ลู่เช่อตามเหลียงหย่งอวี๋ไปและเห็นว่าเธอทิ้งลูกไว้อีกครั้ง ผ่านไปสามชั่วโมงเธอก็ยังไม่กลับมา เมื่อไม่มีทางเลือก สุดท้ายลู่เช่อจึงต้องอุ้มเด็กกลับมาที่ไฮแอทรีเจนซีตามคำสั่งของถังหนิง
“เราไม่ควรรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ ช่วยฉันหาครอบครัวดีๆ ให้ที แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้นเราต้องรอจนแน่ใจว่าเรื่องที่เหลียงหย่งอวี๋เล่ามาเป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นเราจำเป็นต้องคืนเด็กให้กับพ่อของเขา” ถังหนิงสั่งอย่างรอบคอบ
“รับทราบครับ คุณผู้หญิง”
“แล้วก็อย่าให้เหลียงหย่งอวี๋รู้เรื่องนี้ด้วย”
“แน่นอนครับ”
หากแต่ถังหนิงนึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะทำให้เหลียงหย่งอวี๋มีเรื่องขุ่นเคืองใจกับเธอ
จากมุมมองของถังหนิง เธอช่วยเด็กหญิงตัวน้อยไว้ แต่เหลียงหย่งอวี๋กลับคิดว่าถังหนิงบีบให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากทอดทิ้งลูกสาวของตัวเอง
เหลียงหย่งอวี๋เป็นที่รู้จักในวงการ ทุกคนรู้ว่าเธอแจ้งเกิดมาจากการประกวดนางงาม และมีชื่อเสียงหลังจากงานเต้นรำที่งานเลี้ยงซึ่งเป็นที่ถูกตาต้องใจของคุณชายอาณาจักรเพชรชื่อดัง จากนั้นเขาจึงกลายมาเป็นคนรักของเธอ
เดิมทีชายที่มีความสามารถกับหญิงงามดูเป็นคู่ที่เหมาะสมไร้ที่ติ แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาไม่อาจรอดพ้นจากแรงกดดันจากผู้ลากมากดีเก่าแก่ไปได้
ตระกูลที่มีฐานะย่อมต้องมีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว น่าเสียดายที่สำหรับผู้หญิงนั้น หากเธอต้องการมีจุดยืนที่มั่นคง ลูกชายถือเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด
หลังจากลู่เช่อตามสืบ ก็พบว่าตระกูลนี้เป็นเจ้าของอาณาจักรเพชรที่ชื่นชอบเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิงจริง และก่อนหน้านี้เหลียงหย่งอวี๋ได้ให้กำเนิดลูกสาวมาแล้วคนหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตไปอย่างเป็นปริศนาก่อนที่จะอายุครบหกเดือนด้วยซ้ำ
ดูท่าแล้วเหลียงหย่งอวี๋คงไม่ได้โกหก
คนที่เคยรู้เรื่องราววุ่นวายของตระกูลมั่งคั่งคงเข้าใจว่ามันซับซ้อนเพียงใด
ไม่นานทั้งวันก็ได้ผ่านพ้นไป ทว่าเหลียงหย่งอวี๋ไม่ได้กลับมาในที่ที่เธอทิ้งลูกเอาไว้ เธอคงหมดหวังกับลูกสาวของตัวเองอีกแล้ว หรือบางทีมันอาจจะดีกว่าการปล่อยให้ลูกถูกทำร้ายก็ได้ เธอคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าปล่อยให้ลูกเอาตัวรอดเอง อย่างน้อยหากโชคดีคงมีคนใจดีบางคนมารับเลี้ยง
“ถ้าอย่างนั้นก็ส่งเด็กให้คู่รักที่ต้องการลูก อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
“ผมจะหาคู่รักที่เหมาะสมที่สุดครับ คุณผู้หญิง!”
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ลู่เช่อบอกถังหนิงว่าเขาเจอครอบครัวที่เหมาะสมกับเด็กแล้ว เขาส่งเธอไปให้ครอบครัวปัญญาชนที่ชื่นชอบลูกสาว พวกเขาตกลงรับเลี้ยงเด็กและดูแลเธอเหมือนเป็นลูกของตัวเอง
เหตุการณ์ทั้งหมดดูเหมือนจะจบลง จากนั้นถังหนิงจึงไม่ได้นึกถึงผู้หญิงที่มาขอร้องเธอในคืนหิมะตกในรอบปฐมทัศน์ของมดราชินีอีก เธอจำไม่ได้ว่าเคยปฏิเสธอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
สำหรับถังหนิงแล้วมันเป็นเรื่องที่ลืมได้ง่ายดาย แต่สำหรับเหลียงหย่งอวี๋มันคือความแค้นใจที่เธอจะจำไปตลอดชีวิต
…
ห้าวันต่อมา รายได้ของมดราชินีทะลุเข้าสู่หนึ่งพันสี่ร้อยล้าน ทุบทุกสถิติและได้รับคำวิจารณ์ที่เยี่ยมยอด
ด้วยผลตอบรับที่ดีและคำวิจารณ์เช่นนี้ ไห่รุ่ยตัดสินใจพามดราชินีเข้าสู่ตลาดนานาชาติและปล่อยเข้าฉายในอเมริกาและยุโรป แน่นอนว่าคนที่ช่วยพวกเขาได้ดีที่สุดคือโจนส์
โม่ถิงส่งมดราชินีฉบับสำเนาให้โจนส์ ถึงอย่างไรมันก็เป็นผลงานของลูกศิษย์คนแรกของเขา
เช้าวันถัดมาถังหนิงจึงได้รับสายจากโจนส์
“ฉันได้ดูมดราชินีแล้วนะ ในฐานะลูกศิษย์ของฉัน ฉันให้ผ่าน”
“โจนส์คะ…”
“ฉันคุยเรื่องการดำเนินการด้านลิขสิทธิ์ในการเอามดราชินีออกฉายในอเมริกากับโม่ถิงแล้ว หวังว่าคนรักเรื่องไซไฟจะได้รู้จักคุณมากขึ้นนะ ฉันเองก็อยากให้เขาเห็นผลงานจากการผสมผสานตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกันเหมือนกัน ฉันรอดูผลตอบรับของมดราชินีในตลาดอเมริกาอยู่นะ”
“ขอบคุณนะคะ โจนส์”
“แทนที่จะขอบคุณฉัน คุณควรขอบคุณตัวเองที่ทุ่มเททำงานหนักมากกว่า ฉันรอดูมดราชินีสองอยู่นะ!”
