“ในเมื่อเจ้ารู้หมดแล้วว่าข้าจะทำอะไร ก็ยังไม่กลัวหรือ?” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย ครั้งนี้น้ำเสียงดีขึ้นมากเช่นกัน
เขาเหลือบมองฉู่สวินหยาง “ข้ารู้ว่าองครักษ์ทั้งกองทหารองครักษ์ในวังล้วนอยู่ในกำมือของพ่อเจ้า แม้หลายปีนี้ข้าจะฝึกฝนคนออกมาบ้างก็จริง แต่จะใช้กำลังบุกประตูวังก็ยังเหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง และคงไม่มีโอกาสชนะด้วยซ้ำสถานการณ์แบบนี้เจ้าจึงเป็นหินเปิดทางที่ดีที่สุด พ่อเจ้าให้ความสำคัญกับเจ้ามาตลอด เพียงแค่มีเจ้าอยู่ในกำมือของข้า ข้าอยากจะเข้าวังก็ง่ายแล้วจริงๆ”
“ดังนั้น?” ฉู่สวินหยางย้อนถามและกะพริบตามองเขา “เพื่อไม่ให้ท่านพ่อของข้าพัวพันไปด้วย เวลานี้ข้าก็ควรจะชักดาบเชือดคอฆ่าตัวตาย ไม่เป็นบันไดที่ก้าวไปสู่ความก้าวหน้าให้ท่าน?”
ฉู่อี้เจี่ยนอึ้งไป แล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากนั้นชั่วครู่
หลังจากเขาหัวเราะแล้ว สีหน้าก็อ่อนโยนลงอย่างที่สุด ท่าทางสุภาพอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน
“นั่นสิ เจ้าคงไม่ทำเช่นนั้น!” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย เขาเม้มปากแน่น ในใจตนก็รู้สึกเช่นเดียวกัน “จิตใจที่ไร้เหตุผลและเหี้ยมโหดของผู้หญิงอย่างเจ้าร้ายกาจมากกว่าข้าอีก อยากจะให้เจ้าฆ่าตัวตายเพื่อฉู่เป้ย? คิดดูแล้วเจ้าก็คงไม่ทำหรอก!”
ฉู่สวินหยางยักไหล่ ถือว่ายอมรับไปโดยปริยาย
ฉู่อี้เจี่ยนมองสีหน้าไม่สะทกสะท้านของนาง สีหน้าเขาฉายแววยุ่งยากใจขึ้นมาอีกในชั่วพริบตา แล้วถามว่า “เจ้าไม่กลัวจริงๆ หรือ? คนตระกูลฉู่ทั้งหมดข้าไม่ปล่อยให้รอดไปแม้แต่คนเดียวแน่นอน ถึงเวลานั้นหากพ่อเจ้าไม่ยอมจำนน…”
“ถ้า…” ฉู่สวินหยางฟังเขาพูดพลางเอ่ยแทรกในทันใด นางเอ่ยอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่งว่า “ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ใช่คนของตระกูลฉู่ล่ะ?”
“หืม?” ฉู่อี้เจี่ยนอึ้งไป แล้วตั้งสติกลับมา เขาคิดแค่ว่านางล้อเล่น
“ข้ารู้ว่าเพื่อช่วยพ่อเจ้าชิงบัลลังก์แล้ว แม้ให้เจ้าไปฆ่าฉู่เป้ยด้วยมือตนเอง เจ้าก็คงไม่มือไม้อ่อน เจ้ากับเขาไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นความผูกพันกันจริงๆ” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย แต่กลับเข้าใจผิดอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเขาลุ่มลึกและมองเส้นทางข้างหน้าด้วยสีหน้าแลดูว่างเปล่า เหมือนกับตกอยู่ในความทรงจำแสนนาน
“อย่ามาพูดเรื่องฆ่าผู้บริสุทธิ์อะไรนั่นกับข้า ข้าไม่เคยรู้ว่านั่นคืออะไร” ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก ทว่าน้ำเสียงกลับเบาหวิวเหมือนละเมอ “ข้ารู้แค่ว่าข้าพิสูจน์แล้วทั้งตระกูลฉู่เดินเข้าไปหาจุดจบตกต่ำและความตาย ชีวิตของคนทั้งตระกูลสามร้อยกว่าคนล้วนเทียบกับตำแหน่งเพียงหนึ่งเดียวใต้หล้านี้ไม่ได้ ตอนนั้นข้าเกลียดแม้กระทั่งพ่อของข้า เกลียดที่เขาทำไมต้องเหมือนฉู่เป้ย ทำไมไม่ยอมประนีประนอม ทั้งยังใช้ท่านแม่และเลือดของผู้อาวุโสมากมายในตระกูลเป็นบันไดที่ก้าวไปสู่ความก้าวหน้า ทำให้พวกเขาเสวยสุขกับความร่ำรวยในวันหน้าได้อย่างสบายใจ สวินหยาง ข้ารู้ว่าเจ้าเคยอยู่สนามรบ เจ้าอาจไม่กลัวเลือดและความตาย แต่กลับมีเลือดและความตายแบบหนึ่งที่ต่างออกไป การเห็นญาติพี่น้องของตนเองเลือดไหลกับตาตรงหน้า ความสิ้นหวังและความหวาดกลัวแบบนั้น ต่อให้เจ้าตัดหัวคนได้เท่าไรก็เทียบกันไม่ได้ทั้งนั้น”
