“ถูกต้อง แถมวิธีนี้ก็เร็วกว่ามากเมื่อเทียบกับการเสนองานวิจัย ปกติแล้วการทดสอบใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้น” ลาร์ซาพยักหน้า
ไซเมียนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ลาร์ซาพูดเสริม “แต่ว่านะ อีวานส์ เจ้าต้องจำไว้ว่า ถึงแม้ครั้งนี้เจ้าจะเปิดใช้งานเหรียญตราโดยใช้วิธีนี้ ถ้าเจ้าอยากเลื่อนระดับอาร์คานา ทุกๆ ครั้งที่เจ้าจะเลื่อน เจ้าจะต้องมีคะแนนอาร์คานาพื้นฐานหนึ่งคะแนนอย่างที่ลาร์ซาพูดไปเมื่อกี้ เพราะสภาเวทมนตร์ต้องการให้นักเวทและจอมเวททุกคนมีความรู้พื้นฐานแน่น แล้วเจ้าก็จะสามารถเลือกงานวิจัยที่สนใจหลังจากกลายเป็นจอมเวทเต็มตัว
“ข้าจะหาเวลาสอบอาร์คานาที่ ‘ฝ่ายบริหารจัดการนักเวท’ ให้ผ่าน” ลูเซียนตอบอย่างสบายๆ ราวกับพูดถึงสิ่งที่จะกินในมื้อค่ำนี้ ทั้งไซเมียนและลาร์ซาคิดว่าลูเซียนจะสอบหลังจากใช้เวลาศึกษาเวทมนตร์และอาร์คานาก่อนเพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่างความรู้ที่มีอยู่กับสิ่งที่สภาเวทมนตร์เสนอให้
หลังจากลูเซียนกล่าวลาเหล่านักเวทฝึกหัด ลาร์ซาก็พาเขาไปยังโซนที่สี่
“ท่านไซเมียนเพิ่งได้เป็นจอมเวทระดับสอง หวังว่าอีกไม่นานเขาจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” ขณะที่ทั้งคู่เดินอยู่นั้น ลาร์ซาก็พูดกับลูเซียน “ข้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้คะแนนอาร์คานาสามสิบคะแนนสักที”
“ในการเลื่อนระดับแต่ละครั้ง เจ้าต้องใช้คะแนนอาร์คานาเท่าไรน่ะ?” ลูเซียนสงสัย “สามสิบคะแนนเหรือ?”
“ตอนแรกเลยนะ การเลื่อนระดับต้องใช้คะแนนสิบเท่าของคะแนนอาร์คานาที่มีอยู่ล่าสุด แต่กลับกลายเป็นว่าทำไม่ได้ เพราะในโลกมีจอมเวทเพียงหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นคนเท่านั้น ต่อมา ผู้วิเศษชั้นตำนานคนหนึ่งได้เปลี่ยนกฎนั้น ปัจจุบัน การได้เป็นจอมเวทระดับหนึ่งต้องใช้คะแนนอาร์คานาสิบคะแนน ระดับสองใช้สามสิบคะแนน ระดับสามใช้หนึ่งร้อยคะแนน ระดับสี่ ใช้สามร้อยคะแนน ระดับห้าใช้หนึ่งพันคะแนน ระดับหกใช้สามพันคะแนน ระดับเจ็ดใช้หมื่นคะแนน ระดับแปดใช้สามหมื่นคะแนน ระดับเก้าใช้หนึ่งแสนคะแนน” ลาร์ซาแจกแจงรายละเอียด เขาชอบตอบคำถาม
ขณะเดินอยู่ในห้องโถง มีแสงมากมายที่พยายามเข้าใกล้พวกเขา เหรียญตราสองเหรียญที่ติดอยู่บนเสื้อของลาร์ซาเปล่งแสง ป้องกันไม่ให้แสงเหล่านั้นเข้าใกล้ทั้งสอง
…..
