สีหน้าของฉู่อี้เจี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเผลอออกแรงดึงบังเหียนในมือ

“ข้ารู้ว่าท่านจะทำอะไร ท่านเองก็รู้ดีแก่ใจว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีใครหลุดพ้นจากเรื่องนี้ไปได้หรอก”

ฉู่สวินหยางมองประตูเมืองที่อยู่ใกล้ๆ ข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และเอ่ยเน้นชัดทุกคำว่า “ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ถอนรากถอนโคน อาศัยแค่ฝีมือของพวกเราแต่ละคนเท่านั้น!”

ฉู่อี้เจี่ยนไม่พูดอะไร เขาแค่ก้มหน้ามองวัชพืชบนพื้นเล็กน้อย

ผ่านไปครู่ใหญ่ อยู่ดีๆ เขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา และเอ่ยพลางขี่ม้าว่า “กลับเมือง!”

พอพูดจบ เขาก็ขี่ม้ามุ่งหน้าไปทางประตูเมืองก่อนอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอฉู่สวินหยาง

องครักษ์ของเขาล้วนจ้องฉู่สวินหยางอย่างระวังตัว เกรงว่านางจะเล่นตุกติกอะไรขึ้นมา

ฉู่สวินหยางยิ้มและหวดม้ามุ่งหน้าตามไปทางประตูเมืองติดๆ

องครักษ์ที่นี่ยังไม่สังเกตเห็นคลื่นใต้น้ำในเมืองหลวงแห่งนี้ เห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็ไม่รู้สึกผิดปกติ จึงปล่อยให้ทั้งสองคนผ่านทางไปอย่างราบรื่น

“องค์ชาย!” องครักษ์ของจวนอ๋องรุ่ยชินคอยช่วยเหลือหลังจากเข้าเมืองมาแล้ว พอมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใครก็รายงานฉู่อี้เจี่ยนว่า “ส่งองค์รัชทายาทหนานฮวากลับไปพักที่คฤหาสน์แล้วขอรับ ซื่อจื่ออ๋องหนานเหอกับแม่นางสองคนนั้นก็จัดการเรียบร้อยหมดแล้วเช่นกัน ท่านจะเข้าวังเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่ขอรับ?”

ฉู่อี้เจี่ยนหน้าตาเย็นชาไม่พูดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงหันไปมองฉู่สวินหยางด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

เขาแอบสูดหายใจเข้าทำใจให้สงบ แล้วถึงจะแสร้งถามเหมือนไม่สนใจว่า “ในจวนอ๋องล่ะ? เกิดอะไรผิดปกติขึ้นหรือไม่?”

“ไม่ขอรับ!” องครักษ์ตอบ

คนของฉู่ฉีเหยียนทำไม่สำเร็จ ฉู่สวินหยางไม่ใช่คนพูดจามั่วซั่วโดยไม่มีมูลจริงๆ

ทันใดนั้นความโกรธเดือดดาลพลันปะทุขึ้นในใจของฉู่อี้เจี่ยน เขาสูดหายใจลึกและฝืนยับยั้งอารมณ์ไว้ กล่าวว่า “ยังไม่ต้องเข้าวัง กลับจวนอ๋อง!”

“แต่ว่า…” คนนั้นกลับลังเลและเหลือบมองฉู่สวินหยางอย่างระวังตัว

ฉู่อี้เจี่ยนจะพาฉู่สวินหยางกลับจวนอ๋องรุ่ยชิน หากมีคนสังเกตเห็นเข้า อาจจะทำให้คนสงสัยได้

“ไปเถอะ!” แต่ฉู่อี้เจี่ยนกลับไม่พูดอะไรอีกและขี่ม้าต่อไป

องครักษ์ไม่กล้าขัดคำสั่ง จึงทำได้เพียงตามไปอย่างว่าง่าย

คนทั้งกลุ่มมุ่งตรงไปยังจวนอ๋องรุ่ยชินอย่างรวดเร็ว

เวลานี้หน้าประตูจวนอ๋องรุ่ยชินเงียบสงบผิดปกติ จวนเก่าแก่สะสมกลิ่นมานานนับปี ยิ่งใหญ่อลังการ ท่ามกลางความงดงามนั้นยังได้กลิ่นหอมของน้ำหมึกปะปนมาด้วยอย่างเบาบาง