ทันใดนั้นนัยน์ตาของฉู่อี้เจี่ยนพลันปรากฏแสงระยิบระยับระหว่างที่เขาพูด
เขายกมุมปากขึ้นเหมือนเป็นรอยยิ้ม ทว่าเพราะความรู้สึกในนั้นซับซ้อนและขมขื่นเหลือเกิน หน้าตากลับยิ่งดูเหมือนโศกเศร้า
“ตอนนั้นข้าก็ตายไปแล้ว!” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย “โชคดีที่ต่อมากลับมาอยู่ข้างกายท่านพ่อได้ มีช่วงหนึ่งที่ข้าเคยฝันร้ายเช่นนั้นอีกตลอดนานมาก จนนอนไม่หลับทั้งคืน ช่วงนั้นข้าคิดแต่จะขอร้องท่านพ่อให้แก้แค้นแทนแม่ของข้าและพวกคนในตระกูล ข้าเกลียดพวกนักฆ่าที่เป็นลูกน้องของเซี่ยนจงแทบตาย แต่กลับเกลียดฉู่เป้ยที่ปีนขึ้นไปด้วยการเหยียบย่ำร่างของคนในตระกูลตนเองยิ่งกว่า หากไม่เพราะเขาทะเยอทะยานจนก่อเรื่อง ญาติพี่น้องแซ่ฉู่ก็จะไม่เจอกับฝันร้ายเช่นนี้ เขาฐานะสูงส่ง จนลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่ข้า…ข้าไม่มีทางให้กลับตัวแล้ว!”
ฉู่อี้เจี่ยนหัวเราะเสียงแหบแห้งและยกมือปิดตาไว้
ฉู่สวินหยางแค่ฟังเขาเล่าเหมือนพูดกับตนเอง แล้วมองสีหน้าที่เปลี่ยนตลอดเหมือนเป็นบ้าไปแล้วของเขา
นางไม่เคยคิดว่าความคิดที่ฉู่อี้เจี่ยนจะแก้แค้นแทนญาติพี่น้องในตระกูลของตนเองเป็นสิ่งที่ผิด เพียงแต่นางคิดแทนอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างไร…
นางก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงระดับที่จะรับรู้ความรู้สึกเคียดแค้นและเจ็บปวดของคนที่ไม่ได้สำคัญอะไรเหมือนเจอมากับตนเอง
อีกอย่าง…
จุดยืนของนางกับฉู่อี้เจี่ยน พวกเขาเป็นศัตรูกัน ศัตรูที่จะต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง!
ฉู่อี้เจี่ยนค่อยๆ ระบายความแค้นในอกออกมาจนสบายใจและปรับลมหายใจของตนเอง เขาวางมือลงอีกครั้งหลังจากผ่านไปนานมาก สีหน้ากลับเป็นใจเย็นและควบคุมอารมณ์ตนเองเช่นเดิม
“ข้าเจอเหยียนหลิงจวินปีก่อน ตอนที่เขาบอกว่าสามารถรักษาขาทั้งสองข้างให้ข้าได้นั้น ข้าก็เคยคิดว่าหากข้าสามารถยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง บางทีข้าอาจจะลองลืมความแค้นช่วงนั้นไป แล้วก็ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาแบบคนอื่น”
อาจเพราะถูกกระตุ้นให้อยากระบายความในใจออกมา ครั้งนี้ฉู่อี้เจี่ยนจึงเอ่ยปากเอง โดยไม่ถามความเห็นของฉู่สวินหยาง
เขาเอ่ยพลางส่ายหน้าหัวเราะเยาะตนเอง แล้วยกมือลูบขาทั้งสองข้างที่เจ็บเล็กน้อยว่า “แต่หลังจากที่ข้าใช้แรงทั้งหมดลุกขึ้นยืน ข้ากลับได้รู้ว่าความแค้นที่เก็บซ่อนไว้ในใจมาหลายปี ไม่เพียงแต่มิอาจหายไปได้แล้วนั้น กลับยิ่งกระตุ้นให้ข้าอยากแก้แค้น เมื่อก่อนข้าคิดว่ากำลังของตนเองอ่อนแอเกินไป จึงลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่ลังเลอีกแล้ว และเริ่มลงมือดำเนินแผนการที่วางแผนมาตลอดหลายปีนี้ ฉู่เป้ยไม่ใช่คนเลือดเย็นไร้ความรู้สึกที่จะไม่ต้องการคนในตระกูลและญาติพี่น้องหรือ? เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เขาได้ตำแหน่งฮ่องเต้มาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จนญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดทุกคนของเขาล้วนหายไปจากตรงหน้าเขาหมด จึงต้องใช้เลือดของพวกเจ้าเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้คืนบาปที่เขาทิ้งไว้ในปีนั้นได้ สวินหยาง เจ้าอย่าคิดว่าข้าเหี้ยมโหดหรือว่าบางคนไม่มีความผิด ราชวงศ์นั้นรวมถึงเจ้าด้วย จะมีสักกี่คนกันที่มือสะอาดจริงๆ? ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเท่านั้น”