มีห้องโถงเปิดโล่งที่ฝ่ายบริหารจัดการนักเวท มีเก้าอี้ยาวสีเหลืองอ่อน โต๊ะกาแฟ ตู้แช่ไวน์ และสิ่งอำนวยความสะดวกสารพัดสำหรับการผ่อนคลาย ที่นี่จึงดูเหมือนห้องรับแขกหรือสโมสรมากกว่าสำนักงาน
มีเคาน์เตอร์ต้อนรับทำจากโลหะสีเงินและเทาอยู่ข้างๆ ช่องทางเดินหลัก ด้านหลังมีหญิงสาวน่ารักสองคนยืนอยู่ นักเวทหลายคนที่ไม่ดูมืดมัวเหมือนพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดส่วนใหญ่ ชอบมาหยอกเย้าสองสาวนิดๆ หน่อยๆ และในบรรดาคนพวกนี้ก็มีหนุ่มๆ บางคนที่ตามตื๊อพวกนางอย่างจริงจัง
“ยินดีต้อนรับกลับมาเจ้าค่ะ ลาร์ซา” หญิงสาวผมสีเหลืองอ่อนที่ตัวสูงกว่าทักทายพร้อมรอยยิ้ม นางสวมชุดยาวสีเหลือง ดูสวยทีเดียว
“ขอบใจจ้ะ ที่รัก” ลาร์ซายิ้มกว้าง แล้วเขาก็แนะนำ “ซินดี้ นี่ อีวานส์ นักเวทวัยยี่สิบปี อีวานส์ นี่ซินดี้กับโดนา สองสาวผู้น่ารักประจำฝ่าย พวกนางกำลังฝึกฝนเพื่อให้ได้เป็นนักเวทเต็มตัวและทำงานที่นี่ไปด้วย”
ซินดี้รู้ว่าลาร์ซาเป็นแบบนี้เสมอจึงไม่ถือสาอะไร นางหันไปหาลูเซียน “ยินดีต้อนรับนะเจ้าคะ ท่านอีวานส์ นักเวทอายุยี่สิบปี ผู้เดินตามระบบเวทมนตร์โบราณ… ว้าว… ข้าคงต้องบอกว่าท่านเป็นอัจฉริยะจริงๆ ถ้าเมื่อท่านได้เป็นนักเวทระดับกลาง ข้าคงยังไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาเลย ให้ข้าเป็นผู้ฝึกหัดของท่านได้ไหม? นักเวทฝึกหัดจริงๆ น่ะ?”
“ท่านอีวานส์ ข้าด้วยได้ไหมเจ้าคะ?” โดนา สาวร่างท้วมถามพลางเล่นผมสีน้ำตาลแดงของตน
สองสาวกระตือรือร้นเกินกว่าที่ลูเซียนคิด เขาเขินจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“ฮ่าๆ… อีวานส์… เจ้านี่อ่อนหัดเรื่องคุยกับผู้หญิงจริงๆ” ลาร์ซาหัวเราะ “ไม่มีอะไรหรอก นี่เป็นวิธีต้อนรับคนมาใหม่ของพวกนางน่ะ ซินดี้กับโดนามีพรสวรรค์ด้วย พวกนางเป็นนักเวทฝึกหัดขั้นสูงตั้งแต่อายุแค่สิบเจ็ดปี นักเวทหลายคนก็เลยอยากได้พวกนางมาเป็นลูกศิษย์ อีกอย่าง สิ่งที่พวกนางอยากเชี่ยวชาญไม่ใช่สิ่งที่เจ้าถนัดเสียด้วยสิ อีวานส์”
“ฮ่า ข้าคิดว่าจู่ๆ ข้าก็เนื้อหอมขึ้นมาน่ะ” ลูเซียนพูดตลก
“ท่านเนื้อหอมอยู่แล้ว อีวานส์ ท่านหล่อเหลาแถมดูน่าเชื่อถือ ดีกว่าท่านลาร์ซาอีกแน่ะ” ซินดี้มองลูเซียนด้วยดวงตาคู่งาม
“โอ๊ย… เจ็บจัง” ลาร์ซาทำหน้าเศร้า จากนั้นเขาพยายามพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้มีใครอยู่บ้าง?”
