หลิงหลงฝืนทนไม่กินไม่ดื่มอยู่ในถ้ำได้สามวัน สุดท้ายก็หิวจนหน้ามืด ลำคอร้อนราวเปลวไฟแผดเผา อูถงไม่บังคับนาง ทุกวันส่งอาหารมาตรงเวลา น้ำร้อนก็มีให้นางอาบ นางไม่กินไม่อาบ เขาราวกับไม่มอง อย่างไรอาหารก็เปลี่ยนใหม่ น้ำเย็นก็เปลี่ยนน้ำร้อนมาใหม่
วันนี้พอถึงตอนเที่ยง เขาส่งอาหารมาอีกแล้ว เปิดฝาครอบออกเห็นไก่ผัดถั่วเถาเหรินจานหนึ่ง สีสันกลิ่นรสที่คุ้นเคย หลิงหลงพลันนึกถึงเหอตันผิง ท่านแม่ของนาง นางทำอาหารจานนี้ได้อร่อยที่สุด ทุกครั้งที่ยกเข้ามา นางกับเสวียนจีก็จะแย่งกันกินจนหมด นึกถึงต้นหญ้าต้นไม้ทุกต้นในเส้าหยาง ท่านพ่อ ท่านแม่ นึกถึงความอบอุ่นของท่านแม่ ความน่ารักของเสวียนจี นางก็อดหลั่งน้ำตาออกมาอีกไม่ได้
น้ำตาไหลรดริมฝีปากแห้งผากของนาง ความเค็มทำให้รู้สึกเจ็บ นางใช้ลิ้นเลีย ทั้งขมและฝาด นางนิ่งมองไปยังอาหารที่ส่งกลิ่นหอมตรงหน้า ในใจพลันหวั่นไหวเล็กน้อย ไม่กินอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้ตนหิวตายที่นี่ หากตายจริงไม่ใช่ว่าสมดังใจเขาหรือ ในสมองพลันมีเสียงโต้เถียงไปมาเช่นนี้ นางค่อยๆ ถูกเกลี้ยกล่อม สองเท้าค่อยๆ ยืดออก กำลังจะไปเอามากินก็มีได้ยินเสียงคนเลิกม่านออก เขากลับมาอีกแล้ว
หลิงหลงรีบหดตัวกลับ ระวังตัวจนตัวแข็งทื่อไปหมด
อูถงไม่สนนาง สนใจแค่จะยกอาหารเย็นชืดนั้นออกไป ในใจหลิงหลงสะดุ้ง อดเอ่ยเองไม่ได้ว่า “เดี๋ยว…รอเดี๋ยว”
อูถงหันกลับไปเลิกคิ้วมองนาง ไม่กล่าวอันใด
หลิงหลงกัดริมฝีปาก งึมงำราวเสียงยุงว่า “ไก่ผัด…อย่ายกไป…”
อูถงยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “รู้แล้ว เอาไก่ไปอุ่นแล้วค่อยยกมา” เขาเลิกม่านออกรีบวิ่งออกไป หลิงหลงพิงผนังถ้ำเย็นเยียบ ความกล้ำกลืนในใจราวสายน้ำทะลักออกมา พลันรู้สึกเพียงแค่มืดมน อับอาย ทำอะไรไม่ได้ คับแค้น…ความรู้สึกทั้งมวลประดังเข้ามา สุดท้ายกลายเป็นความเวิ้งว้างอย่างหาที่สุดมิได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ดังคาด เขากลับมาพร้อมไก่ผัดถั่วเถาเหรินร้อนๆ และน้ำชาร้อนอีกชาม หลิงหลงไม่วางท่าอะไรอีกแล้ว ไม่อาจสนใจหน้าตาศักดิ์ศรีอีกแล้ว พุ่งเข้าไปคว้าอาหารและน้ำชาอัดเข้าปากอย่างไม่คิดชีวิต นางกระหายจนใกล้จะเสียสติแล้ว
