อวี้เหวินผิงกับจิ่งหยางอ๋องสองมือประสาน “ข้าจะปฏิบัติสุดความสามารถ ก่อนร่างกายไท่จื่อกลับมาแข็งแรง ข้าจะบริหารราชการให้ดี หากมีกิจอันใด จะรายงานต่อตงกงทันที”
เหยาฝูโซ่วตอบอืม “ฝากท่านด้วย”
เมื่อส่งสาส์นเสร็จ เหยาฝูโซ่วจึงกลับพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน
ก้าวเท้ากว้างเข้าภายในพระที่นั่ง เห็นชายหนุ่มวัยกลางคนนอนบนพระแท่นบรรทม เพิ่งรับประทานพระโอสถที่ป้อนโดยสนมม่อ สีพระพักตร์แย่กว่าเมื่อวาน กะลังมังสีทองข้างแท่นบรรทมมีเลือดเป็นเส้นจางๆ ปนอยู่ในของเหลว เหยาฝูโซ่วอดไม่ได้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
หนิงซีฮ่องเต้เห็นเหยาฝูโซ่วกลับมาจึงเรียกเมี่ยวเอ๋อร์ออกไปแล้วตรัสด้วยเสียงอ่อนแรง “เป็นอย่างไร ไม่มีใครว่าอะไรใช่หรือไม่”
เหยาฝูโซ่วรายงานตามตรง “เหล่าขุนนางทราบข่าวฮองเฮาสวรรคตกะทันหันต่างตกใจกันใหญ่ หลายคนยิ่งนึกสงสัยคิดกันไปต่างๆ นานา โชคดีที่ฉินอ๋องมาช่วยกู้สถานการณ์ได้ทัน จึงเลี่ยงคลื่นลมนี้ไปได้พ่ะย่ะค่ะ” แล้วก็เล่าเรื่องตำหนักกระดิ่งทองหนึ่งรอบ เล่าจบพลางเอ่ยเสียงเบา “เร็วๆ นี้การประชุมขาดผู้นำ แม้แต่ไท่จื่อก็ไม่สามารถสำเร็จราชการแทน ล้วนแต่พึ่งพาสมุหนายกอวี้กับจิ่งหยางอ๋องทั้งหมดเกรงว่ามิได้ เมื่อวานฝ่าบาทก็ทรงตรัสมิใช่หรือ อยากให้องค์ชายอีกหนึ่งคนมาช่วยดูแล ฉินอ๋องก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวคนหนึ่งนะพ่ะย่ะค่ะ
หนิงซีฮ่องเต้ถอนหายใจ “เจ้าสามเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เลวจริง”
เหยาฝูโซ่วเข้าใจความหมายของการถอนหายใจของฮ่องเต้ แม้เป็นเมล็ดพันธุ์ดี กลับมีความเกี่ยวข้องในเรื่องสถานะ ให้ตำแหน่งสูงเกินไปใช่ว่าดี ได้เข้าร่วมการประชุมเพราะเรื่องในฉังชวนถือว่าถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ให้รับผิดชอบสำเร็จราชการแทนพระองค์อีกเกรงว่าคงไม่เหมาะเท่าที่ควร ครุ่นคิดไปมาจึงเอ่ยยั้งอย่างอดไม่ได้ “ฝ่าบาทอย่าถือโทษหากกระหม่อมพูดสิ่งใดเกินกฎ เพลานี้การประชุมว่างเปล่าเป็นช่วงเวลาเฉพาะ ให้ฉินอ๋องช่วยงานหามีสิ่งใดไม่ ฝ่าบาทกั้นฉินอ๋องไว้ตลอดมา ก็เพราะองค์ชายมีสายเลือดผสมของทางเหนือครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับองค์ชายอื่นแล้วห่างจากฝ่าบาทบ้าง แต่ห่างอย่างไรก็ยังเป็นลูกชายของฝ่าบาท อย่างน้อยก็สนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าอวี้เหวินผิงคนนอกกับจิ่งหยางอ๋องหลานชายกระมัง บัดนี้ในการประชุมมีสองท่านนี้ดูแลเท่านั้น อย่างไรเสียก็วางใจมิได้ นานวันเข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ทั้งสองคนนี้หาใช่สายเลือดของฝ่าบาทอยู่ดีความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยมถึงจะมั่นคงที่สุด เพิ่มฉินอ๋องเข้าไปสามารถถ่วงดุลอำนาจได้ รอผ่านช่วงนี้ไป ไท่จื่อสุขภาพกลับมาแข็งแรง ฝ่าบาททรงเข้าประชุมราชกิจ แล้วให้ฉินอ๋องออกจากหน้าที่ เท่านี้ก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ความเงียบสงัดเข้าคลุมครู่หนึ่งแล้วผ่านไป หนิงซีฮ่องเต้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน เดี๋ยวเจ้าช่วยร่างพระราชโองการ ให้เจ้าสามสำเร็จราชการแทน ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ”