“มีแต่ท่านอีริคเจ้าค่ะ” โดนายิ้มแล้วชี้ไปที่โถงทางเดินยาวด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับ “เขารอท่านสองคนอยู่เจ้าค่ะ”
หลังจากบ่นเรื่องที่ว่าเขาน่าสนใจน้อยกว่า ลาร์ซาก็พาลูเซียนไปยังห้องทำงานห้องที่สามโดยมีสองสาวมองอยู่ มีป้ายแขวนบนประตูระบุว่า ‘อีริค ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการนักเวท’
ลาร์ซาเคาะประตูเบาๆ มีเสียงเข้มดังมาจากในห้อง “เข้ามาเลย ประตูไม่ได้ล็อค”
เมื่อลาร์ซาเปิดประตู ลูเซียนก็เห็นชั้นวางเรียงแถวอยู่ในห้องนั้น บนชั้นไม่มีหนังสือ แต่มีกระดาษสีเงินเหมือนแผ่นโลหะเปล่งแสงอย่างลึกลับ มีเส้นสีเงินหลายเส้นยืดออกมาจากกระดาษเหล่านั้นไปบรรจบผนังสีฟ้าที่ส่องแสงรอบๆ พวกเขา
นอกจากชั้น มีตู้สีดำใบหนึ่ง มีกรงสีดำพร้อมระฆังและโล่โลหะ
ด้านหน้าชั้นมีโต๊ะตัวหนึ่ง ด้านหลังโต๊ะนั้นมีชายหัวล้านนั่งอยู่ เขาสวมสูทสีดำ มีหมวกทรงสูงวางอยู่ข้างมือขวา
ชายหน้าตาธรรมดาอายุประมาณสี่สิบกว่าเงยหน้าขึ้น เขามีดวงตาสีเทาอ่อนราวหินคริสตัลที่สามารถมองทะลุไปถึงจิตใจคน เขามองลูเซียนปราดเดียวแล้วเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง
“ท่านอีริคขอรับ นี่คืออีวานส์” ลาร์ซาโค้งคำนับชายคนนั้น
“ยินดีต้อนรับ สหายคนใหม่ของเรา มาลงทะเบียนให้เรียบร้อยแล้วรับเหรียญตราของเจ้าไป” อีริคพยักหน้าแล้วมองลาร์ซา “เจ้าทำงานเสร็จแล้ว ลาร์ซา เอากระดาษโน้ตนี่ไปรับรางวัลที่ ‘โซนภารกิจ’ นะ”
ขณะที่พูด กระดาษชิ้นเล็กๆ ที่มีข้อความของอีริคก็ลอยไปหาลาร์ซา
เมื่อรับกระดาษโน้ตแล้ว ลาร์ซาก็พูดกับลูเซียนอย่างเบิกบานใจ “ข้าชอบเจ้านะ อีวานส์ ข้าไม่แน่ใจว่าเราจะกินมื้อค่ำด้วยกันได้ไหม ข้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันได้”
มีพรสวรรค์ เชื่อใจได้ และเป็นคนสบายๆ คือสิ่งที่ลาร์ซาประทับใจลูเซียน เขารู้สึกว่าลูเซียนน่าจะเข้ากับเขาได้ง่าย
“ได้สิ” ลูเซียนยิ้ม “ข้ายังไม่รู้เลยว่าค่ำนี้จะไปกินที่ไหน”
“เยี่ยม” ลาร์ซาโบกกระดาษในมือเบาๆ “เดี๋ยวค่อยเจอกัน โชคดีกับเหรียญตราของเจ้านะ”
‘จอมเวทระดับสาม นักเวทระดับสี่…’ ลูเซียนคิด
ในขณะนั้นเอง อีริคก็หยิบกระดาษสีเงินออกมาแผ่นหนึ่งแล้วยื่นให้ลูเซียน “กรอกแบบฟอร์มนี่ แล้วข้าจะได้เปิดใช้งานเหรียญตราเวทมนตร์ให้เจ้า”
ลูเซียนอ่านแบบฟอร์มอย่างรวดเร็ว มีเพียงชื่อ อายุ ระดับ และสำนักเวทมนตร์ที่ตัวเองถนัดเท่านั้นที่ต้องกรอก ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับภูมิหลังส่วนตัวเลย
เมื่อเห็นว่าลูเซียนไม่กรอกสักที อีริคก็บอกเขาด้วยเสียงเรียบ “ถ้าเจ้าอยากใส่ข้อมูลมากกว่านี้ ก็ขอกระดาษเพิ่มได้ ยิ่งเจ้าให้ข้อมูลมากเท่าไร ทางสภาก็จะยิ่งให้เลขระบุตัวตนแก่เจ้าในโฮล์มหรือประเทศอื่นๆ ง่ายขึ้น อีกอย่างนะ ถ้าวันข้างหน้าเจ้าอยากแต่งงาน ขอให้จดทะเบียนที่ฝ่ายบริหารจัดการนักเวทด้วย”
ลูเซียนพยักหน้าแล้วลงมือกรอกแบบฟอร์ม
“ลูเซียน อีวานส์, ยี่สิบปี, สนใจสำนักโหราศาสตร์และเวทธาตุ นักเวทระดับหนึ่ง”
จากนั้นเขาก็กรอกข้อมูลส่วนตัวปลอมๆ ไป
อีริคหยิบกระดาษสีเงินแผ่นนั้นมาอ่านอย่างละเอียด แล้วเขาก็ยิ้มน้อยๆ
“ลูเซียน อีวานส์… ชื่อโหลจริงๆ… ที่เมืองอัลโต้มีนักดนตรีชื่อดังคนหนึ่งชื่อลูเซียน อีวานส์ และเมื่อหลายวันก่อน นักเวทชั้นต้นสายธาตุคนหนึ่งที่เพิ่งค้นพบสิ่งใหม่ก็ชื่อลูเซียน อีวานส์ เหมือนกัน ทำไมคนชอบใช้ชื่อนี้กันจังนะ?”