พอดื่มน้ำชาหมดชาม นางก็ยังไม่พอ เห็นมืออูถงมีกาดินม่วงอีกป้านหนึ่ง เทลงมาอีกชาม กล่าวว่า “อย่าดื่มเร็วอย่างนั้นจะสำลักเอา”
หลิงหลงร้อนใจดังไฟ โยนชามชาทิ้ง สะบัดหน้าหลบเข้ามุมอีก อูถงก็ไม่กวนนาง วางของลงกับพื้น ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยกอาหารร้อนๆ มาอีกสองจาน พร้อมชุดตัวในกับผ้าแห้งไว้เปลี่ยนหลังอาบน้ำ เข้ามาครั้งที่สามก็อุ้มเอาผ้าห่มหนาราวเตียงสามสี่ชั้นเข้ามาปูบนพื้นเย็นเยียบ แม้แต่หมอนก็เตรียมมาครบ
หลิงหลงจ้องมองเขาเดินออกไปอย่างิ้งงันไม่ขยับอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าถอดหมด เพียงใช้น้ำร้อนลูบใบหน้าและมือเล็กน้อย ก่อนจะแอบปลดเสื้อตัวในออก หันหลังเช็ดร่างกาย เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เขานำมาให้นาง นางไม่มองสักนิด โยนทิ้งไปกองอีกทางทั้งหมด
น่าจะคำนวณเวลานางอาบน้ำใกล้เสร็จ อูถงก็เข้ามา เปลี่ยนน้ำร้อนสองกะละมังใหม่ เอาสบู่และหวีมาด้วยครบ แม้ว่าหลิงหลงเกลียดเขาเข้ากระดูก แต่เห็นเขาละเอียดรอบคอบเตรียมของทุกอย่างให้นางเช่นนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายจิตใจลงอยู่บ้าง สยายผมออกสระแล้วก็รู้สึกสบายไปทั้งตัว พื้นปูผ้าห่มหนาย่อมดีกว่าเมื่อก่อนร้อยเท่า ยามนี้ยกอาหารขึ้นกินอีก ในใจอดปวดแปลบไม่ได้ แม้นางวางท่าทางสูงส่ง เขาต้องมาคอยดูแล แต่ในความเป็นจริง ตนเองได้พ่ายแพ้หมดรูปนานแล้ว
การอยู่ร่วมกันอย่างไม่ข้องเกี่ยวเช่นนี้ผ่านไปได้หลายวัน ความระวังตัวก่อนหน้าของหลิงหลงหายไปหมดสิ้นนานแล้ว แม้ว่าทุกครั้งที่เขาเข้ามาส่งของให้นาง นางล้วนชักกระบี่กันไว้ด้านหน้า แต่พอเขาออกไป นางก็ไม่ได้ไปแอบหลบมุมร้องไห้เหมือนเมื่อก่อน
อูถงขังนางไว้เพื่ออะไรกันแน่ มาถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เข้าใจ อูถงจับนางมาต้องวางแผนล้างแค้นสำนักเส้าหยางกับสี่สำนักใหญ่ที่ออกประกาศจับเขาแน่ ต้องคิดหาวิธีชั่วช้ามาจัดการนางแน่
แต่เหตุใด สุดท้ายเขากลับไม่ได้ทำอะไร บางทีในใจนางก็แอบรู้คำตอบ หากยังคงปฏิเสธที่จะคิด โลกนี้มีเรื่องมากมาย มองทะลุปรุโปร่งกลับไม่ดี
