ตอนที่ 193.3 ผู้สำรวจราชการแทนพระองค์ (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อว๋านหว่านชิ่นสังเกตนาง นัยน์ตาเปล่งประกายพลางยิ้ม “ข้ากับเหลียงตี้ไม่สนิทกันมากนัก ความสัมพันธ์เราสองก็ไม่ถึงกับดี บัดนี้เหลียงตี้ให้ข้าพูดข้าก็ต้องพูด ทำเหมือนกับว่าข้าเป็นคนไร้หลักการมากเกินไปหรือเปล่า”

ช่างเป็นคนไม่ยอมเสียเปรียบเอาเสียจริง เจี่ยงอวี๋กัดฟันเอ่ย “พระชายาฉินมีเงื่อนไขอันใดก็พูดเถิด”

อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บรอยยิ้มนั่น “ข้าขอเพียงเหลียงตี้พูดความจริงกับข้า หลังจากฮองเฮาเข้าอาศัยตำหนักซือฝา มีอยู่วันหนึ่งสำนักพระราชวังนำกลับไปยังตำหนักซือฝาเพื่อชี้ข้อบกพร่อง วันนั้นเหลียงตี้ไปตำหนักซือฝาหรือไม่ แล้วได้พบพระพักตร์ฮองเฮาหรือไม่”

เจี่ยงอวี๋อึ้งพลันตระหนกตกใจบ้าง

อวิ๋นหว่านชิ่นเฝ้ามองสีหน้าของนาง เพราะสีหน้าโกหกคนไม่ได้ หากนางเป็นคนยื่นมีดให้กับฮองเฮา เวลาพูดสิ่งใดออกมาต้องมีหลุดบ้าง เพียงแต่ใบหน้าของนางกลับมีเพียงความตะลึงตกใจที่สุดเท่านั้น แล้วนางก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะไปพบทำไมกัน ข้าแทบอยากจะให้นางไปเกิดโดยเร็ว” จนถึงบัดนี้อารมณ์ของเจี่ยงวี๋ยังคงโกรธเกรี้ยวมิหาย

“คนที่เจ้าเกลียดได้ไปเกิดแล้ว เพียงแต่เวลานี้เรื่องนี้ยังปิดไว้ บางทีอาจถูกประกาศคืนนี้หรือเช้าพรุ่งนี้” อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางทีหนึ่ง อย่างน้อยยืนยันได้ว่าเจี่ยงอวี๋ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องมีดแต่อย่างใด

หากมิใช่เพราะไท่จื่อและไม่ใช่เจี่ยงอวี๋ ถ้าเช่นนั้นบางทีเรื่องนี้อาจซับซ้อนยิ่งกว่า

ความคิดประหลาดพลันเล่นขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีใจอยู่นานกว่านี้จึงหันหลังเดินจากไป

“นี่ๆๆๆ พระชายาฉินจะไปเช่นนี้เลยรึ เจ้ายังไม่บอกวิธีบำรุงร่างกายให้ข้าเลย…” เจี่ยงอวี๋ร้อนรน เดินอ้อมมาอยู่ด้านหน้า

อวิ๋นหว่านชิ่นถามกลับ “หมอหลวงตงกงว่าอย่างไรบ้าง”

เจี่ยงอวี๋ขมวดคิ้ว “จ่ายน้ำแกงเชียนจินนารีที่มีอยู่ทั่วตลาด แล้วยังบอกให้หยุดกินอาหารที่ไม่ควรกินด้วยกัน จากนั้นใช้น้ำแกงเหล่านี้บำรุงฟื้นฟูพักหนึ่งก็อาจดีขึ้น…นี่ต้องรอนานเท่าใดกัน ขอไปทีกับข้าหรือเปล่า เจ้าช่วยดูทีข้าต้องทานอาหารบำรุงสิ่งใดอีก หรือฝังเข็มดีกว่ากัน…”

ดูเหมือนเป็นไข้ใจหนักกว่าไข้กายอีก หมอหลวงพูดขนาดนี้แล้วยังระแวงแคลงใจ ถึงกระนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นว่านางมองเรื่องมีบุตรเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าฟ้าสวรรค์

อวิ๋นหว่านชิ่นสบตา “สิบตัวอักษร”

“หืม” เจี่ยงอวี๋ขยับเข้าใกล้

“หยุดชิงรักหึงหวง บ่มเพาะกายให้มาก” อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว

เจี่ยงอวี๋โมโหแทบลุกเป็นไฟ “เจ้าหมายความว่าเช่นไร ไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่”