“บอกตรงๆ ข้าแทบไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยขอรับ…” ลูเซียนตอบด้วยความแปลกใจ ทั้งๆ นาตาซาบอกเขาหลายครั้งว่าชื่อเขาโหลแค่ไหน
อีริคเปลี่ยนเรื่องพูด เขาชี้โล่โลหะที่อยู่อีกฟากของห้องทำงาน
“ร่ายเวทระดับที่หนึ่งซิ ข้าต้องตรวจสอบระดับของเจ้า”
ลูเซียนพยักหน้าแล้วยิงกระสุนระเบิดเวทสีดำสองลูกใส่โล่นั้น เมื่อเวทมนตร์ที่อาบอยู่บนโล่ดูดซึมพลังเข้าไป ก็เกิดระลอกแสงแผ่ออกมา
อีริคพยักหน้า “พลังไม่ได้มาจากวัตถุเวทมนตร์ แต่มาจากดวงจิตของเจ้า เจ้าคือนักเวทระดับหนึ่งจริงๆ”
ระหว่างที่พูดนั้น อีริคก็หันหลังไปหยิบเหรียญตราสองเหรียญจากตู้สีดำ เขาวางเหรียญเหรียญหนึ่งกับกระดาษสีเงินไว้ในกรงแล้วดึงสายระฆัง
ระฆังส่งเสียง จากนั้นกรงก็เปล่งแสง หนึ่งนาทีต่อมาแสงนั้นก็หายไป
อีริคหยิบเหรียญตราและกระดาษออกมา บนเหรียญตรามีวงกลมสีดำวงหนึ่ง และมีเส้นสีเงินวาวที่เชื่อมต่อกระดาษสีเงินกับผนังสีฟ้า
“เหรียญตราเวทมนตร์นี้บันทึกชื่อของเจ้า อายุ ระดับ สัญลักษณ์พลังวิญญาณ และคะแนนอาร์คานา เจ้าต้องใช้เหรียญตรานี้ทั้งตอนที่ได้รับหรือใช้คะแนน นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นไม่สามารถใช้ได้” อีริคยื่นเหรียญตราทั้งสองเหรียญให้ลูเซียนพลางถามว่าเขาจะบันทึกสัญลักษณ์พลังวิญญาณไว้ในเหรียญตราหรือไม่ “ข้อมูลทั้งหมด” อีริคเอ่ย “จะเก็บไว้ที่ข้าและห้องเอกสารของสภาสูงสุด อย่าพยายามเปลี่ยนระดับและคะแนนเอง ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดๆ เจ้าสามารถรับภารกิจที่โซนภารกิจและรับหนังสือเกี่ยวกับอาร์คานาและเวทมนตร์พื้นฐาน รวมทั้งวิธีการเข้าฌาน โดยใช้เหรียญตรานี้ นอกจากนี้ ในฐานะนักเวทระดับหนึ่ง เจ้าสามารถขอวัตถุหรือน้ำยาเวทมนตร์ที่มีมูลค่าหนึ่งธาเลจากสภาเวทมนตร์ได้ทุกเดือน หรือใช้ยืมหนังสือก็ได้”
ลูเซียนติดเหรียญตราเวทมนตร์ที่เปิดใช้งานแล้วไว้ตรงอกด้านซ้าย แล้วมองเหรียญตราอาร์คานาที่ไม่เปล่งแสง “อีริค แล้วอันนี้ล่ะขอรับ? เหรียญตราอาร์คานาของข้า?”
“เจ้าเขียนเวทมนตร์พิเศษลงไปแล้วเอามาให้ข้า ถ้าเจ้ามีนะ” อีริคตอบ “ข้าจะได้ส่งให้ ‘คณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา’ ประมาณครึ่งชั่วโมงก็รู้ผล อย่าห่วงเลย ข้าไม่อ่านหรอก”
ลูเซียนยิ้ม “อ้อ ขอบคุณขอรับ ท่านอีริค แล้วเรื่องงานวิจัยล่ะขอรับ? นอกจากส่งให้คณะกรรมการแล้ว ข้าต้องส่งให้วารสารเองด้วยไหม?”
“งานวิจัยของเจ้าหรือ?” อีริคเงยหน้ามองลูเซียนอย่างแปลกใจด้วยดวงตาสีเทาคู่นั้น
………………………………………………….