คิดถึงตรงนี้ นางอดถอนหายใจไม่ได้ เสวียนจีเอาแต่มองนางอยู่ข้างๆ เห็นสีหน้านางเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายค่อยๆ สงบลง ในที่สุดก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “เขาทรมานเจ้าไหม บาดเจ็บไหม”
หลิงหลงหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ส่ายหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี ข้าเหนื่อยมาก ขอนอนสักครู่…”
เสวียนจีพยักหน้าประคองนางนอนลง ห่มผ้าห่มให้ ได้ยินนางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “บอกเจ้าหก…ข้าคิดถึงเขามา เหตุใดเขายังไม่มาเยี่ยมข้า”
เสวียนจีไม่อาจตอบ ลำคอตีบตัน ได้แต่ฝืนรับคำขึ้นเสียงหนึ่งก่อนจะผลักประตูเดินออกไป
หลิงหลงหลับตาขดตัวลงในผ้าห่ม คิดไตร่ตรองไปมา ราวกับย้อนกลับไปถึงวันนั้น
นางถูกขังอยู่ในถ้ำนั้น ไม่รู้วันเดือน ร่างกายถูกคล้องด้วยโซ่เหล็ก ออกไปไหนไม่ได้ ทุกวันได้แต่รออูถงส่งข้าวส่งน้ำให้นาง ทั้งสองอยู่ร่วมกันปกติดี ในใจนางแต่ต้นจนจบก็เหมือนมีสายพิณหนึ่งรัดแน่น คอยย้ำเตือนตนเองตลอดว่าเขาขังตนไว้ต้องมีจุดประสงค์ แต่แท้จริงคืออะไร นางเองก็ไม่รู้
ต่อมาไม่รู้เขามัวไปยุ่งกับเรื่องอะไร เวลาส่งข้าวส่งน้ำก็เริ่มสายขึ้นเรื่อยๆ ส่งเต้าหู้กับผักที่นางเกลียดที่สุดมาให้นางกินติดต่อกันสามสี่วัน นางคิดว่านี่เป็นวิธีใหม่ที่เขาคิดทรมานนาง ในที่สุดวันหนึ่งก็อดทะเลาะกับเขาไม่ได้ คว่ำอาหารทั้งหมดทิ้ง ดุดันกล่าวว่า “ไม่ต้องส่งอาหารให้ข้าอีก! ข้ายอมอดตาย!”
ตอนนั้นสีหน้าอูถงเหมือนมีอารมณ์ขึ้นน้อยมาก ดูจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ในตาราวกับมีแววอันตรายแฝงอยู่ เขาหัวเราะเยียบเย็นขึ้นกล่าวว่า “คุณหนูเช่นเจ้าปรนนิบัติยากจริง คิดว่าตนเองมาเสวยสุขหรือไร มีกินก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
การที่หลิงหลงยอมอ่อนข้อก่อนเอ่ยขออาหารในที่สุด ก็เท่ากับยอมรับน้ำใจเขา อย่างไรก็เหมือนมีสิ่งนี้ติดอยู่ในใจ ยามนี้ถูกเขาแทงจุดที่เจ็บปวดที่สุดก็ทนไม่ไหว กระทืบเท้าปะทุอารมณ์ขึ้น ชักกระบี่ต้วนจินออกมาฟันผ้าห่มเละเทะไปหมด ฟันขาดเป็นเศษชิ้นกระจัดกระจาย พลางตวาดดัง “เจ้าก็สังหารข้าตอนนี้เลยสิ! เหตุใดไม่สังหารข้า?!”