อวิ๋นหว่านชิ่นขยายความเป็นข้อๆ “เมื่อกดดันมาก แม้ร่างกายไร้เจ็บป่วยก็ยากที่จะตั้งครรภ์ หญิงชาวบ้านที่ออกเรือนแต่ไร้บุตรมีจำนวนไม่น้อย ร่างกายหามีปัญหาใด รอจนหมดความหวังจึงรับบุตรผู้อื่นมาเลี้ยงดู แต่แล้วกลับตั้งครรภ์เสียเอง ล้วนพูดกันว่าบุตรบุญธรรมนำพาเด็ก นำพาน้อง แท้จริงแล้วเพียงเพราะสตรีไร้ความกดดัน จึงทำให้ตั้งครรภ์ง่าย กับเหลียงตี้ที่ชิงรักหึงหวงกับหญิงอื่นตลอดเวลา แล้วมองบุตรผู้อื่นเสมือนต้นหญ้า คิดแต่หาวิธีต่างๆ นานา ปราณขุ่นในร่างกายก็จะมิได้ระบายออก เรือนร่างของหญิงสาวนั้นมีมูลค่าพึงให้ความสำคัญกับการไหลเวียนของเลือด พลกำลังเต็มเปี่ยม ถึงสามารถทำให้เลือดไหลเวียนดี แล้วก็ง่ายจะต่อการตั้งครรภ์และคลอดบุตรเอง ในช่วงมีระดูเหลียงตี้รู้สึกเบื่อหน่ายโมโห แม้แต่ความเจ็บปวดก็มีมากกว่าปกติใช่หรือไม่ อารมณ์กับนรีเวชมีความสัมพันธ์เหนียวแน่น แล้วนรีเวชก็มีผลกระทบกับการมีบุตร แล้วจะหาว่าข้าล้อเล่นได้อย่างไร หากวันปกติไม่มีกิจอันใด ลองคัดคัมภีร์ธรรม อ่านพระไตรปิฎกบ้างเถิด หนังสือช่วยขัดเกลาอารมณ์จิตใจ ข้าพูดความจริงนะ”

ก็ช่างเถิด ถือโอกาสดัดนิสัยเจี่ยงอวี๋ เรื่องอื่นอวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากยุ่ง อย่างน้อยก็อย่าคิดรังแกลูกบุญธรรมของตนอีก

เจี่ยงอวี๋รับฟังอารมณ์โมโหก็คลายลงช้าๆ รู้ทั้งรู้ว่านางตั้งใจประชดประชันตน แต่ในคำพูดเหล่านั้นก็ดูเหมือนมีเหตุผลอยู่บ้าง แม้นางเดินจากไปแล้วแต่นางยังยืนอยู่กลับที่อย่างไม่รู้ตัว จนบ่าวรับใช้ชะเง้อขึ้นมองทางเดินระเบียงครึ่งค่อนวันก็เดินมาหาอย่างรีบร้อน “ทูนหัวของบ่าว เป็นอย่างไร ได้สิ่งใดมาบ้างหรือไม่”

“ไป ไปย้ายพุทธคัมภีร์เข้ามาห้องข้า” เจี่ยงอวี๋เอ่ยในลำคอ

วันถัดมา ฟ้าตะวันยังมิส่องแสง ไก่แจ้ยังมิขันร้อง คนจากตำหนักซือฟาเร่งฝีเท้ากึกกักเดินลัดเลาะตามกำแพงพระราชวังไปรายงานยังพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน

เจี่ยงซื่อประทับตำหนักซือฝา เกิดประชวรโรคลมเย็นอันเนื่องจากลมหนาว ผนวกกับความผิดที่ได้ก่อขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ สภาพจิตใจไม่สู้ดี อาการทั้งภายนอกและภายในสั่งสมเข้าด้วยกัน ทำให้พระองค์สวรรคตกะทันหันเมื่อคืน

ข่าวนี้แพร่กระจายทั่วสำนักพระราชวังภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

นางกำนัลได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงเสียพระทัยมาก พลนามัยเพิ่งดีขึ้นเล็กน้อย ได้เข้าประชุมราชกิจหลายวัน แต่แล้วเรื่องนี้ก็ทำให้พระองค์แย่ลง การประชุมราชกิจของวันนั้นก็ถูกยกเลิกอีกครา

เหล่าขุนนางยืนอยู่ในตำหนักกระดิ่งทอง มิเห็นฝ่าบาทเข้าร่วมการประชุม กลับได้ยินเพียงเหยาฝูโซ่วเดินเข้ามาแจ้งให้ทราบถึงเรื่องฮองเฮาสวรรคตกะทันหัน ภายใต้ความตระหนกตกใจนี้ก็หลีกเลี่ยงคำซุบซิบนินทาต่างๆ นานามิได้เช่นกัน

ค่ำคืนแห่งวันฉลองส่วนพระองค์ เจี่ยงฮองเฮาถูกหลานสาวแท้ๆ เป็นผู้นำเปิดโปงการทำร้ายไท่จื่อ บรรดาขุนนางได้ยินผ่านหูมาบ้าง ได้ยินเพียงตอนนั้นฮองเฮาถูกกักขังในตำหนักเท่านั้น ยังมิได้ส่งตัวไปรับโทษอย่างเป็นทางการยังสำนักพระราชวัง

ในเวลาเพียงไม่ถึงสิบกว่าวัน เจี่ยงฮองเฮาพระชันษาเจริญงอกงาม พลนามัยแข็งแรง แม้ว่าประชวรด้วยลมหนาว ก็มิถึงขั้นด่วนจากภายในคืนนั้นหรอกกระมัง

