่ที่อายุสิบห้า หากเสวียนจีเองกลับสูงขึ้นไม่น้อย เป็นดรุณีน้อยงดงามอรชรอายุสิบหก มองแล้วเหมือนพี่สาวหลิงหลง 

 

 

ทั้งสองคุยความในใจกันครู่หนึ่ง หลิงหลงพลันยิ้มถาม “เสวียนจี พูดความจริงมา ซือเฟิ่งกับเจ้า…ใช่ไหม…” 

 

 

เสวียนจีตะลึงเป็นนานก่อนจะเข้าใจ ส่ายหน้าก่อนจะพยักหน้าอีก สุดท้ายยิ้มกว้างกล่าวว่า “อืม พวกเราเคยหารือกันแล้ว พอช่วยเจ้ากลับมา ก็จะ…ไปท่องเที่ยวกัน ไม่แยกจากกันอีก” นางเดิมบอกว่าจะไปเขาปู้โจวซานแย่งชิงจงหมิ่นเหยียนกลับมา แต่พอจะพูดออกมาก็รีบเปลี่ยนคำ 

 

 

หลิงหลงมองนางอย่างนึกอิจฉา พึมพำกล่าวว่า “เจ้าใจกว้างจริง…ใจกล้าด้วย หาก…หากข้าทำได้…” 

 

 

เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “อะไรได้ไม่ได้ ชอบใครสักคน มีอะไรน่าอาย พูดออกมาก็พอ” 

 

 

หลิงหลงหน้าแดง เป็นนานก่อนจะทำใจกล้ากล่าวว่า “อย่างนั้น อย่างนั้นข้าก็ได้! พวกเราสี่คนต้องไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติด้วยกัน! ข้า…ข้ากับเจ้าหกจะไม่แยกจากกันตลอดไป!” 

 

 

ในใจเสวียนจีปวดแปลบ คิดถึงว่าหากจงหมิ่นเหยียนได้ยินวาจานี้ เกรงว่าคงยิ้มจนหุบปากไม่ลง ทุกข์สักเพียงใดก็คงยินยอมรับทุกข์ 

 

 

หลิงหลงเห็นดวงตานางมีแววเจ็บปวด อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นอะไรไป มีอะไรไม่เบิกบานใจหรือ หรือว่าซือเฟิ่งรังแกเจ้า บอกข้า เดี๋ยวข้าไปคิดบัญชีกับเขา!” แม้ว่าร่างกายนางอ่อนแรง แต่ก็ทำท่าโมโหคุกรุ่นแบบพี่สาวได้อย่างไม่ลดรา 

 

 

เสวียนจีรีบส่ายหน้า งึมงำกล่าวว่า “ไม่…เขาจะรังแกข้าได้อย่างไร! ข้า…ใช่แล้ว ข้าอยากถามเจ้า วันนั้นที่เขาเกาซื่อซาน ทำไมอยู่ๆ เจ้าก็หายตัวไป อูถงจับเจ้าไปทำไม กระชากจิตญาณเจ้าหรือ” 

 

 

หลิงหลงอึ้งไป ใบหน้าพลันซีดขาว ตามมาด้วยสีแดงระเรื่อ นิ่งอึ้งไปเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้า…เขาจับข้าก็เพราะงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนั้น! แก้แค้นพวกเรา…ข้า ข้าก็ไม่เป็นอะไร ตอนนี้ไม่ใช่ว่ากลับมาแล้วหรือ” 

 

 

เสวียนจีเห็นสีหน้านางแปลกไปก็ไม่กล้าถามอีก ได้แต่มองนางเงียบๆ 

 

 

หลิงหลงพิงหัวเตียง หลับตาลงท่าทางเหนื่อยล้า มีเรื่องราวที่ไม่อยากให้คนรู้ ราวกับสายน้ำไหลผ่านห้วงความคิดนาง ในใจนางทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้น แต่ก็เหมือนมีอารมณ์ที่ไม่กระจ่างชัดอย่างหนึ่งผสมผสานอยู่ด้วย ในใจพลันเต้นสับสน ไม่อาจหยุดได้ 

 

 