อูถงคว้าข้อมือนางไว้พลางยกเท้ายัน หลิงหลงยืนไม่มั่นหงายหลังลงกับพื้น เขาตามล้มลงมาด้วย หลิงหลงตกใจหน้าเปลี่ยนสี หรือเขาคิดบังคับขืนใจนาง นางอ้าปากคิดจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายทันที ผู้ใดจะรู้ว่าพอกัดแน่นก็กัดไม่โดนลิ้น หากกัดถูกนิ้วเขา
เขายัดนิ้วเข้ามาในปากนาง ทำให้นางกัดลิ้นตนเองไม่ได้ ในใจหลิงหลงคับแค้นสุดขีด งับนิ้วเขาเต็มแรง แทบอยากจะงับให้ขาด นิ้วเขาเลือดออกสาดลงบนลิ้นนาง ทั้งคาวและเฝื่อน หลิงหลงคิดว่าเขาต้องเจ็บปวดทรมานแน่ ดังนั้นจึงหลับตาแน่นงับนิ้วเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
รออยู่เป็นนานเขาก็ไม่ขยับ หลิงหลงสงสัยแอบลืมตามอง เห็นใบหน้าระยะใกล้แค่คืบของเขา สายตาส่องประกายวิบวับ เอาแต่จ้องมองตน สายตานั่นราวกับเกลียดถึงที่สุด แทบอยากจะสับนางเป็นพันชิ้นให้ตายทั้งเป็น ในใจหลิงหลงพลันตกใจ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เร็วสิ…สังหารข้าเร็ว!” นิ้วมือเขาค้างอยู่ในปากนางทำให้วาจานางอู้อี้
อูถงถือโอกาสที่นางเปิดปากออกพูด รีบชักนิ้วมือออกมา หลิงหลงอดตะลึงไม่ได้ ไม่ทันระวังถูกเขาคว้าเศษผ้าผืนหนึ่งยัดเข้าปากนาง นางแผดเสียงร้องดังลั่น ดิ้นรนสุดชีวิต ไม่รู้ข่วนหน้าเขาเลือดออกไปกี่รอย สุดท้ายยังคงถูกเขาใช้ผ้าอุดปากไม่ให้กัดลิ้น แม้แต่ปากก็อ้าไม่ได้
อวัยวะภายในนางร้อนราวไฟเผา สองตามืดดับ คิดว่าครั้งนี้คงถูกเขาทรมานจนตายจริงๆ แล้ว มือไม้พลันอ่อนแรง ถูกเขาใช้แรงกดไว้ จี้สกัดจุดจนไม่อาจขยับได้
“คุณหนูสูงส่งเช่นเจ้าจะรู้อะไรกัน ข้ารู้แล้ว แต่เล็กเจ้าก็มีแต่คนยกยอเอาใจเช่นเจ้าหญิงน้อย หึๆ โลกนี้มีแต่คนดีกับคนเลว ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอา ท่านลุงของเจ้าล้วนเป็นคนดี ขอเพียงล่วงเกินพวกเจ้าก็ล้วนเป็นคนเลว ใช่หรือไม่”
เขาถามน้ำเสียงเจ็บปวดเยาะเย้ย ลูบคลึงคางนางโยกไปซ้ายทีขวาที
หลิงหลงหลับตาแน่น รอให้เขาโมโหสังหารตนเองในฝ่ามือเดียวก็ไม่ทรมานดี
“เจ้าไม่รู้ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอา ท่านลุงเจ้าทำอะไรกับข้าบ้างกระมัง หึๆ รางวัลนำจับห้าร้อยตำลึง! ชีวิตข้าอูถง ห้าร้อยตำลึงก็จบสิ้นได้แล้วหรือ ข้าสังหารผู้ใด หรือทำความผิดอันใดที่ชั่วร้ายสามานย์ไม่อาจอภัย ห้าสำนักใหญ่มีเกียรติยิ่ง! มีเกียรติยิ่ง! ร่วมมือกันจัดการศิษย์ตัวเล็กๆ เช่นข้าคนเดียว ทำให้ชื่อข้ากระฉ่อนทั่วยุทธภพ ไม่มีที่หลบซ่อน ซาบซึ้งจนแทบไม่ไหวแล้วจริงๆ!”
เขากล่าวจบ พลันได้ยินแควกดังขึ้น เหมือนเสียงผ้าฉีกขาด ในใจหลิงหลงสะดุ้งทันที คิดว่าเขาบ้าคลั่งลงมือจัดการนาง ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเขากล่าวว่า “เด็กดี ลืมตามองสิ งดงามมาก บรรดาลุงเจ้าพวกนั้นทำอะไรกับข้าบ้าง!”