แล้วเหตุใดถึงสวรรคตกะทันหันเช่นนี้กัน

หลายปีมานี้ตระกูลฝั่งมารดาของเจี่ยงฮองเฮา เนื่องจากไม่มีเจี่ยงยิ่นแล้ว ทำให้เริ่มเสื่อมโทรม แต่ในราชกิจที่ยังมีน้องชายอีกสองคน เมื่อได้ยินรายงานจากเหยาฝูโซ่งก็เอ่ยเสียงโหยไห้สองคำจริงปลอมมิอาจรู้ “ฮองเฮาสาวเพียงนั้น เหตุใดถึงด่วนจากเช่นนี้ เพียงแค่ประชวรเพราะลมหนาว เหตุใดถึงนำชีวิตไปด้วย——เหนียงเหนียง แล้วพวกเราจะใช้ชีวิตต่ออย่างไรอา——” พูดไปพลางคุกเข่าลงพื้นร้องไห้อย่างเจ็บปวด

ภายในใจสองคนแฝงด้วยความสงสัยมิกล้าถามต่อหน้า ทำได้เพียงโห่ร้องกับโวยวาย จุดประเด็นขึ้นสู่การวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการเพิ่มแรงกดดันเข้าไป

ขุนนางสองท่านในตระกูลเจี่ยงร้องไห้ฟูมฟาย แน่นอนว่าบรรดาขุนนางเริ่มเคลื่อนไหวราวกับน้ำต้มเดือน มีญาติในราชวงศ์ท่านนึงเอ่ยถามอย่างกล้าหาญ “เหยากงกง ในคืนวันฉลองส่วนพระองค์ เหนียงเหนียงยังสบายดีมาก”

เหยาฝูโซ่วหว่างคิ้วชนแน่น ฝ่ามือเปียกไปด้วยเม็ดเหงื่อ กำลังจะตอบคำถามแต่แล้วได้ยินเพียงเสียงตำหนิดังขึ้นจากกลุ่มหนึ่งอันเป็นราชวงศ์ “ใต้เท้าเจี่ยงทั้งสองร้องไห้ถึงเพียงนี้ เจ้าพวกทาสยังนิ่งอยู่ไย ยังไม่รีบเข้าไปพยุงกลับไปพักอีก”

ทหารแห่งประตูเหลืองรับทราบทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ จึงเข้าไปพยุงสองพี่น้องตระกูลเจี่ยงและพาออกจากพระที่นั่งอย่างรีบร้อน

ทั้งสองคนขโมยไก่ไม่ได้เสียข้าวสารอีกกำมือ แม้รู้สึกเสียใจมากแต่ก็พูดออกมามิได้ ขุนนางพวกนี้ลื่นเหมือนปลาไหล เกรงว่าหากพูดสิ่งใดออกไป อาจพลิกกลับเป็นยิ่งถามยิ่งมากและคาดเดาเค้าเงื่อนได้

ซย่าโหวซื่อถิงมองดูเงียบๆ เดินออกจากแถว สะบัดชายกระโปรงคุกเข่า “ฮองเฮาพาหนะเทพกระเรียนสู่สวรรค์ ขอแสดงความเสียใจพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

การแทรกเข้ามาเช่นนี้ของฉินอ๋องทำให้บรรดาขุนนางหยุดการวิพากษ์วิจารณ์และสติกลับคืน พวกเขาจะตะลึงอยู่ไยอีก มิอาจสนใจสิ่งอื่นใดได้อีก ขุนนางในท้องพระโรงจึงคุกเข่าลงตามกันเป็นแถว “ขอแสดงความเสียใจพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

ดวงใจแก่ๆ ของเหยาฝูโซ่วค่อยสบายใจขึ้น จึงกระแฮ่มให้ลำคอโล่งพลางเอ่ย “อาการประชวรของฝ่าบาทเพิ่งหายดี เรื่องนี้พระองค์ทรงสลดพระทัยเป็นอย่างมาก ไทเฮาทรงกังวลพระพลนามัยของฝ่าบาท จึงเกลี้ยกล่อมให้พัก เดิมทีควรเป็นไท่จื่อรับหน้าที่สำรวจราชการแทนพระองค์ แต่ฟ้าสวรรค์มิทรงคุ้มครองต้าเซวียนของข้า หามีสิ่งใดราบรื่น ในวันเดียวกัน ไท่จื่อทรงฝึกขี่ม้าแล้วพลัดตกไม่ทันระวังจนได้รับบาดแผลเล็กน้อย เกรงว่าต้องพักฟื้นหลายวันเช่นกัน” พูดไปพลางหันหน้าไปทางอวี้เหวินผิง “ด้วยประการเช่นนี้ ช่วงเวลาอันใกล้ต่อไปนี้ หากมีราชกิจใด ก็คงต้องพึ่งสมุหนายกอวี้และจิ่งหยางอ๋องดูแลแทนก่อน”