วันนั้นนางถูกลอบโจมตีที่เขาเกาซื่อซาน ถูกฟาดสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็มาอยู่ในถ้ำมืดมิด รอบข้างเงียบกริบไม่มีคน ผนังถ้ำมีตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งเต้นวูบไหว นางกลัวและตกใจ พอได้สติลูบไปที่เอว กระบี่ต้วนจินยังอยู่ ทำให้นางผ่อนคลายลง 

 

 

กำลังคิดลุกหนี ข้อมือกับข้อเท้าเหมือนถูกโลหะรัดเอาไว้ส่งเสียงดัง ยามนั้นหลิงหลงจึงได้รู้สึกว่ามือเท้าตนเองถูกโซ่เหล็กสีทองเส้นบางรัดไว้ โซ่เหล็กสี่เส้นตอกติดกับผนังถ้ำ ความยาวพอให้นางได้แค่เดินไปวนมาในถ้ำเท่านั้น 

 

 

เดิมนางก็มีนิสัยมุทะลุ ยามนั้นจึงได้เหมือนสัตว์ป่ายามถูกจองจำ ถูกโซ่เหล็กรัดไว้ ไหนเลยจะไม่โมโห จึงได้ชักกระบี่ต้วนจินออกมาฟัน ผู้ใดจะคิดว่าโซ่เหล็กสี่เส้นดูบางๆ ปรากฏไม่ว่านางจะฟัน แทง หั่น กระชากอย่างไรก็ไม่ขาด หลิงหลงได้แต่ร้อนใจจนเหงื่อชุ่ม พลันตัดสินใจยกกระบี่ต้วนจิน ครั้งนี้ไม่ฟันโซ่เหล็ก หากจะฟันที่ข้อมือตนเอง! 

 

 

ปากถ้ำพลันมีเสียงดังแหวกอากาศมา เฟี้ยว ดังมา หลิงหลงรู้สึกเพียงแค่ข้อมือสะเทือน กระบี่ต้วนจินหลุดจากมือกระเด็นออกไป นางยังคงมีความดื้อดึงแน่วแน่ ก้มลงเก็บจะฟันอีก ปากถ้ำมีเสียงคนผู้หนึ่ง “หึ” ขึ้นเสียงหนึ่ง นางหน้ามืดตาลายมองไม่ชัด เงาดำนั่นก็มาอยู่ตรงหน้า ราวกับจะหยุดยั้งนางฟันข้อมือตนเอง 

 

 

การกระทำนี้ตรงใจนางคิด กระบี่ต้วนจินเปลี่ยนทิศ หันไปฟันคนผู้นั้นอย่างแรง คนผู้นั้นรู้ก่อนแล้วว่านางจะทำเช่นนี้ จึงพลิกข้อมือคว้ากระบี่ต้วนจินไว้แน่น นางกระชากอย่างไรก็ไม่ออก คนผู้นั้นหัวเราะเบาๆ ยกมือคว้าไหล่นางไว้ อยู่ๆ รู้สึกว่าผิดปกติจึงรีบบีบคางนางไว้ ใช้แรงนิ้วบีบให้นางอ้าปาก แต่ลิ้นนางก็ยังถูกกัดเป็นแผลหนึ่ง เลือดสดไหลนองอยู่เต็มปาก 

 

 

“แข็งกร้าวจริง” เขากระซิบ หลิงหลงหลับตาแน่น ไม่ยอมมองเขา ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ทันระวังเขา กระชากเสื้อตัวนอกนางออก หลิงหลงตกใจจนแตกตื่น หวีดร้องเสียงดัง กอดร่างตนเองไว้ 

 

 

“หากเจ้าจะฆ่าตัวตายอีก ข้าก็จะตามใจเจ้า หากเจ้าไม่กลัวว่าตายแล้ว ข้าจะแก้ผ้าเจ้าแล้วส่งไปหน้าประตูใหญ่สำนักเส้าหยาง ให้ชายร้อยคนมาดูศพ ให้บิดาและคนรักเจ้าเห็น” 

 

 

หลิงหลงครางในลำคอออกมาอย่างหวาดกลัว ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อมองจ้องเขา เห็นชัดว่าคำขู่นี้ทำให้นางตกใจสุดขีด ชายผู้นี้เห็นนางนิ่งลงก็คลุมเสื้อที่กระชากออกกลับคืนให้นางอย่างอ่อนโยน กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขอเพียงเจ้ายอมเชื่อฟัง ข้าก็จะไม่ทำอะไร” 