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นได้ยากมากจริงๆ

จวนอ๋องรุ่ยชินนั้นเมื่อก่อนฉู่สวินหยางเคยมาร่วมงานหลายครั้งตอนที่ฉู่ซิ่นจัดงานวันเกิด จึงไม่ถือว่าแปลกหน้า

ฉู่อี้เจี่ยนเดินอยู่ข้างหน้า จนก้าวข้ามธรณีประตูไปแล้ว ถึงหันกลับมาเห็นนางยังนั่งเหม่ออยู่บนหลังม้า จึงเลิกคิ้วว่า “เข้ามาเถอะ!”

ฉู่สวินหยางยิ้ม นางพลิกตัวลงจากหลังม้าและเดินตามเขาเข้าไปข้างใน

ฉู่อี้เจี่ยนไม่ได้ไปห้องโถงใหญ่ แต่อ้อมเข้าไปในสวนดอกไม้ไปยังเรือนด้านหลัง

ฉู่สวินหยางไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียว นางเดินตามเขาเข้าไปข้างในแต่โดยดี

ทั้งสองคนเดินตามกันไป เพิ่งจะเดินถึงทางออกสวนดอกไม้ ฉู่ซินรุ่ยที่ได้ข่าวแล้วก็เดินออกมารับจากข้างใน

“พี่ห้า!” แม้ได้เจอฉู่อี้เจี่ยน หน้าตานางกลับไม่เห็นดีใจสักเท่าไร

ตามแผนเดิมแล้วเวลานี้ฉู่อี้เจี่ยนไม่ควรกลับมาจวนอ๋อง

หากเขาจะกลับมาอย่างกะทันหัน แสดงว่าต้องมีบางอย่างผิดพลาด

เดิมทีฉู่ซินรุ่ยก็ไม่สบายใจมากอยู่แล้ว สีหน้าและน้ำเสียงของนางในเวลานี้แลดูว้าวุ่นใจอย่างชัดเจน นางอยากจะรีบถามอะไรบางอย่าง ทว่าตอนที่เงยหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นกลับเห็นฉู่สวินหยางตามอยู่ข้างหลัง จึงเบิกตาโตอย่างแปลกใจทันทีว่า “ฉู่สวินหยาง? พี่ห้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง กลับไปพักที่ห้องก่อนเถอะ!” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนกระวนกระวายใจ แล้วเดินผ่านนางไปเลย

ฉู่สวินหยางตามอยู่ข้างหลัง นางแค่เหลือบมองฉู่ซินรุ่ยตอนที่สวนกันเล็กน้อยอย่างเฉยชา และไม่ได้หันหน้าไปมองนางตรงๆ เช่นกัน แล้วตามฉู่อี้เจี่ยนเข้าไปในเรือนด้านหลัง

ฉู่ซินรุ่ยยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานมาก จนกระทั่งตั้งสติกลับมาได้แล้ว นางก็เหมือนจะหน้าซีดเผือดไปหมดทั้งหน้า

“ท่านหญิง พวกเรากลับไปก่อนหรือไม่เจ้าคะ?” ชิงเกอเข้ามาประคองมือข้างหนึ่งของนาง

แต่ฉู่ซินรุ่ยกลับถือโอกาสจับแขนนางไว้แน่น ท่าทางสติยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและเหมือนไม่ได้ยินที่นางพูด และเอาแต่พึมพำกับตนเองว่า “เรื่องนี้ผิดปกติ คงจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!”

ฉู่อี้เจี่ยนระวังตัวแจและรู้ว่าควรทำอะไรมาตลอด สิ่งที่พวกเขาจะทำวันนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป ผิดพลาดนิดเดียว ก็ไม่มีทางฟื้นคืนได้ตลอดไป

ทว่าเวลานี้ฉู่อี้เจี่ยนกลับเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหัน แล้วยังพาฉู่สวินหยางกลับมาด้วย?