เหยาฝูโซ่วน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เมื่องานราชกิจเสร็จลุล่วง หนิงซีฮ่องเต้นึกขึ้นได้อีกหนึ่งเรื่อง ดวงเนตรหม่นหมองราวกับพลกำลังถูกดูดออกหมด “…นางเป็นอย่างไรบ้าง”
เหยาฝูโซ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทวางใจเถิด กระหม่อมสั่งคนในเหตุการณ์เมื่อวานปิดปากให้เงียบ ไม่มีวันปริปากเป็นแน่ พระศพของฮองเฮาหลังจากถูกส่งกลับยังห้องกักขัง กระหม่อมให้คนชำระล้างฮองเฮา แผลที่พระทรวงก็ปิดเรียบร้อย เปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ทั้งชุด เช้านี้พระศพถูกบรรจุเข้าโลงแล้ว เพลานี้ถูกตั้งไว้กลางตำหนักเฟิงจ๋า รอวันออกจากพระราชวังนำไปฝังพ่ะย่ะค่ะ”
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ หนิงซีฮ่องเต้ทุกครั้งที่นึกถึงนางสิ้นชีพต่อหน้า แล้วพระองค์ทรงเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง ภายในใจนั้นสะเทือนใจราวกับมีหนามทิ่มแทงเข้าเนื้อ วันนี้ได้ยินรู้สึกเพียงตึงแน่น ก้มศีรษะลงสองฝ่ามือรีบรับไว้ พอเงยศีรษะขึ้นคราบเลือดสีแดงเลอะเต็มมืออีกครา
สองวันผ่านไป พระราชโองการการสิ้นพระชนม์ของเจี่ยงซื่อก็ประกาศอย่างเป็นทางการ
เมี่ยวเอ๋อร์ตั้งใจให้เจิ้งหวาชิวไปอารามฉางชิงเพื่อบอกข่าวแก่อวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินพระราชโองการฉบับนี้พลันคิดไปต่างๆ นานา ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่
เจี่ยงฮองเฮามีชะตาเฉกเช่นเดียวกับเมื่อชาติก่อน ประกาศต่อสาธารณชนว่าสวรรคตด้วยอาการประชวร…
เมื่อคิดถึง บางทีเหตุการณ์เมื่อชาติก่อนไท่จื่อก็เตรียมลอบปลงพระชนม์ฮองเฮาด้วยลูกท้ออาบยาพิษในงานฉลอง เจี่ยงฮองเฮาได้รับยาพิษทนพิษไม่ไหวและเสียชีวิตลง
บุตรฆ่ามารดา เป็นความล้มเหลวของจริยธรรม เป็นเรื่องอื้อฉาวในแผ่นดิน อ้างอิงจากราชวงศ์ซย่าโหวมักปกปิดข่าวอื้อฉาวไว้แน่นหนา หนิงซีฮ่องเต้ไม่ยอมเปิดเผยความจริงออกไปก็อาจเป็นไปได้ ดังนั้น จึงประกาศแก่สาธารณชนว่าฮองเฮาสวรรคตด้วยอาการประชวรแทน
ส่วนไท่จื่อผู้ก่อแผนร้ายได้สำแดงออกมา เขาได้รับโทษเอาแต่ใจเกินเหตุ ไม่กตัญญูต่อพ่อและแม่ ถูกถอดถอนตำแหน่งองค์รัชทายาท
บาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่าย เติมเต็มการดึงขึ้นของอีกคนหนึ่ง
ในชาตินี้ ตอนจบกลับพลิก มีเพียงเจี่ยงซื่อพังทลาย ส่วนไท่จื่อกลับรอด
สถานการณ์ บางทีอาจกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างพี่น้องแทน
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังครุ่นคิด กลับเห็นเจิ้งหวาชิวลังเลแวบหนึ่ง จึงจ้องหน้า “อ้อ ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง”
เจิ้งหวาชิวพูดเสียงเบา “หลังจากฮองเฮาเสด็จสู่สวรรคต อาการประชวรของฝ่าบาทก็เกิดซ้ำๆ เกรงว่าอาจไม่หายในเร็ววันแน่ บัดนี้ไท่จื่อเองก็ได้รับบาดเจ็บ ยากที่จะออกมาทำหน้าที่แทน ฝ่าบาทให้เหยาฝูโซ่วร่างพระราชโองการ ให้ฉินอ๋องเป็นผู้นำการประชุมชั่วคราว รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้จิ่งหย่างอ๋องและอวี้เหวินผิงคอยช่วยเหลือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ตกใจมากนัก
หากจำไม่ผิด ก็ไม่ต่างจากเมื่อชาติก่อนนัก