 

 

ทั่วร่างเขาราวกับถูกครอบด้วยเงาดำ ครึ่งใบหน้าถูกผ้าดำปิดไว้ เผยเพียงแค่สองตาลุกโชน ตาคมราวกระบี่แหลมคมยิ่ง หลิงหลงรู้สึกเพียงแค่เคยเห็นแววตาคู่นี้ที่ไหน อยู่ๆ คิดออก สองมือยื่นออกไปกระชากผ้านั่นออก 

 

 

“เจ้าเอง…เป็นเจ้า!” น้ำเสียงนางหวีดแหลม ยกมือคว้าใบหน้าเขา แทบอยากจะควักลูกตาเขาออกมา 

 

 

คนผู้นั้นสีหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นอูถง หลิงหลงตะโกนเสียงแหลม พุ่งเข้าไปจิกคว้ามั่วไปหมด แต่ไหนเลยจะทำอะไรเขาได้ ถูกเขาคว้าข้อมือไว้ได้ราวเล่นสนุกกับเด็กน้อย กดลงกับผนังถ้ำไม่ขยับ 

 

 

“เจ้าจงสังหารข้าตอนนี้! ไม่เช่นนั้นหากข้ารอดไปได้ วันหนึ่งต้องฉีกร่างเจ้าเป็นหมื่นชิ้น!” นางคำรามดุดัน ข้อมือถูกเขากดไว้กับผนังถ้ำสิบนิ้วงอหงิก เห็นชัดว่าโกรธสุดขีด 

 

 

อูถงก้มหน้ามองนางครู่หนึ่ง พลันปล่อยมือ ลูบแก้มนางอย่างเร็วทีหนึ่ง หันหลังยิ้มกล่าวว่า “โตเป็นสาวสวยเสียด้วย ข้าจะตัดใจสังหารเจ้าได้อย่างไร” 

 

 

หลิงหลงพุ่งเข้าไปคิดจับเขา สองขาพลันอ่อนยวบ คุกเข่าลงนั่งกับพื้น นางตกใจมากจนเกินทนรับไหวแล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหมดแรง ไม่อาจขยับได้อีก กระบี่ต้วนจินร่วงลงข้างเท้านาง นางแย่งคืนมากอดไว้ ขดร่างไปอยู่มุมหนึ่ง 

 

 

ไม่กล้าร้องไห้ ไม่กล้าขยับ ไม่กล้าตาย นางไม่รู้ว่าตนเองยังทำอะไรได้อีก ได้แต่หลังน้ำตาเงียบๆ ในใจ ไม่รู้ร้องเรียกชื่อจงหมิ่นเหยียนกี่หมื่นกี่พันครั้ง ได้แต่ขอให้สวรรค์เมตตา ให้ในพริบตานี้ลงมาจากท้องฟ้าดังเทพสวรรค์ มาช่วยตนเองออกไป 

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร นางยังคงอยู่ในท่านี้ รู้สึกเพียงแค่มือเท้าชา ทนไม่ไหวอีกแล้ว กำลังจะเปลี่ยนท่า ก็พลันได้ยินปากถ้ำมีเสียงดังแว่วมา ร่างนางขนลุกชัน คว้ากระบี่ต้วนจินมากันไว้ด้านหน้า คิดว่าหากเขาคิดไม่ซื่อ ตนเองก็จะทำลายโฉมตนเอง กัดลิ้นฆ่าตัวตาย เช่นนี้คำขู่โหดร้ายของเขาก็ไม่มีประโยชน์ 

 

 

มีคนเลิกม่านปากถ้ำขึ้น อูถงยกกะละมังน้ำร้อนเข้ามา ยังมีผ้าสีขาวใหม่อีกหลายผืน ไม่กล่าวอันใดก็วางของพวกนั้นลงกองไว้ทางหนึ่งหันหลังออกไป 

 

 

นางไม่รู้ว่าเขามีอุบายอะไร ได้แต่ตั้งสติ ไม่ว่าเขาว่าอะไร ตนก็จะไม่สนใจ