หลิงหลงไหนเลยจะยอมฟังเขา ไม่รู้เขาจะใช้วิชาปีศาจอะไรหลอกล่อนาง นางได้แต่หลับตาแน่น
มือเขาพลันเกาะกุมแก้มนางไว้ ลูบไปมากล่าวอ่อนโยนว่า “หลิงหลง ลืมตามองข้า” ตามมาด้วยแก้เชือกที่มัดนางไว้ “หากเจ้าไม่มองข้า ข้าก็จะมองเจ้าแล้วนะ ถอดเสื้อผ้าเจ้าแล้วจะมอง มองให้ละเอียด”
หลิงหลงรู้สึกเพียงแค่มือเขาสอดเข้าไปในสาบเสื้อ นางตกใจลืมตาโพลงจ้องมองหน้าเขา ดวงตาเขาส่องแสงประหลาดจ้องมองนาง พลันยันกายขึ้น หัวเราะหยันกล่าวว่า “อย่างไร เห็นหรือยัง”
เขาถอดเสื้อบนร่างออกหมด เผยให้เห็นหน้าอกเปลือยเปล่าแข็งแกร่งที่มีร่องรอยแผลเป็นไม่รู้เท่าไร มีรอยหนึ่งจากหัวใจยาวไปจรดท้อง ลากยาวลงไปอีก ล้วนเป็นแผลที่ทำให้ถึงตายได้ รอยสีแดงหนาเป็นปื้นนั้นราวกับตะขาบเลื้อยอยู่บนตัวเขา หลิงหลงครางเบาๆ ไม่รู้เพราะตกใจหรือหวาดกลัว
อูถงกล่าวน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “ข้าตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว! ทุกครั้งล้วนปีนกลับมาจากปากทางนรก! ห้าร้อยตำลึงซื้อชีวิตข้าอูถงได้หรือ เกรงว่าพวกเขาจะเพ้อเจ้อไปสักหน่อย! ตอนนี้ให้พวกเขาลองลิ้มลองรสชาติการถูกคนบีบจนสิ้นหนทางกันบ้าง!”
เขายกมือไปเคาะขาซ้ายสองที ส่งเสียงดังปึกๆ ที่แท้ขาเขาเป็นขาปลอมทำจากไม้ลงน้ำมันดำ
เขามองสีหน้าหวาดกลัวของหลิงหลง อดหัวเราะบ้าคลั่งไม่ได้ กล่าวว่า “เป็นอย่างไร คิดอยากดูต่อไปไหม” กล่าวจบเขาก็แก้เข็มขัดกางเกงออก หลิงหลงหวีดร้องอู้ๆ หลับตาปี๋
อูถงเห็นนางหน้าแดงระเรื่อราวกับดอกท้อ ในใจวูบไหว อดเข้าประคองใบหน้านางไว้ไม่ได้ ก้มหน้าลงจุมพิตแก้มนาง ยามนี้ในใจเขาเต้นแรง ปลดสายรัดเอวนางออกพลางพึมพำกล่าวว่า “ทุกอย่างแค่เริ่มต้น ไม่สู้ลิ้มรสความหวานก่อน…”
ดรุณีน้อยงดงามราวบุปผาราวหยกเช่นนี้ในอ้อมกอด เขาจะยั้งใจได้อย่างไร นับประสาอันใดกับเขาเดิมก็ไม่ใช่วิญญูชนอะไร จึงกอดนางไว้แน่น พรบจูบไปทั่ว รู้สึกเพียงแค่ร่างนางสั่นเทาอย่างน่าสงสาร ในใจเขาอ่อนยวบ กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่ากลัว”
เห็นขนตายาวของนางราวกับปีกผีเสื้อกระเพื่อมไหวสองที พลันมีหยาดน้ำตาหยดลงมา ความต้องการในใจเขาพลันมลายสิ้นไปทันที อยู่ๆ ก็ทำไม่ลง ประคองใบหน้านางบรรจงจุมพิตเปลือกตาสั่นไหวของนางสองสามที กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ลืมตา แค่เจ้าลืมตา ข้าก็จะไม่ทำอะไรเจ้า อูถงพูดได้ทำได้”
เขาสงบใจลงมองขนตานางกะพริบทีสองที ในที่สุดก็ลืมตา ดวงตากลมโตดำขลับจ้องมองเขา สายตานั่นราวกับร้องขอ เหมือนกับเจ็บปวดสิ้นหวัง ยังมีความน่าสงสาร หวาดกลัวและสิ้นหวังผสมปนเป