เจี่ยงฮองเฮากับไท่จื่อต่างคนต่างล้มลง ส่วนฮ่องเต้ได้รับการกระทบกระเทือนหนัก มีโรคภัยติดตัว จนไม่อาจเข้าประชุมราชกิจพักใหญ่
บรรดาขุนนางขอพรแด่โอรสแห่งสวรรค์ สั่งห้ามสังสรรค์ในจวน รับประทานเจสามมื้อ จวนอวิ๋นเองก็ปฏิบัติไม่ต่าง ฉะนั้นแม้ว่าเมื่อชาติก่อนนางไม่สนใจการเมือง แต่ช่วงเวลานั้นนางเคยสนใจ ตอนนั้นได้มอบงานราชการให้อวี้เหวินผิงกับจิ่งหยางอ๋องดูแลจัดการ ภายหลังไม่รู้ด้วยเหตุใดฉินอ๋องก็เข้าร่วมด้วย ให้กำกับดูแลฝ่ายทหารกับส่วนราชการ มีอำนาจเหนือกว่าอวี้เหวินผิงกับจิ่งหยางอ๋อง และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นการกุมอำนาจใหญ่ของเขา
นางจำได้ท่านพ่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อตอนอยู่ในจวน ตนนึกสงสัยเป็นการส่วนตัว องค์ชายผู้ไม่มีชื่อเสียงหาเคยเป็นที่รู้จัก นิ่งเงียบเป็นเวลาหลายปี แม่บังเกิดเกล้ายังเป็นชนกลุ่มน้อยจากทางเหนือ เหตุใดถึงได้มาปรากฏต่อหน้าผู้คนแล้วยังได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีก
เมื่อคิดตอนนี้ เมื่อชาติก่อน ท่านต้องเคยใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเป็นแน่ถึงทำให้ฮ่องเต้อนุญาตให้เขาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้
และที่สำคัญ มั่นใจได้ว่าจะต้องยากลำบากกว่าชาตินี้อย่างแน่นอน —— เมื่อชาติก่อน เขาไม่เคยผ่านเรื่องกบฏเยี่ยนหยาง ไม่มีผลงานทางทหารกับบารมี ในสถานการณ์เช่นนี้ มีองค์ชายมากมายเพียงนี้ ฮ่องเต้ให้เขาทำหน้าที่สำเร็จราชการแต่เพียงผู้เดียว เขาต้องพยายามอย่างมากเป็นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถาม “เหตุใดฮ่องเต้ถึงเลือกฉินอ๋องแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าฉินอ๋องมีผลงานช่วยขจัดกบฏ แต่หน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์หาใช่เรื่องเล็กไม่”
เจิ้งหวาชิวเข้าใจความสงสัยของอวิ๋นหว่านชิ่น อย่าว่าแต่นาง เมื่อตอนสนมม่อได้ยินก็นึกแปลกใจเช่นเดียวกัน นางจึงแอบสอบถามได้ความมา กระซิบเอ่ยเบาๆ “เหมือนว่าเหยากงกงเกลี้ยกล่อมข้างพระกรรณ ถึงทำให้ฮ่องเต้นึกคิดได้เจ้าค่ะ”
เหยาฝูโซ่วรึ อ้อใช่ บุคคลผู้กุมอำนาจที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ นางคิดไม่ถึงได้อย่างไรกันนะ
เหยาฝูโซ่วปรนนิบัตรับใช้ฮ่องเต้มาสิบกว่าปี ไม่ว่าจะพูดสิ่งใด ฮ่องเต้ก็เก็บใส่ใจทุกคำ
แต่ เหยาฝูโซ่วจู่ๆ ช่วยฉินอ๋องพูดทำไมกัน หรือว่า…เขาเป็นคนของฉินอ๋อง หรือถูกฉินอ๋องรับซื้อแล้ว
ใช่! คนเกาะกินที่เขาเชื้อเชิญคนแล้วคนเล่า คนที่นางเห็นกับตามีจำนวนน้อยหรือ
จะตีสนิทเหยาฝูโซ่วก็คงไม่แปลก
ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อชาติก่อนก็คงได้เหยาฝูโซ่วช่วยพูดลับหลังเช่นเดียวกัน
เจิ้งหวาชิวเห็นนางไม่พูดจา อดยิ้มน้อยใหญ่มิไหว จึงเอ่ยนน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี “ในเมื่อฉินอ๋องได้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถ้าเช่นนั้นจวนฉินอ๋องก็สุขสบายแล้ว ฉินอ๋องมีอำนาจ พระชายาเอกฉินก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีก อยากทำสิ่งใด ก็ทำได้เลย ไม่ถูกผู้อื่นมัดมือเท้าแล้ว เหตุใดพระชายาเอกฉินถึงดูเหมือนไม่ดีใจล่ะเจ้าคะ”