ฉู่ซินรุ่ยรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกหวาดกลัวถึงกับก่อตัวขึ้นในใจอย่างไร้สาเหตุ ทำให้นางรู้สึกหนาวไปทั้งตัว

สองสาวใช้ต่างรู้ว่าพวกนางเข้าไปก้าวก่ายเรื่องแบบนี้ไม่ได้ แต่ก็ตกใจกับท่าทีของฉู่ซินรุ่ยเช่นกัน จึงมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

ฉู่อี้เจี่ยนพาฉู่สวินหยางกลับเรือนของเขาและเข้าไปในห้องหนังสือ หลังจากเข้ามาแล้วเขาก็เดินไปหลังโต๊ะจับพู่กันเขียนจดหมายฉบับหนึ่งทันที และไม่ห้ามฉู่สวินหยางอยู่ตรงนี้เช่นกัน

ฉู่สวินหยางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่

เพียงแต่นางเกลียดการเสียแรงกับเรื่องไร้ประโยชน์มาตลอด นางทำอะไรต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงและมีสติพร้อมรับมือกับเหตุการณ์อย่างทันท่วงที ว่าแล้วก็เดินวนรอบห้องหนังสือของฉู่อี้เจี่ยนตามใจชอบ แล้วก็เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลงรินน้ำให้ตนเอง ตอนที่กำลังประคองถ้วยค่อยๆ ดื่มน้ำอยู่นั้น จู่ๆ ฉู่อี้เจี่ยนที่อยู่ตรงข้ามกันก็วางพู่กันลง เขาพับจดหมายที่มีตัวอักษรไม่เยอะนักในมือเรียบร้อยและสอดเข้าไปในซองจดหมาย

“เข้ามาหน่อย!” ฉู่อี้เจี่ยนตะโกนเรียก พลางลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมา

องครักษ์คนหนึ่งเปิดประตู ทว่าเขาแค่ยืนก้มหน้าอยู่หน้าประตูเท่านั้น “องค์ชาย!”

“อืม!” ฉู่อี้เจี่ยนตอบรับ แต่กลับเดินไปหาฉู่สวินหยางที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อน

เขายืนทอดเงามืดอยู่ตรงหน้า

ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วและเงยหน้าส่งสายตาถามเขา

“ให้ข้ายืมของติดตัวเจ้าชิ้นหนึ่ง!” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย แล้วยกมือจะหยิบปิ่นหยกบนผมของฉู่สวินหยางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว

หลังจากเข้าพิธีปักปิ่นเมื่อต้นปี ฉู่สวินหยางก็แทบจะปักปิ่นคู่นี้ไม่ห่างกายตลอด

ฉู่สวินหยางเอนตัวไปด้านหลังและยกมือขวางไว้

“ท่านอาจะยืมของของข้าไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่อย่างไรท่านก็ควรอธิบายว่าจะเอาไปใช้ทำอะไรก่อน ข้าจะได้รู้ด้วย” ฉู่สวินหยางยิ้มเล็กน้อย พลางลุกขึ้นยืน

นิ้วมือของฉู่อี้เจี่ยนจับได้เพียงความว่างเปล่า ทว่ากลับไม่เห็นเขาโกรธ เขาเอ่ยพลางจัดชายแขนเสื้อให้เรียบร้อยไปด้วยว่า “ฉู่เป้ยนอนนานขนาดนั้น ก็ถึงเวลาที่ควรตื่นแล้ว ข้าเปลี่ยนใจแล้วพอดี ถ้าปล่อยให้เขานอนไม่ตื่นอย่างนี้ ก็เอาเปรียบเขาเกินไปจริงๆ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็ต้องให้เขาเห็นด้วยตาตนเองถึงจะดีเจ้าว่าจริงหรือไม่? ดังนั้นตอนนี้ก็จำเป็นต้องเชิญใต้เท้าเหยียนหลิงของพวกเราไปแทนสักรอบแล้ว”

เขาเอ่ยพลางยื่นมือมาจะหยิบปิ่นหยกบนศีรษะของฉู่สวินหยางอีก

ฉู่สวินหยางถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่พอใจ และหลบมือเขาไปอีกครั้ง