อูถงมองนางอยู่นาน ในที่สุดก็ค่อยๆ ปล่อยมือ คลุมเสื้อตัวนอกให้นาง ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ไก่ผัดถั่วเถาเหรินใช่ไหม” เป็นนาน วาจาเขาพลันดังขึ้นที่ปากถ้ำ “หึๆ คุณหนูใหญ่โตจริงๆ”
หลิงหลงไม่กล่าวอันใด จริงๆ แล้วนางถูกผ้าอัดไว้เต็มปากจนพูดไม่ได้
อูถงเลิกม่านเดินออกไป พลันคิดอันใดขึ้นมา หันกลับมาหัวเราะเยาะนางกล่าวว่า “ยามนี้คนรักของเจ้าอยู่ที่ใดกัน ราวกับไม่มาช่วยเจ้า ไม่เคยมาหาเจ้า! เด็กน่าสงสาร…”
หลิงหลงเจ็บปวดใจราวกับถูกค้อนทุบลงกลางใจเต็มแรง น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่หยุด
ต่อมาเขาก็ไม่ได้มีโอกาสแตะต้องนางแม้แต่ปลายนิ้วอีก อาหารสามมื้อส่งมาแต่ที่นางชอบกิน มีเพียงหลิงหลงเองที่ราวกับเหม่อลอย วันๆ เอาแต่นั่งเหม่ออยู่กับที่ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่านางแท้จริงคิดอันใดอยู่
ต่อมาไม่รู้ทำไมศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองจึงมาเจอนางเข้า ที่แท้ที่นี่ไม่ใช่มีเพียงพวกเขาสองคน นอกถ้ำยังมีมารปีศาจสามสิบตนรอคำสั่งเขาอยู่ แต่ไรมาเขาไม่ให้ผู้ใดเข้ามา แต่ไรมานางก็ไม่อาจออกไป ดังนั้นจึงถึงกับไม่รู้
หลิงหลงนอนพลิกไปมาอยู่บนเตียง นิ้วมือพลันกำผ้าห่มแน่น น้ำตาไหลรดหมอนเป็นสาย
ยามนี้คนรักเจ้าอยู่ที่ใด วาจาอูถงราวกับตะปูตอกย้ำ ตั้งแต่วันนั้นมาก็เริ่มตอกลงกลางใจนาง จงหมิ่นเหยียนไม่เคยมา นางรอจนสิ้นหวัง จนถูกกระชากจิตญาณออกไป ตอนนี้นางถูกเสวียนจีช่วยกลับมา ถึงกับยังไม่เห็นเขามาเยี่ยมนาง
อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าทุกคนล้วนกำลังหลอกนาง จริงๆ แล้วเขาทิ้งนางไปแล้วกระมัง ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาไม่มาเยี่ยมนาง กักตัวบำเพ็ญตนล้วนเป็นแค่คำอ้าง
หลิงหลงยกผ้าห่มคลุมหน้าตนเองร้องไห้เจ็บปวดออกมา ร้องไห้ได้ครู่หนึ่ง พลันได้ยินประตูเปิดออก มีคนเดินเข้ามาแผ่วเบา นางคิดว่าเป็นเสวียนจีเข้ามาดู รีบหยุดร้องไห้หลับตาลงแกล้งนอนต่อ
รอสักพัก คนผู้นั้นก็ไม่เข้ามาในห้อง อยู่แค่ห้องส่วนนอกไม่รู้ค้นหาอะไร นางแอบเลิกผ้าห่มออกดู เห็นเพียงเสื้อผ้ามุมหนึ่งของคนผู้นั้นในห้องส่วนด้านนอก สวมรองเท้าหุ้มถึงหน้าแข้ง เห็นชัดว่าเป็นชาย
ในใจนางพลันดีใจ คิดว่าจงหมิ่นเหยียนมา รีบเรียกว่า “เจ้าหก! ทำไมเจ้าเพิ่งมาเยี่ยมข้าตอนนี้!”
“หืม?” มกรที่เข้ามาแอบหาของกินถูกเสียงเรียกนางทำสะดุ้งค้างเติ่ง ถลึงตาจ้องมองไป ทั้งสองสบตากัน พากันตกตะลึง