“หากเป็นข้า บางทีข้าอาจจะทำได้ดีกว่าท่านก็ได้!” ทว่าฉู่สวินหยางกลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว
ฉู่อี้เจี่ยนหมกมุ่นอยู่กับความแค้นมากมาหลายปีจนเสียสติไปแล้วจริงๆ
ตั้งแต่รู้ว่าเขาสร้างหุ่นเชิดคุมจวนอ๋องรุ่ยชิน ฉู่สวินหยางก็ไม่คิดจะเตือนเขาให้กลับใจแล้ว
คนๆ นี้…
หมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ
“ถามท่านสักเรื่องได้หรือไม่?” แม้ในใจของฉู่สวินหยางจะหัวเราะอย่างขมขื่น แต่บนหน้ากลับไม่ชัดนัก นางแค่โพล่งถามออกไป
“อะไร?” ฉู่อี้เจี่ยนย้อนถาม
“เหอะ…” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ทว่ารู้สึกลังเลเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วถึงเอ่ยปากถาม “แล้วรุ่ยชินอ๋องตัวจริงล่ะ? น่าจะตายแล้วใช่หรือไม่?”
เอ่ยถึงรุ่ยชินอ๋อง ฉู่อี้เจี่ยนก็ยังคงสีหน้าเช่นเดิม
ฉู่สวินหยางสังเกตใบหน้าด้านข้างของเขา ในใจก็เข้าใจ แต่ยืนยันการคาดการณ์ของตนเองแล้ว นางกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว ทั้งยังยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายเล็กน้อย และเอ่ยกึ่งหยอกล้อว่า “คงไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมฆ่าฉู่เป้ยแก้แค้นด้วยกันกับท่าน และท่านก็ระแวงว่าเขาจะขัดขวางจึงฆ่าเขาก่อนใช่หรือไม่?”
นางถามเช่นนี้เสี่ยงมากจริงๆ
โทษฐานฆ่าพ่อของตนเอง ละเมิดความสัมพันธ์[1] ต้องโดนฮ่องเต้ลงโทษ
ฉู่อี้เจี่ยนค่อยๆ หันหน้ามา
สีหน้าของเขาเฉยชามาก
ฉู่สวินหยางสบตากับเขาโดยไม่ยอมหลบตา
ทั้งสองคนต่างคนต่างเงียบ จนผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็เห็นประตูเมืองอยู่ตรงหน้าไกลๆ แล้วฉู่อี้เจี่ยนก็เป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อนอีกครั้ง
ฉู่สวินหยางเห็นเขาไม่พูดอะไรอีก นางจึงไม่ทำอะไรที่ไร้ประโยชน์อีกเช่นกัน แล้วมองกำแพงที่สูงตระหง่านข้างหน้าว่า “ข้าเดาว่า…เวลานี้คนของฉู่ฉีเหยียนน่าจะลงมือไปจับตัวฉู่ซินรุ่ยแล้วใช่หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ที่ฉู่ฉีเหยียนยอมโดนจับอย่างว่าง่ายนั้น ไม่ใช่นิสัยของเขาอย่างชัดเจน ดังนั้นเขาต้องมีไม้ตายอย่างแน่นอน
หากบอกว่าฉู่อี้อันให้ความสำคัญกับฉู่สวินหยางมาก เช่นนั้นฉู่ซินรุ่ยก็ต้องมีความสำคัญต่อหน้าฉู่อี้เจี่ยนบ้างเช่นกัน
ทว่าฉู่อี้เจี่ยนได้ยินแล้วกลับนิ่งเฉย
ส่วนฉู่สวินหยางกลับเหมือนรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก รอยยิ้มบนหน้านางลุ่มลึกโดยไม่รู้ตัว และเอ่ยเสริมอีกว่า “แต่ข้าส่งคนไปสกัดไว้ก่อนแล้ว ไม่แน่ว่าคนของเขาอาจจะทำสำเร็จ”
————————————————
[1] สมัยสังคมศักดินาแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนเป็น 5 ความสัมพันธ์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง ระหว่างพ่อลูก ระหว่างสามีภรรยา ระหว่างพี่น้อง และระหว่างเพื่อนฝูง ซึ่งความสัมพันธ์นี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้