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ!”
อีกฟากของปลายสาย โจนส์อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ด้วยเชื่อว่าการเปลี่ยน มดราชินี ให้กลายเป็นตำนานจะทำให้มันมีความหมายที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ถึงอย่างไรความเห็นของผู้ชมก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ดีที่สุด
[ฉันจะไม่พูดถึงถังหนิงให้มากความหรอกนะ ฉันจะไม่พูดว่าเธอเป็นนางแบบ นักแสดง และผู้จัดการด้วย แต่แค่ความสำเร็จในฐานะผู้สร้างมดราชินีของเธอ ฉันว่ามันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอภูมิใจไปทั้งชีวิตแล้ว]
[นี่เป็นหนังไซไฟที่ดีที่สุดในประเทศ…ไม่สิ จริงๆ แล้วมันเป็นหนังในประเทศที่ดีที่สุดด้วยต่างหาก]
[ก่อนที่ถังหนิงจะสร้างมดราชินี ฉันไม่เคยคิดว่าเราจะมีที่ยืนบนเวทีนานาชาติเลย แต่ตอนนี้ฉันมั่นใจว่าต่อให้มดราชินีทำไม่ได้ แต่ถังหนิงก็คงจะสามารถไปถึงจุดนั้นได้ด้วยผลงานเรื่องอื่น แค่ต้องอาศัยเวลาเท่านั้น]
[ฉันละดีใจจัง ตอนที่ประเทศอื่นบอกว่าบอกว่าตัวเองมีฝีมือทัดเทียมและผลงานระดับนานาชาติ เราเองก็พูดได้อย่างภาคภูมิใจแล้วว่าเรามีถังหนิง]
ไม่นานช่องโทรทัศน์เริ่มถ่ายทอดสดการสัมภาษณ์คนที่ผ่านไปมา
ต่อให้เป็นคนที่ไม่เคยติดตามเหล่าคนดังก็ยังยกนิ้วชื่นชมให้ถังหนิงเมื่อได้ยินชื่อของเธอ
“เธอเป็นผู้สร้างมดราชินีไม่ใช่เหรอ สุดยอดไปเลย!”
“ฉันรู้จักเธออยู่แล้วล่ะ ถังหนิงเป็นไอดอลของฉันเลยนะ!”
“มีใครในปักกิ่งไม่รู้จักเธอบ้างล่ะ ฉันแค่หวังว่ามดราชินีสองจะฉายในเร็วๆ นี้!”
ภาพลักษณ์ของถังหนิงในสายตาของทุกคนจึงไม่ได้เป็นเพียงนางแบบหรือนักแสดง แต่ยังเป็นตัวแทนของทุกสิ่งที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ดีๆ เรื่องหนึ่ง
เมื่อเห็นถังหนิงประสบความสำเร็จขนาดนี้ ลู่เช่อตัดสินใจแสดงความยินดีกับโม่ถิง “ท่านประธานครับ คุณผู้หญิงเป็นผลงานที่งดงามที่สุดของคุณเลยนะครับ”
หลังจากได้ยินดังนั้น เขานึกถึงความลำบากของถังหนิงก่อนหน้านี้และทุกความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญ มีเพียงเขาที่รู้ว่าเธอทุ่มเทเบื้องหลังมากเพียงไหน
“เธอไม่ได้เป็นผลงานของฉัน…เธอเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันต่างหาก”
“ผมผิดไปแล้วครับ” ลู่เช่อหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ท่านประธานครับ ให้ผมส่งของขวัญไปแสดงความยินดีกับคุณผู้หญิงดีไหมครับ”
เมื่อคิดเช่นนั้น โม่ถิงก็นึกได้ว่าเขาไม่ได้ส่งของขวัญไปให้ถังหนิงนานแล้ว แต่เขารู้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนที่วัตถุนิยมนัก
สำหรับคนอย่างโม่ถิงซึ่งสามารถวางแผนทุกอย่างได้ สิ่งที่ยากที่สุดในโลกคือการเลือกของขวัญให้กับถังหนิง
“ถ้าคุณหาโอกาสให้ของขวัญเธอไม่ได้ ก็ถือช่อดอกไม้เป็นคำขอโทษก็ได้ครับ”
โม่ถิงค้อนมองลู่เช่อก่อนอีกฝ่ายจะปิดปากฉับ
“ช่วยส่งฉันเข้าชิงรางวัลเฟยเทียนนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที!”
“หือ” ลู่เช่อไม่เข้าใจว่าโม่ถิงคิดอะไรอยู่
“อะไรกัน คิดว่าฉันไม่เหมาะสมเหรอ”
“ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แค่คุณไม่เคยสนใจอะไรพวกนี้นี่ครับ” ลู่เช่อตอบ
“ฉันไม่ได้สนใจรางวัลอยู่แล้ว แค่สนใจสิ่งที่จะทำได้ในงานอย่างนั้นเท่านั้นแหละ”